บทที่ 302 เด็กๆ ที่หายไป

มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ศาลาว่าการ ทำให้เว่ยฉิงต้องรีบกลับไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ ถังหลี่มองด้านหลังของเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะแยกกลับบ้านไปคนเดียว ในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินอยู่บนท้องถนน ทันใดนั้นเองนางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งมาอย่างบ้าคลั่ง

“ลูกของข้า! ข้าจะไปหาลูกของข้า!”

ด้านหลังของนางมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

“น้องหญิง อย่าวิ่ง!”

ผู้หญิงคนนั้นไม่ฟัง นางยังคงวิ่งอย่างเร็วรี่ พอผ่านถังหลี่ไปนางก็ล้มลงหมดสติ

ดวงตาของนางเหลือกเห็นแต่ตาขาว ถังหลี่เอื้อมมือไปพยุงตัวนางเอาไว้ก่อนที่นางจะล้ม ชายที่ตามมาคว้านางออกจากมือของถังหลี่อย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณแม่นางมาก” ชายคนนั้นขอบคุณถังหลี่ เขามองหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างกังวล แล้วเรียกนาง

“น้องหญิง ตื่นเถอะ”

“ให้ข้าช่วยไหม?” ถังหลี่อาสา

เขามองถังหลี่เพื่อขอความช่วยเหลือ นางเอื้อมมือไปบีบนวดเบาๆ หญิงสาวผู้นั้นจึงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมา

ชายคนนั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาขอบคุณถังหลี่ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ขอบคุณแม่นางมาก”

“ลูกข้า…ลูกข้าอยู่ที่ไหน” เสียงของนางแผ่วเบา

“น้องหญิงเรารายงานเจ้าหน้าที่ไปแล้ว ทางการกำลังช่วยตามหาเขาอยู่ กลับบ้านก่อนเถอะ” ชายคนนั้นพูดเสียงเบา

“ไม่ข้าจะหาเยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์กำลังทรมาน ข้าฝันถึงเขา เขาอยากให้ข้าช่วย..”

“น้องหญิง พวกเรากลับกันก่อนเถอะ แล้วค่อยออกมาตามหาเยว่เอ๋อร์อีกทีนะ”

ชายผู้นั้นปลอบโยนภรรยาอยู่นาน จนอารมณ์ของนางเริ่มสงบลง เขาหันไปขอบคุณถังหลี่อีกครั้ง ก่อนจะพากันเดินไป

“สามีภรรยาตระกูลจ้าวช่างน่าสงสารจริงๆ”

“ใช่แล้ว พวกเขาแต่งงานกันต่างรักใคร่กันดี นางให้กำเนิดเยว่เอ๋อร์ไม่นานหลังจากนั้น”

“ใช่ ลูกหายตัวไปเช่นนี้ นางจ้าวจึงได้เสียสติ”

“นางบอกว่าเมื่อคืนมีชายใส่หน้ากากผีสองคนมาขโมยลูกชายของนางไป แต่ไม่มีใครเห็นเลย ไม่รู้ว่านางพูดเหลวไหลอะไร”

“ผู้ชายใส่หน้ากากผีหรือ? ตระกูลจ้าวเป็นครอบครัวใหญ่ ใครจะมาขโมยเด็กจากพวกเขาไปได้ ข้าคิดว่าเขาคงหลงทางหายไป นางจึงได้คลุ้มคลั่งเสียสติเช่นนี้”

“พอพูดถึงเรื่องแล้วนี้เจ้าจำเรื่องผู้หญิงบ้าที่อยู่ทางใต้ของเมืองได้ไหม? เหมือนบุตรของนางหายไปก่อนนางจึงได้เสียสติไปเช่นกัน วัยหกเจ็ดขวบอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของตระกูลจ้าวเลย หรือจะเป็น…”

“แต่มันผ่านมาสองสามปีแล้วนะ ข้าว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า”

ลูกหาย?

หกหรือเจ็ดขวบ?

ถังหลี่เผลอขมวดคิ้วอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น ซานเป่า…

หญิงสาวรู้สึกกังวลขึ้นมา นางหันหลังกลับเดินไปที่จวนของอู่โหวแทน วันนี้ซานเป่าเล่นอยู่ที่นั่นทั้งวัน จนนางคิดถึงมารดาจึงได้ร้องขอให้ฮูหยินอู่ส่งนางกลับบ้าน ฮูหยินอู่จึงพานางไปขึ้นรถม้า

บนหลังคามีเงาดำสองคนกำลังซุ่มอยู่ พวกมันจ้องไปที่ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงอย่างละโมภ ต่างพยักหน้าให้กัน ลอบตามรถม้าไป ที่บริเวณหน้าจวนเป็นตลาดมีผู้คนไปมาพลุกพล่านอยู่ตลอด พวกมันรอจนกระทั่งรถม้าผ่านไปยังที่เปลี่ยวจึงเริ่มคิดที่จะลงมือ..แต่แล้วจู่ๆ มีร่างหนึ่งโผล่ออกมาหยุดรถม้าไว้ ก่อนที่จะปีนขึ้นไปในรถม้าคันนั้น รถม้าเลี้ยวกลับอ้อมไปยังบริเวณตลาดที่มีผู้คนคึกคักเช่นเดิม คนในชุดดำตามไปจนถึงบ้านสกุลเว่ยแต่หาโอกาสไม่ได้

พวกมันไม่พอใจ แต่ต้องรีบซ่อนตัว แล้วจ้องมองไปที่ประตูอย่างไม่คลาดสายตา

ถังหลี่เป็นคนหยุดรถม้าเอาไว้เอง นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก จึงได้ขอให้ฮูหยินอู่สั่งให้รถม้าอ้อมไปอีกทางที่ไกลกว่าเส้นทางเดิม แต่มีผู้คนพลุกพล่าน โชคดีที่พวกเขากลับมายังบ้านตระกูลเว่ยอย่างปลอดภัย นางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ถังหลี่ลงจากรถม้าพร้อมกับซานเป่า เด็กหญิงโบกมือให้กับท่านย่าของตน

“ลาก่อนท่านย่า”

ฮูหยินอู่หัวเราะอย่างมีความสุข

“ลาก่อนซานเป่า พรุ่งนี้ย่าจะมาหาใหม่นะ”

เมื่อรถม้าของสกุลอู่เคลื่อนตัวออกไป ถังหลี่จึงกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับซานเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง

….

ที่ศาลาว่าการ

ได้มีการประชุมโดยผู้มีอำนาจ คนแรกคือผู้ที่มีตำแหน่งและมีอำนาจที่สุดในมณฑลชิงเหอ นั่นคือ ท่านเจ้าคณะมณฑล ข้างๆ เขาคือเว่ยฉิงที่มีตำแหน่งเป็นรองเจ้าคณะมณฑล รวมเจ้าหน้าระดับสูงที่เข้าประชุมเป็นหกคนด้วยกัน

“วันนี้ตระกูลจ้าวมาแจ้งว่าบุตรวัยหกขวบของเขาหายไป คดีนี้เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของบุตรชายของตระกูลเฉินที่ขายเต้าหู้เมื่อสามปีก่อน และบุตรสาวที่หายตัวไปก่อนหน้าของช่างทาสีจางเมื่อห้าปีที่แล้ว หากย้อนกลับไปถึงสิบปี พวกเจ้าคิดว่าเกี่ยวข้องกับการหายไปของหลานชายตระกูลถังหยวนด้วยหรือไม่?”

ท่านเจ้าคณะมณฑลเหวินถาม ขึ้นมา ทุกคนต่างขมวดคิ้ว

“อายุของเด็กเหล่านี้ที่หายตัวไปอยู่ระหว่างห้าถึงสิบปี นางจ้าวกล่าวว่าตนเห็นชายสวมหน้ากากผีใส่ชุดดำสองคน ส่วนหลานชายที่หายไปของตระกูลถังนั้น คนรับใช้ก็พูดเช่นกันว่าพวกเขาเห็นชายชุดดำใส่หน้ากากผี ข้าคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกัน” คนผู้หนึ่งพูดขึ้นมา

เว่ยฉิงมองรายงาน

จำนวนเด็กที่หายไปไม่ได้ที่แค่เด็กที่ท่านเจ้าคณะเหวินกล่าวถึงเท่านั้น มีเด็กมากถึงยี่สิบคนที่ได้หายตัวไป พร้อมกับครอบครัวอีกยี่สิบครอบครัวที่หัวใจแตกสลายเต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา

“ผ่านมาสิบปีแล้ว คดียังไม่คลี่คลายเลย! ทั้งยังมีเด็กหายไปอีก พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” ท่านเจ้าคณะเหวินพูดอย่างเกรี้ยวกราด

เขากำลังอาละวาด โมโหในความไร้ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา ทุกคนในที่นั้นก้มหัวลง

“ใครจะรับผิดชอบสอบสวนคดีนี้?” ใต้เท้าเหวินพยายามระงับโทสะ

พวกเขาล้วนนั่งก้มหน้าไม่มีใครกล้าเงยขึ้นสบตา

คดีนี้เป็นคดีที่ยากมาก ตามสืบมาเป็นสิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครไขคดีได้สำเร็จ ไม่มีแม้แต่เบาะแส หากรับไปแล้วทำไม่ได้ขึ้นมาคงไม่อาจรักษาตำแหน่งหน้าที่ในราชการไว้ได้แน่ พวกเขาจึงไม่มีใครกล้าเสนอตัวรับงานนี้

“ใต้เท้า ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้เองขอรับ”

เว่ยฉิงที่เอ่ยปากอาสาขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด ใต้เท้าเหวินมองรองเจ้าคณะคนใหม่ ตำแหน่งที่เขารับผิดชอบนั้นเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของมณฑล คดีนี้เดิมทีจึงเป็นของรองเจ้าคณะคนก่อน แต่เขาปัดความรับผิดชอบทิ้ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรับทำคดี ใต้เท้าเหวินมองเว่ยฉิงอยู่นานด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก

“ตกลง ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน” ใต้เท้าเหวินกล่าว

“ภายในหนึ่งเดือนข้าจะต้องสืบคดีนี้ให้ได้” เว่ยฉิงเอ่ยปากรับคำ

เจ้าหน้าที่อีกสี่คนที่เหลือพากันลอบถอนหายใจอย่างความโล่งอก พวกเขาดีใจมากที่รองเจ้าคณะคนใหม่รับคดีนี้ไป ตั้งแต่เว่ยฉิงเข้ารับตำแหน่ง เขาใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างเฉียบขาดจนทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนไม่ชอบเขา ตอนนี้พวกเขาจึงได้แต่รอให้เว่ยฉิงรับคดีนี้ไปทำเสีย

ในอีกด้านหนึ่งถังหลี่รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เมื่อนางคิดถึงการหายตัวไปของเด็กๆ คืนนี้นางจึงพาซานเป่าเข้านอนด้วยเด็กหญิงมีความสุขมากที่ได้นอนกับมารดามารดา นางฟังนิทานที่ถังหลี่เล่าให้ฟังด้วย ใบหน้าไร้เดียงสา ไม่มีใครรู้เลยว่าในความมืดนั้นมีภัยร้ายกำลังซ่อนตัวอยู่