บทที่ 273 นี่มันเรื่องอะไรกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 273 นี่มันเรื่องอะไรกัน
ลูกจ้างอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ที่จะสามารถคำนวณบัญชีได้ และสามารถคำนวณได้เร็วกว่าและดีกว่าเหมียวเอ้อร์ แน่นอนว่าเถ้าแก่ก็จะต้องเชิญมาอย่างแน่นอน เป็นผู้หญิงแล้วอย่างไร”

“ผู้คนในกลุ่มของเราต่างก็มีพี่สาวน้องสาวอยู่ที่บ้าน แต่พวกนางออกไปหาเงินได้ที่ไหนกัน? นั่นเพราะพวกนางไม่เข้าใจทักษะเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นก็คงได้เป็นคนทำบัญชีแล้ว ทั้งน่านับถือและรายได้ก็ดี” หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างอิจฉา “นั่งในห้องรับรอง ใช้พู่กันและลูกคิด ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องเก็บจานและกวาดพื้น”

“ใช่แล้ว พวกเรามาทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีกันเถอะ พวกเราคำนวณบัญชีไม่เป็น แต่ถ้าเราทำหน้าที่ได้ดี เราก็จะกลายเป็นหัวหน้า ค่าแรงก็จะเพิ่มเป็นสองเท่า”

“อืม ๆ ใช่แล้ว ๆ ถ้าเราทุกคนต่างทำงานหนัก เถ้าแก่ก็จะเห็นอกเห็นใจเรา”

ลูกจ้างก็แยกย้ายกันไปหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนต่างยุ่งกับงานที่ทำอยู่

มีเพียงคนเดียวที่ครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ดึงคนข้าง ๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่าเพิ่งไป มีคนทำบัญชีหญิงในร้านอาหารของเราจริงอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว! มีอะไรหรือเสี่ยวหลีจื่อ” ชายที่ถูกถามเอ่ยขึ้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด?” คนที่ชื่อเสี่ยวหลีจื่อเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น

“ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงที่มาเมื่อเช้านี้ ข้าได้ยินจากฉางเซิงว่าแซ่ของนางคือกู้!” หลังจากที่ชายผู้นั้นตอบ เขาก็มองที่เสี่ยวหลีจื่ออย่างสงสัย

เสี่ยวหลี่จื่อไม่ได้กล่าวอะไรอีก หากแต่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับมารู้สึกตัวและตบต้นขาของเขา “โอ้ นางนั่นเอง!”

เสียงนั้นค่อนข้างดังและเสี่ยวหลีจื่อก็รีบปิดปากของตนเองอย่างรวดเร็ว มองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนกำลังทำสิ่งต่าง ๆ และไม่ได้มองมาที่เขาเลย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจ และเขาก็หันซ้ายหันขวาอีกครั้งเพื่อทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขา จากนั้นจึงเปิดประตูหลังและเดินออกไป

และวิ่งมาที่บ้านของเหมียวเอ้อร์

เหมียวเอ้อร์กำลังดื่มอยู่ที่บ้าน ช่วงนี้มีเรื่องไม่ค่อยดีนัก เดิมทีเขาต้องการหางาน เขาได้ออกไปหางานทำทั่วเมืองหลิวเจีย แต่ไม่มีร้านอาหารใดที่ยินดีรับเขาเลย
ในเมืองหลิวเจียแห่งนี้ร้านอาหารที่ดีที่สุดคือร้านจิ่นฝู และรองลงมาคือร้านซุ่นซิน ส่วนที่เหลือเป็นร้านขนาดเล็กและไม่ต้องการคนทำบัญชี เพราะเป็นร้านที่สามีและภรรยาช่วยกันปิดร้านในตอนกลางคืนและนั่งอยู่ใต้ตะเกียงเพื่อสรุปว่าวันนี้ได้เงินมาเท่าไร การคำนวณบัญชีแบบง่าย ๆ พวกเขาจึงไม่ต้องการคนทำบัญชีเลย
นอกจากร้านอาหารแล้ว เหมียวเอ้อร์ยังได้ไปที่ร้านขนมอีกด้วย แต่เจ้าของร้านก็ทำได้ดีและไม่เคยมีความคิดที่จะเลิกทำ และทุกคนก็ทำงานที่นี่มานานแล้ว ทุกคนจึงรู้การจัดการร้านในเบื้องหลังเป็นอย่างดี และเหมียวเอ้อร์ผู้นี้ก็ได้ออกมาจากร้านขนมอีก

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหมียวเอ้อร์ออกมาจากร้านจิ่นฝูเพราะเหตุใด แต่ทุกคนก็เดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อเหมียวเอ้อร์มาหางานที่ร้านของตนเอง พวกเขาจึงปฏิเสธทันที

เหมียวเอ้อร์หางานทำอยู่เป็นเวลาหลายวัน และเกือบจะไปครบทุกร้านค้าในเมืองหลิวเจียแล้ว แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ และตอนนี้เขากำลังเร่งรีบเพราะที่บ้านไม่มีแหล่งรายได้ที่มั่นคงและมีอีกหลายปากท้องที่ต้องกิน เช่นนี้จะทำอย่างไร!
เมื่อเหมียวเอ้อร์กำลังดื่มอย่างไม่มีความสุข เขาก็เห็นเสี่ยวหลีจื่อวิ่งมาอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นเหมียวเอ้อร์ เสี่ยวหลี่จื่อก็ไม่สนใจที่จะเช็ดเหงื่อและรีบกล่าวว่า “คุณชายเหมียว ร้านจิ่นฝูมีคนทำบัญชีมาใหม่!”

เมื่อเหมียวเอ้อร์ได้ยินเสี่ยวหลีจื่อกล่าวก็ตอบรับอย่างขอไปที
เนื่องจากเขาออกมาจากร้านจิ่นฝูแล้ว หลี่ฝานผู้นั้นจะหาคนทำบัญชีใหม่ก็ไม่แปลกอะไร
เมื่อเสี่ยวหลีจื่อเห็นว่าเหมียวเอ้อร์ไม่แยแส เข้าก็กังวลเล็กน้อย จากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “คุณชายเหมียวเซียนเชิง ท่านไม่ต้องการรู้หรือว่าคนทำบัญชีผู้นี้เป็นใคร?”

เมื่อได้ยินเสี่ยวหลี่จื่อกล่าวเช่นนั้น เหมียวเอ้อร์ก็สงสัยเล็กน้อย เขาเหลือบไปที่เสี่ยวหลี่จื่อด้วยสีหน้าที่รอคอย เหมียวเอ้อร์จึงวางแก้วลงและกล่าว “หลี่ฝานหาผู้ใดมาล่ะ?”

“คุณชายเหมียวเซียนเชิง เป็นคนที่ท่านไม่สามารถคาดเดาได้!” เสี่ยวหลีจื่อแสร้งทำเป็นเรื่องลึกลับ

หลังจากที่เหมียวเอ้อร์ได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง และมีร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา “เป็นนางอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของเหมียวเอ้อร์ เสี่ยวหลีจื่อก็เดาได้ และพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใช่แล้วคุณชายเหมียว เป็นสาวน้อยกู้ผู้นั้น”

หลังจากที่เหมียวเอ้อร์ได้ยินสิ่งนี้ เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากของเขาก็แทบจะระเบิดออกมา จากนั้นเขาก็ตบมือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง

เหมียวเอ้อร์คว่ำโต๊ะ จากนั้นถ้วย จาน และเครื่องดื่มบนโต๊ะตกลงมากระจัดกระจายอยู่บนพื้น เสี่ยวหลีจื่อไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อรับแรงโกรธเช่นนี้ของเหมียวเอ้อร์ เมื่อเขาเข้าไปใกล้ น้ำแกงผักในชามก็กระเด็นใส่เท้าของเขาจนเปรอะเปื้อนไปทั่ว

เสี่ยวหลีจื่อสะบัดรองเท้าของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำแกงผัก เพราะเขากลัวว่ามันจะเปียกไปถึงด้านใน
หลังจากที่เหมียวเอ้อร์คว่ำโต๊ะ เขาก็ยืนขึ้น หรี่ตาลง กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก และเส้นเลือดของเขาก็ราวกับจะระเบิดออก
รองเท้าของเสี่ยวหลีจื่อเปียกไปหมด มันทั้งเหนียวและอึดอัด แต่ความโกรธของเหมียวเอ้อร์ก็ทำให้เขากลัวเล็กน้อย อยากจะออกไปแต่ก็ไม่กล้า และในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาไม่น่ามาที่นี่เลยจริง ๆ

เสี่ยวหลีจื่อไม่เคยเห็นเหมียวเอ้อร์โกรธเช่นนี้ แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับมันก็ไม่น่าแปลกใจเพราะอาชีพของเหมียวเอ้อร์ถูกคนอื่นแย่งชิงไป เหมียวเอ้อร์จึงต้องโกรธมากเป็นธรรมดา เมื่อก่อนเสี่ยวหลีจื่อมักจะเดินตามหลังเหมียวเอ้อร์และคอยรับใช้เขาอยู่เสมอ เหมียวเอ้อร์เห็นว่าเสี่ยวหลีจื่อสดใสมากและเขาก็ค่อนข้างชอบ บางครั้งเขาจะให้รางวัลกับตนเองอีกด้วย เมื่อเสี่ยวหลีจื่อเห็นว่าการอยู่กับเหมียวเอ้อร์ทำให้เขาร่ำรวย เขาจึงมีแรงจูงใจที่จะติดตามเหมียวเอ้อร์มากขึ้น
เดิมทีที่เขามาในครั้งนี้ เสี่ยวหลีจื่อคิดว่าเมื่อตนเองมาส่งข่าวเรื่องใหญ่เช่นนี้ เหมียวเอ้อร์ก็คงจะให้เงินจำนวนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาดูโกรธมาก เกรงว่าเขาจะจำเรื่องนี้ไม่ได้ เฮ้อ ซ้ำยังต้องเสียรองเท้าไปอีกคู่ และเมื่อกลับไปคงต้องทำความสะอาด อย่างไรเสียก็ไม่คุ้ม

เหมียวเอ้อร์โกรธจนถึงขีดสุด

กู้เสี่ยวหวานผู้ซึ่งตัดโชคชะตาของเขา และในวันนี้นางยังชิงตำแหน่งของเขาไปอีก เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เหมียวเอ้อร์ก็โกรธจนตัวสั่น

“นี่มันอะไรกัน!” แต่ละคำที่เหมียวเอ้อร์พ่นอกมาราวกับกำลังถุยกระดูกของกู้เสี่ยวหวานออกมา

เมื่อเห็นว่าในที่สุดเหมียวเอ้อร์ก็กล่าวออกมา เสี่ยวหลีจื่อจึงกล่าวจากด้านข้างว่า “คุณชายเหมียว ไม่ใช่แค่นั้นนะ! มันเป็นการกลั่นแกล้งกันเกินไป เจ้าของร้านยังจัดห้องรับรองแยกต่างหากสำหรับสาวน้อยผู้นั้นอีกด้วย”