บทที่ 293 คำเล่าลือจากท้องถนน
นางเพียงแค่อยากดู วันนี้ที่สลายการโจมตีที่มีอันตรายถึงชีวิตให้นางใช่เขาหรือไม่
เพียงแค่เท่านั้น
เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ เย่แจ๋หยิ่งก็ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น ตัดบทพูดของนาง
“ช่างเหอะ ข้าอนุญาตแล้ว เจ้าลงไม้ลงมือกับข้าเถอะ?”
“……”
นี่ยังเป็นเย่แจ๋หยิ่งอยู่รึเปล่า?
หลานเยาเยาหัวเสียนิดหน่อย ดึงมือตัวเองกลับมาทันที
แต่ที่น่าแปลกก็คือ
มือของนางดึงกลับมาได้แล้ว แต่อีกมือหนึ่งกลับถูกเขาคว้าไว้ และยังจับไว้แน่นกว่ามือข้างก่อนหน้านั้น
หลานเยาเยาดึงกลับมาอีกครั้ง
จากนั้น นางก็มองดูมือที่ถูกจับไว้อีกข้างหนึ่งด้วยความเหนื่อยใจ
“หู้ว……”
“ท่านจะขวางข้าไว้ใช่หรือไม่? ก็ดี! ข้าจะอยู่เล่นเป็นเพื่อนท่านจนถึงที่สุด”
นางไม่เชื่อ นางจะดึงกลับมาไม่ได้เชียวหรือ?
ด้วยเหตุนี้!
นางจึงเอามือที่ไม่ได้ถูกจับไปไว้ข้างหลัง จากนั้นก็ออกแรงดึงมือตัวเองกลับมา ใครจะรู้ ดึงกลับมากี่ครั้งก็ไม่ได้ผล
หลานเยาเยาขึ้นไปบนเตียงทันที ระหว่างที่ดึงไปดึงมา
ขณะที่นางไม่ทันได้ระวังตัว คนทั้งคนก็ล้มลงไปอยู่ในอ้อมอกของเย่แจ๋หยิ่ง
หลานเยาเยาตกใจ คิดจะปีนขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นกลับโดนหมุนพลิกตัว นางจึงโดนเย่แจ๋หยิ่งทับไว้ด้านล่าง มือทั้งคู่ก็โดนจับไว้อย่างแน่นหนา
“เย่แจ๋หยิ่ง”
นางเรียกชื่อเขาขึ้นมาคำหนึ่งด้วยโทสะ นิ้วมือกลับสัมผัสโดนจุดชีพจรบนข้อมือของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทำให้นางตกใจทันที เบิกตาโพลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ท่าน……”
เย่แจ๋หยิ่งเหลือบมองไปที่มือของนางแวบหนึ่ง จากนั้นไม่ได้พูดอะไรมากก็จูบลงไปตรงริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของนาง
เป็นนาง!
ความรู้สึกเช่นนี้
และหลานเยาเยาก็ได้ตะลึงงันไปแล้ว……
นางที่มีสติมาก ตอนนี้ความรู้สึกกลับสับสนไปหมด
จนถึงช่วงเวลาที่นางดึงสติกลับมาได้ เย่แจ๋หยิ่งก็ได้ปล่อยริมฝีปากของนางแล้ว จากนั้นก็จุ๊บไปที่หน้าผากของนางเบาๆ
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่คืนนี้ได้ช่วยเจ้าไว้ รสชาติดีมาก”
หลานเยาเยาตะลึงไปอีกครั้ง!
นางยังไม่ทันถาม เขาก็ยอมรับแล้ว คืนนี้ที่ช่วยนางไว้เป็นเขา และจูบเมื่อครู่ ก็คือสิ่งตอบแทนที่เขาขอเอง
นางจะสามารถทำอะไรได้?
มีโทสะแต่ระบายออกมาไม่ได้ อยากจะต่อยคนก็ไม่ได้อีก
รสชาติความรู้สึกนึกคิดผสมกันไปหมด ใจจิตสับสนเป็นที่สุด
ไม่มีทางอื่น นางทำได้เพียงผลักเย่แจ๋หยิ่งที่อยู่บนตัวนางออก จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนก
“เหอะเหอะเหอะ……”
เมื่อหลานเยาเยาจากไป
เย่แจ๋หยิ่งก็กระอักเลือดออกมา แต่มุมปากกลับยกขึ้นยิ้ม
ทางนี้ หลานเยาเยาเหาะอย่างรวดเร็วกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง นางที่อารมณ์ไม่ปกติเข้าใจผิดเอาน้ำร้อนมาแทนน้ำเย็น
ดื่มลงไป แล้วก็พ่นออกมาทันที
“ร้อนร้อนร้อน……”
“เยาเยา เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
สำหรับเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลานเยาเยาสันหลังเย็นวาบ ขณะที่หมุนตัวก็ถอยหลังไปสองสามก้าว มือทั้งสองข้างค้ำบนโต๊ะ
มองเห็นเป็นป่ายเม่ยเซิง อดไม่ได้ที่จะโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“เจ้าอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ให้ตายสิ!
ตอนที่นางเข้ามาทำไมถึงมองไม่เห็น?
เย่แจ๋หยิ่งปีศาจที่ทำร้ายคนนี้ ทำให้จิตใจของนางว้าวุ่นไปหมด
“ข้าคนเป็นๆตัวตั้งใหญ่ยืนอยู่ตรงนี้ เจ้า……มองไม่เห็นหรือ?”
เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดี เขาโยนจื่อเฟิงกลับไปที่ห้อง ก็รีบอาบน้ำทันที แล้วยังทาน้ำหอมด้วย
ตอนนี้เขาสวมใส่ชุดคลุมนอนหลวมๆ และยังอยู่ในท่าทางที่สง่าผ่าเผยมากๆ
ก็เพื่อรอหลานเยาเยากลับมา ทำให้นางตะลึงจนตาเป็นประกาย
ใครจะไปคิดได้……
เขากลับโดนมองข้าม
คนเป็นๆตัวตั้งใหญ่หล่อเหลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ผู้หนึ่ง นางกลับมองไม่เห็น หัวใจของเขา แทบจะแหลกสลายแล้ว
“มืดมิดไม่มีแสงไฟ ข้าไม่ลงมือก็นับว่าดีแล้ว”
“เออะ!” พูดมีเหตุผล!
ไม่ใช่ว่าหลานเยาเยามองไม่เห็นเขา แต่ท้องฟ้ามืดมากแล้ว มองไม่เห็นคนโดยสิ้นเชิง
ป่ายเม่ยเซิงปลอบใจตัวเอง
เฮ้อ……
น่าเสียดายที่เขาตั้งใจแต่งตัว
“สืบเรื่องเป็นเช่นไรบ้าง?”
ยังไงซะป่ายเม่ยเซิงก็กลับมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องที่เขาสืบจะต้องได้เรื่องแล้วเป็นแน่
“ข้าออกโรง ยังจะสามารถกลับมามือเปล่าได้อีกหรือ?”
“อ๋อ ล้างหูรอฟังอย่างตั้งใจ”
หลานเยาเยาหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง ใช้แขนเสื้อ เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
ร้อน……
ค่ำคืนดึกดื่นทำไมถึงได้ร้อนเช่นนี้?
“พิณกู่ฉินจื่อหลิงเป็นพิณอันหนึ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก เป็นสิ่งของที่ผู้ที่รักหลงใหลในพิณตามหามาชั่วชีวิต แต่ในสายตาของคนที่รู้จักพิณเป็นนั้นก็เป็นเพียงสมบัติล้ำค่าที่หายากยิ่งในโลก
สำหรับคนที่ไม่รู้จักพิณ มันก็เป็นเพียงพิณอันหนึ่งเท่านั้น
แต่ที่แปลกก็คือ ในเวลาไม่กี่สิบปีนี้ พิณกู่ฉินจื่อหลิงก็ดังสะท้านวงการยุทธจักรอย่างกะทันหัน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งราชสำนักและหมู่ประชาชน กลายเป็นสิ่งของที่ทุกคนอยากได้มาครอง”
โด่งดังขึ้นในพริบตา
ในนี้ต้องมีลับลมคมในแน่
ตามที่คาด!
“พิณกู่ฉินจื่อหลิงชื่อเสียงดังก้องโลกอย่างกะทันหัน ทั้งหมดเป็นเพราะคำเล่าลือตามท้องถนน”
“คำเล่าลือตามท้องถนน?”
หลานเยาเยาสงสัยเล็กน้อย
“ใช่ เป็นเพราะคำเล่าลือตามท้องถนน คำเล่าลือบอกว่า พิณกู่ฉินจื่อหลิงเป็นพิณกู่ฉินที่ตกทอดมาจากสวรรค์ ผู้ครอบครองพิณ จะสามารถบำเพ็ญฌานเป็นเทพเซียนได้ อายุยืนยาว ใบหน้าไม่แก่ไปตามกาลเวลา”
พูดถึงตรงนี้ ป่ายเม่ยเซิงก็มองนางแวบหนึ่ง
“เหล่านี้คือคำเล่าลือตามท้องถนน ก็เป็นเช่นเดียวกับเทพนิยายที่เล่าสืบต่อกันมา จะมีคนเชื่อได้เช่นไร?”
น้ำเสียงเบาๆของนาง แต่ในดวงตากลับดูเคร่งขรึมไป
“เหล่านี้เป็นช่วงการเริ่มต้นของคำเล่าลือ ผู้คนเพียงทำเหมือนเป็นการฟังนิยาย
แต่ว่า หลังจากนั้นผู้คนพบว่า คนที่มีพิณกู่ฉินจื่อหลิงนั่น ก็คือเทพธิดาที่ควรจะตายไปตั้งแต่สองสามร้อยปีที่แล้ว”
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาก็ผุดยืนขึ้นทันใด
“เจ้าพูดว่าอะไร?”
ราวกับว่านางค้นพบกับความลับใหญ่หลวงความลับหนึ่ง ดังนั้นจิตใจจึงรู้สึกเหน็บหนาว
“เยาเยา เจ้าอย่าตื่นตระหนก ข้ายังพูดไม่จบนะ!”
“รีบพูด”
“เรื่องนั้นก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้น ก็เริ่มจากช่วงเวลานั้นมา ผู้คนก็เริ่มแย่งชิงพิณกู่ฉินจื่อหลิง
ขณะที่ชื่อเสียงของพิณกู่ฉินจื่อหลิงโด่งดังจนถึงที่สุด ทำให้แต่ละประเทศ เพื่อที่จะแย่งชิงมัน จึงก่อให้เกิดสงครามที่วุ่นวายครั้งใหญ่
หลังจากเหตุการณ์สงครามที่วุ่นวายครั้งใหญ่นี้ เทพธิดากระโดดกำแพงเมืองตาย จนถึงตอนนี้เบาะแสพิณกู่ฉินจื่อหลิงก็ไม่ปรากฏชัดเจน
หลังจากนั้นมา ผู้คนจึงได้พบว่า เทพธิดานั่นไม่ใช่เทพธิดาที่แท้จริง แต่เป็นคนที่หน้าตาคล้ายกันเท่านั้น
หลังจากถึงตอนนี้!
พิณกู่ฉินจื่อหลิงก็เริ่มจางหายไปจากสายตาของผู้คน”
หลังจากที่ป่ายเม่ยเซิงพูดจบ
หลานเยาเยาก็นวดที่ขมับ พูดด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ :
“เฮ้อ ตอนนี้เทพธิดาปรากฏกายแล้ว พิณกู่ฉินจื่อหลิงก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว เจ้าคิดว่านี้บังเอิญหรือไม่?”
อีกอย่าง!
คำเล่าลือบนท้องถนนก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องเท็จทั้งหมด
เพราะว่า ศพของท่านแม่ไม่เน่าเปื่อย ฝังมาสิบกว่าปี โฉมหน้ายังคงไม่เปลี่ยน
นี่เพียงพอที่จะอธิบายในจุดนี้ แผ่นดินใหญ่นี้มียาอายุวัฒนะอยู่จริง
“นี่……”
แววตาของป่ายเม่ยเซิงดูครุ่นคิด จากนั้นก็พูดอีกว่า :
“ก่อนที่พิณกู่ฉินจื่อหลิงจะตกอยู่ในมือเจ้า ยังเคยอยู่ในมือของท่านแม่ของเจ้าก่อนและหลังจากนั้นก็อยู่ในมือไทเฮา
ท่านแม่ของเจ้าเสียชีวิต โฉมหน้าของไทเฮาก็แก่ชรา นี่ก็ยืนยันได้ว่าทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ดังนั้นไทเฮาจึงได้มอบพิณกู่ฉินจื่อหลิงให้เจ้า
คิดว่าเพียงอยากจะเอาจุดนี้ วางอุบายบางอย่าง”
“ก็อาจจะ!”
หลานเยาเยาในเวลานี้ไม่มีกระจิตกระใจจะสนทนาแล้ว เพียงอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ
ดังนั้น!
จึงมองไปทางป่ายเม่ยเซิง.