บทที่ 297 ความห่างชั้นของระดับเหนือนภา

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 297 : ความห่างชั้นของระดับเหนือนภา
บทที่ 297 : ความห่างชั้นของระดับเหนือนภา

“คนระดับนี้จะใช้กฎแห่งกรรมได้เช่นไร?!”

สีหน้าของซานดัลฟอนไม่อยากจะเชื่อสุดขีด มือของเธอกำเส้นใยแน่น ขายักษ์ทั้งแปดเสียบเข้าไปในผนังถ้ำรอบ ๆ และที่ท้องแมงมุมยักษ์ก็มีตุ่มเนื้อนูนขึ้นมาทีละก้อน ๆ

จากนั้นเปลือกตาที่หนักอึ้งก็เปิดออก เผยให้เห็นดวงตาแมงมุมสีแดงเลือดอันชั่วร้าย

นอกจากนี้ยังมีเส้นตาสีแดงจาง ๆ บนใบหน้าอันงดงามที่เหมือนไข่มุกสีดำนั้น

ทั้งถ้ำถล่มลงโดยสมบูรณ์ และพวกเอลฟ์ดำที่กำลังสักการะบูชาเธอก็ถูกฝังไว้ที่นี่ทั้งหมดด้วย!

อีเธอร์มหาศาลไหลย้อนกลับสู่ความว่างเปล่าและควบแน่นเป็นรูปกากบาทในสายตาของซานดัลฟอน เธอใช้พลังของตัวเองเข้าต่อต้านอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันมองไม่เห็นที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

ดังที่ว่าไปก่อนหน้านี้ ความแตกต่างที่แยกระหว่างระดับภัยพิบัติและระดับเหนือนภาที่ใหญ่ที่สุดคือการรับรู้และใช้งานกฎเกณฑ์ต่าง ๆ

ทว่ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ก็มีแบ่งความยากง่ายกันอีก การติดต่อระหว่างกฎเกณฑ์ก็มีระดับขั้น ดังนั้นความห่างชั้นระหว่างระดับเหนือนภาด้วยกันเองจึงอาจจะใหญ่หลวงกว่าความห่างชั้นระหว่างระดับเหนือนภากับระดับภัยพิบัติอีก

ท้ายที่สุดแล้ว กฎบางอย่างเองก็ไม่มีพลังโดดเด่นใด ๆ…ผู้ที่ใช้กฎเหล่านี้เพื่อขึ้นเป็นระดับเหนือนภาก็กล่าวได้ว่าเป็นผู้ฉวยโอกาส และพวกเขาไม่สามารถเทียบได้กับระดับเหนือนภาที่แท้จริง

ตัวอย่างเช่น เทพพิรุณ สัตว์มายาที่หมาป่าขาวเรียกมาก่อนหน้านี้ จัดเป็นระดับเหนือนภาสายหลัก

แม้ว่าระดับเหนือนภาที่อยู่ในนอร์ซินจะมีไม่กี่คน แต่ก็ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าในแดนนิมิตจะมีตัวตนระดับเหนือนภาอยู่มากแค่ไหนกันแน่ เพราะถึงอย่างไร ระดับนั้นก็ถูกกำหนดโดยผู้คน แต่สัตว์มายาไม่ใช่คน

แต่ความจริงก็ช่างแสนเศร้าโดยแท้ เพราะจำนวนของสัตว์มายาระดับเหนือนภาในแดนนิมิตมีมากกว่าผลรวมของบุคคลระดับเหนือนภาในนอร์ซินอยู่มากโข แต่โชคดีที่โดยทั่วไปแล้วตัวตนเหล่านี้มีโอกาสไม่สูงนักที่จะหลุดเข้ามาในนอร์ซิน ไม่อย่างนั้นมนุษย์คงทำได้เพียงสร้างกำแพงสูงสามชั้นแล้วใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวแดนนิมิตไปตลอดกาลแน่นอน

…แม้ว่าตอนนี้จะไม่เลวร้ายไม่ต่างกัน แต่ถ้าไม่มีมหากำแพงหมอกล่ะก็ ทั้งเมืองนอร์ซินก็คงไม่เหลือแล้ว…!

กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ต่อให้วิญญาณของแคนเดลาจากยุคโบราณจะไม่ปรากฎตัวขึ้นในเวลานั้น แต่ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์สองสามกระบอกของสมาคมแห่งสัจธรรมก็อาจทำให้มันสิ้นสมรรถภาพในการต่อสู้ไปได้ จากนั้นก็รอให้หน่วยรบระดับภัยพิบัติมาจัดการปัญหาเหล่านี้ต่อได้ ‘อย่างสมบูรณ์แบบ’

ส่วนอาคารและผู้คนที่พังทลายตายจากไปน่ะหรือ?

ขออภัย…นั่นมันเป็นผลมาจากน้ำท่วมและโรงงานระเบิดที่เกิดจากฝนตกหนักต่างหาก!

กลับเข้าประเด็น กฎที่เทพพิรุณเชี่ยวชาญก็คือขอบเขตกฎของ ‘ฝน’ ซึ่งเป็นการรวมกฎที่อ่อนแอของธาตุน้ำและธาตุสายฟ้าเข้าด้วยกัน และสามารถควบคุมองค์ประกอบเหล่านี้ได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถขึ้นไปสู่แนวคิดระดับสูงได้ อันที่จริงแล้วนี่เป็นกฎที่อ่อนแอมาก

หากเทพพิรุณควบคุมกฎที่สูงกว่านี้ได้ ‘ฝน’ จะไม่ได้มาจาก ‘น้ำ’ และ ‘สายฟ้า’ แต่เป็น ‘วัฏจักร’ และ ‘การเปลี่ยนแปลง’

และถ้าสูงกว่านั้นอีกก็จะเป็น ‘นิรันดร์’

ระหว่างสามช่วงนั้นเทียบกันไม่ติดเลย และความแตกต่างระหว่างพวกมันก็แสดงถึงความแตกต่างภายในของระดับเหนือนภา

พื้นฐาน ที่มา กฎเกณฑ์

นี่คือระดับย่อยทั้งสามที่ชัดเจนของระดับเหนือนภา แต่จากมุมมองอันเคร่งครัดแล้ว ผู้ที่ไปถึงถึงระดับที่สามได้เท่านั้นจึงจะเรียกว่าระดับเหนือนภาอย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่น พลัง ‘ต้นกำเนิดมรณะ’ ของมูเอนมีพื้นฐานอยู่ที่การฆ่า ที่มาของมันคือความตาย และกฎที่ใช้คือกฎแห่งกรรม เพราะเธอสืบทอดตัวตนของดวงจันทร์มาโดยตรง ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นของเธอโดยธรรมชาติ แต่เธอก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อที่จะค่อย ๆ ควบคุมมัน

สำหรับระดับเหนือนภาคนอื่น ๆ ก็ต้องไปหากันเอง

พื้นฐานของ ‘มารดาแห่งแมงมุม’ ซานดัลฟอนคือ ‘การถักทอ’ และที่มาก็คือ ‘ความสัมพันธ์’ ที่มี ‘การต่อ’ และ ‘การตัด’

แต่กฎแห่ง ‘ชะตากรรม’ นั้น…เธอในตอนนี้เพิ่งจะได้สัมผัสมันนิดหน่อยเท่านั้นเอง

แล้วตอนนี้ เธอก็ต้องใช้ ‘ความสัมพันธ์’ เพื่อ ‘ตัด’ ‘กฎแห่งกรรม’ ของอีกฝ่าย

ใยแมงมุมเชื่อมโยงไปในความว่างเปล่านั้นต่อไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยด้วงเงานับไม่ถ้วน แสดงให้เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของพวกมัน

เหลือด้วงเงาอยู่ทั้งหมดสามพันเจ็ดร้อยยี่สิบสองชีวิต!

ดังเช่นเปลวเทียนที่ไหวไปตามลม ในตอนที่ร่างกายของคลีฟแลนด์สลายเป็นแสงจันทร์ พวกเขาก็ถูกสายลมแห่งกฎเกณฑ์สลายร่างเป็นธุลีไปตามลำดับก่อนหลังในการติดต่อกับคลีฟแลนด์…

แม้ว่าซานดัลฟอนจะตื่นกลัวความลึกล้ำในกฎเกณฑ์ของอีกฝ่าย แต่ในฐานะระดับเหนือนภามือเก่า เธอจึงรู้ดีว่าความเชี่ยวชาญและการติดต่อกับกฎเกณฑ์ของอีกฝ่ายนั้นยังตื้นมาก

พูดง่าย ๆ ก็คืออีกฝ่ายเป็นเหมือนเด็กที่มีปืนใหญ่

แม้ว่าอาวุธในมือจะร้ายแรง แต่เธอก็ยังไม่มีพลังพอจะใช้งานมันได้เต็มที่

แม้ว่าพลังของลูกกระสุนปืนใหญ่เองจะยิ่งใหญ่มากจนสามารถฆ่าคนกลุ่มหนึ่งได้เพียงแค่ยิงออกไป แต่ถ้าออกไปเผชิญหน้ากับผู้ใหญ่ที่ถือปืนพก มันก็อาจจะเสมอกันหรือด้อยกว่าก็ได้

“บ้าจริง! ช่วยได้แค่หนึ่งในสามเท่านั้นเอง!”

สีหน้าของซานดัลฟอนบูดเบี้ยว เส้นใยรอบ ๆ ตัวเธอราวหนึ่งในสิบสูญเสียความงามเป็นประกายของมัน แล้วกลายเป็นดั่งเถาวัลย์แห้ง บ้างเหี่ยวลง บ้างไหม้เกรียม บ้างร่วงหล่นหรือขาดจากกัน

เส้นใยเหล่านั้นคือเส้นใยที่เธอใช้ควบคุมด้วงเงา

ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็คือเครื่องมือที่วิถีแห่งดาบอัคคีใช้งานได้ง่ายที่สุดในขณะนี้แล้ว

หลังจากไม่มีโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ด้วงเงาพวกนี้ก็ต่อสายงานส่งข่าวกรองแล้วคงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกวิถีแห่งดาบอัคคีไว้อย่างง่อนแง่น

แล้วตอนนี้พวกมันส่วนใหญ่ก็หายไปแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกบางคนของวิถีแห่งดาบอัคคียังประสบอุบัติเหตุน้อยใหญ่จนเสียชีวิตไปเช่นกัน

ซานดัลฟอนกระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง ขาที่ใหญ่โตทั้งแปดก่อวินาศกรรม ในที่สุดเธอก็สัมผัสได้ถึงตัวตนที่ทำให้เธอสูญเสียหนึ่งในสิบของ ‘ความสัมพันธ์’ ของเธอไป

“นี่มัน…นี่มันเป็นไปไม่ได้น่า! ไฉนจึงเป็นระดับภัยพิบัติได้เล่า?! ไยระดับภัยพิบัติจึงสามารถใช้กฎเกณฑ์นี้ได้ แถมยังเป็นกฎแห่งกรรมอีก?!”

ภาพที่ซานดัลฟอน ‘เห็น’ จากความว่างเปล่าคือเด็กสาวที่ปกคลุมด้วยแสงจันทร์ ใบหน้าของเธอพร่ามัว ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งแสงจันทร์ แล้วเธอก็มาหยุดตรงหน้าหุ่นเชิดและตัวตายตัวแทนของเธอได้ในพริบตา

และสิ่งที่มาถึงก่อนตัวเธอก็คือหอกยาวที่ก่อตัวขึ้นจากแสงจันทร์

หอกแสงจันทร์อันแหลมคมนี้พุ่งแหวกอากาศหลายพันไมล์ และดิ่งลงมาก่อนที่จะแทงเข้าไปในร่างยักษ์ของหุ่นเชิดอย่างไม่อาจยับยั้งได้…

มันแทงผ่านกะโหลกมนุษย์และดวงตาแมงมุมด้านล่างอย่างพร้อมเพรียงกัน หุ่นเชิดผู้น่าสงสารส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน และเกิดเป็นภาพลูกธนูที่มีความงามแปลกตา

แล้วจากนั้น รัศมีแสงจันทร์ก็รวมกันเป็นวงกลมเพื่อกักขังหุ่นเชิดไว้กับที่

แล้วเธอก็ใช้กฎเกณฑ์ของเธอออกมาอย่างรวดเร็ว

นี่คือความเร็วของ ‘แสงจันทร์’

นี่คือพลัง ‘ภาพฉายสะท้อนจันทร์’

ซานดัลฟอนจ้องที่หอกยาวเล่มนั้นอย่างตาค้าง เธอสัมผัสถึงออร่าแห่งกฎเกณฑ์ได้อีกแล้ว!

“แต่… น…นี่ก็เป็นไปได้ด้วยหรือ? สองกฎเกณฑ์เนี่ยนะ?”

หุ่นเชิดตัวนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวที่เธอใช้เป็นตัวตายตัวแทนด้วยกฎเกณฑ์ ‘โชคชะตา’ ตามแนวคิดแล้วถือได้ว่ามันเทียบได้กับตัวเธอเอง ส่วนในแง่ของความแข็งแกร่งก็เทียบได้กับเธอที่เชี่ยวชาญเฉพาะ ‘การถักทอ’

แต่ตอนนี้ จากแค่ที่เห็น…ไม่สิ กระทั่งในสายตาของหุ่นเชิดตัวนั้น เธอยังไม่ทันได้เห็นศัตรูปรากฏตัวเลย แต่ก็ถูกหอกยาวเสียบจนกระดิกไม่ได้ไปแล้ว

ถ้าลองเปลี่ยนเป็นร่างหลักล่ะก็…

ซานดัลฟอนพลันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอกำลังทำลายความรู้ความเข้าใจทั้งหมดที่มี ทำให้เธอรู้สึกมึนงงราวกับเป็นกบที่อยู่ก้นบ่อน้ำมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี…

แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวของซานดัลฟอนด้วย

“นางผู้นี้เป็นใครกัน?!”

ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ทำให้เธอสูญเสีย ‘ความสัมพันธ์’ ไปหนึ่งในสิบทันทีที่ปรากฏตัว แถมยังทำลายตัวตายตัวแทนของเธอไปอีกหนึ่งตัวเธอเป็นใครกันแน่?

ซานดัลฟอนไม่กล้าใช้พลังของเธอเองเพื่อตรวจสอบตรง ๆ และทำได้เพียงดูดซับความทรงจำของหุ่นเชิดที่ยังเหลืออยู่มาประมวลผลเท่านั้น แล้วในที่สุดเธอก็ได้รับข้อมูลที่ทำให้เธอเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

นี่มัน นี่มันผู้ช่วยของเจ้าของร้านหนังสือคนนั้นนี่?!!!