บทที่ 307 จะคอยดูว่าเมื่อคุณเห็นรูปร่างหน้าตาของคุณ Jarvis แล้ว คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ในเวลานี้ เครื่องบินกำลังจะบินขึ้น และแอร์โฮสเตสก็ขอให้ผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย

ฮั่วชิงชิงหันมองออกไปนอกหน้าต่าง มองเครื่องบินค่อย ๆทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า……

น้ำตาของเธออดไม่ได้ที่จะไหลลงมา

อันที่จริง เธอต้องการให้ฟู่สีเกอมาส่งเธอมาก แต่เขามีแฟนแล้ว และไม่ว่าเธอจะไม่อยากสูญเสียเขาไปแค่ไหน แต่ยังไงซะมันก็เป็นแค่อดีตที่ผ่านไปแล้ว

หลังจากที่เธอฟื้นคืนมา เหมือนโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และในหัวของเธอมีคำศัพท์ใหม่ ๆ มากมาย: WeChat แพลตฟอร์มถ่ายทอดสด การชำระเงินผ่านมือถือ รหัส QR……

และความทรงจำของเธอที่แสดงอยู่บนหน้าจอสีนั้นยังคงเป็นมือถือรุ่นใหม่ Nokia ครองโลกทั้งใบ……

ข้างกายเธอไม่มีแฟนหนุ่มอยู่อีกแล้ว และใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน

หันจื่ออี้รู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆเธอดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถาม: “คุณฮั่วครับ เกิดอะไรขึ้น?เป็นเพราะว่าสภาวะไร้น้ำหนักบนเครื่องบินทำให้รู้สึกไม่สบายหรือเปล่าครับ?”

ฮั่วชิงชิงเดิมไม่ต้องการพูดอะไร แต่หันจื่ออี้เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเธอ ดังนั้นเธอจึงพยายามควบคุมอารมณ์ หันศีรษะและส่ายหัว: “ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”

แม้ว่าเธอจะบอกว่าไม่ได้เป็นไร แต่เสียงสั่น ๆและดวงตาที่แดงก่ำก็พิสูจน์ได้ว่าเธอกำลังโกหก

หันจื่ออี้ยกมือขึ้นเรียกหาแอร์โฮสเตสเพื่อขอกระดาษทิชชู่แล้วยื่นให้ฮั่วชิงชิง: “ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจ ก็บอกผมได้ทันทีเลยนะครับ”

ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาจงใจพูดเยาะเย้ยว่า: “เพราะคุณเป็นคนที่ผมตั้งใจจะช่วยชีวิตไว้ตั้งแต่แรก ถ้าคนที่ถูกช่วยชีวิตฟื้นคืนมาแล้ว ดันเกิดเรื่องในระหว่างทางแล้วล่ะก็ ผมก็เสียแรงเปล่านะสิ!”

ในที่สุดฮั่วชิงชิงก็ยิ้ม แล้วพูดว่า: “คุณหัน ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณเสียแรงเปล่า ๆหรอกนะคะ!รอเมื่อฉันกลับถึงบ้านแล้ว จะให้ครอบครัวของฉันสั่งทำธงใหญ่และส่งไปที่องค์กรของคุณ!”

หันจื่ออี้ยิ้ม: “อันที่จริง องค์กรของเราไม่ใหญ่มาก และเป็นองค์กรสมัครเล่นที่ไม่ใช่ภาครัฐ ปกติแล้วธงแบบนี้ทางองค์กรก็ขาดจริง ๆ ถ้างั้นผมจะตั้งตารอนะครับ!”

“ตกลง!” ในขณะที่ฮั่วชิงชิงพูดอยู่นั้น ในที่สุดก็มีรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

หลังจากที่ทั้งสองพูดเล่นกันแบบนี้ ความรู้สึกห่างเหินก็น้อยลงเล็กน้อย และหันจื่ออี้ก็พูดว่า: “ใช่สิ ผมยังไม่มีโอกาสได้ถามคุณเลย คุณกับคุณฟู่เป็นเพื่อนกันตอนสมัยเรียนมาก่อนเหรอครับ?”

สีหน้าที่แสดงออกของฮั่วชิงชิงเศร้าเล็กน้อย จากนั้นเธอก็มองไปที่เมฆนอกหน้าต่างและพูดว่า: “คุณหัน เดี๋ยวฉันเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้คุณฟังนะคะ!”

ในขณะที่เธอพูดอยู่นั้น เธอค่อย ๆ ดื่มน้ำและพูดว่า: “ตอนนั้นฉันอายุสิบสี่ปีและสีเกออายุสิบห้าปี เขาและครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวบ้านเกิดของฉัน ……”

ในขณะที่เธอพูดอยู่นั้น ภาพแห่งความทรงจำค่อย ๆปรากฏขึ้น: “ในตอนนั้นความสัมพันธ์ของเราดีมาก แม้ว่าเราเรียนกันคนละที่และอาศัยอยู่คนละเมือง แต่เรากลับมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยหนิงเฉิง”

“ต่อมาเขาผ่านการสอบคัดเลือกก่อน และฉันก็สอบผ่านในปีที่สอง แต่อยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนั้น……” ในขณะที่เธอพูดอยู่นั้น เวลาผ่านไปนานพอสมควร โดยเธอไม่สามารถพูดต่อไปได้

จนกระทั่งเธอค่อย ๆ ดื่มน้ำในแก้วจนหมด ฮั่วชิงชิงกล่าวว่า: “คุณหัน คุณดูฉันสิ ตอนนี้ฉันจบแค่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉันไม่รู้อะไรเลย หลังจากฟื้นคืนมา แม้แต่ร่างกายของฉันก็ไม่สามารถเล่นกีฬาที่ฉันชอบเล่นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ……”

ฮั่วชิงชิงกัดริมฝีปากของเธอ พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตา: “เมื่อฉันฟื้นขึ้นมา ฉันคิดว่าฉันอายุแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดปี แต่ฉันผ่านวัยนี้ไปนานแล้ว คนรอบข้างผู้หญิงทีมีอายุเท่าฉัน บางคนแต่งงานมีลูกแล้ว บางคนก็เรียนจบระดับปริญญาโทด้วย แต่ฉันไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยแม้แต่วันเดียว……”

เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ :“คุณรับรู้ถึงความรู้สึกแบบนั้นไหม?ความรู้สึกที่ว่าฟื้นคืนมาแล้วสิ่งดี ๆ ทั้งหมดกลับหายไป ……”

หันจื่ออี้มองดูฮั่วชิงชิงทนกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา และภายในจิตใจเขารู้สึกทรมานเล็กน้อย เขาอ้าปากแล้วพูดว่า: “ถ้าคุณอยากจะร้องไห้ ก็ร้องไห้ออกมาเถอะ!”

ฮั่วชิงชิงทนต่อไปไม่ไหว เธอฟุบลงบนโต๊ะเล็ก ๆ บนเครื่องบินจากนั้นก็เริ่มร้องไห้ออกมา

หันจื่ออี้มองไปที่ไหล่ที่สั่นเทาของเธอ และก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

หญิงสาวอายุ 26 ปีที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เป็นเพราะอยู่ในอาการโคม่ามานานถึงแปดเก้าปีแล้ว และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอมันหยุดอยู่ตรงที่ช่วงอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี

ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือประสบการณ์และความจำ

อย่างไรก็ตาม โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป และทุกอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยเป็น

ความจริงมันช่างโหดร้ายกับเธอเหลือเกิน!

เมื่อเห็นว่าไหล่ของเธอสั่นเทา หันจื่ออี้ก็พูดว่า: “แล้วคุณอยากฟังนิทานจากผมสักเรื่องหนึ่งไหม? ”

ฮั่วชิงชิงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไปที่หันจื่ออี้ด้วยสายตาที่พร่ามัว

หันจื่ออี้ยิ้ม: “ความจริงแล้วคุณกับผมเหมือนกันมากจริง ๆ! จำ ‘เสี่ยวถาง’ คนที่โยวโยวพูดถึงตอนที่เราทานมื้อค่ำเมื่อคืนนี้ได้ไหม?”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า

หันจื่ออี้กล่าวต่อว่า: “จริง ๆ แล้ว สมัยตอนที่เราเรียนอยู่มัธยมปลายนั้น มันก็นับว่าเป็นรักแรกแหละมั้ง! ตอนนั้นความสัมพันธ์ของเราดีมาก ผมคิดว่าในอนาคตผมต้องได้แต่งงานกับเธอ ในตอนนั้นผมเป็นรุ่นพี่เธอสองปี ดังนั้นผมจึงสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก่อน และรอให้เธอสอบเข้ามหาลัยตามมาทีหลัง”

ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า: “เช่นเดียวกับคุณ เธอก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลับต้องเลือกเรียนวิชาเอกวิศวกรรมซอฟต์แวร์เพราะผม ”

ฮั่วชิงชิงฟังนิทานของเขาจนเพลินและเริ่มให้ความสนใจเรื่องราวที่เขากำลังเล่าแล้ว เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ: “แล้วไงต่อคะ?”

“จากนั้น เราก็แยกทางกัน” หันจื่ออี้เม้มปาก นัยน์ตาเศร้าเสียใจ แต่น้ำเสียงของเขาดูอ่อนลง:“พ่อแม่ของผมเสียชีวิตในปีนั้น และต่อมาผมก็รู้ว่ามันเป็นความคับแค้นใจจนเกิดจากการฆาตกรรม เดิมทีผมเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันกับเธอ แต่เนื่องจากการสอบสวนคดีพ่อแม่ของผม ผมจึงถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศ และไม่มีข่าวคราวจากเธออีกเลย หลังจากแยกทางกับเธอแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยเป็นเวลาหกปี”

ฮั่วชิงชิงขยับตัวเล็กน้อย

ใช่สินะ ในโลกนี้ เวลาเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และโหดร้ายที่สุด

หันจื่ออี้ยิ้ม: “จากนั้น ผมหายตัวไปหกปีแล้วกลับมา แต่เธอกลับแต่งงานแล้ว”

เขาดื่มน้ำส้มในแก้วจนหมดแล้วพูดว่า: “ความจริงแล้วผมเลวกว่าคุณอีก คุณเห็นไหม เมื่อวานคุณไม่ต้องการทำให้คุณฟู่ลำบากใจ ดังนั้นคุณจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งคุณกลับบ้าน แต่กลับให้ผมไปส่งแทน แต่หลังจากที่ผมรู้ข่าวว่าเสี่ยวถางแต่งงานแล้ว ผมยังคิดวางแผนที่จะแยกเธอกลับคืนมา ”

ฮั่วชิงชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานเธอก็เข้าใจแล้ว: “คุณคิดว่าเธอไม่มีความสุขหลังจากแต่งงานเหรอ?”

“ใช่สิ ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น” น้ำเสียงของหันจื่ออี้ค่อนข้างผิดหวัง: “แต่หลังจากนั้นแล้ว ผมกลับพบว่าสามีของเธอปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี ดังนั้นผมจึงหาเหตุผลที่จะทำลายครอบครัวของเธอไม่ได้”

“ดังนั้น คุณจึงยอมปล่อยมือ?” ฮั่วชิงชิงถาม

“ถ้าผมไม่ยอมปล่อยมือแล้วผมมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?” หันจื่ออี้ก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วย: “เธอท้องแล้ว เธอมีลูกกับคนอื่นแล้ว ผมไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว……”

หลังจากที่เขาพูดจบ อารมณ์ของทั้งคู่ก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย และเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศก็ค่อนข้างอึมครึม

ราวกับว่าหันจื่ออี้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขายกน้ำส้มในมือขึ้น: “คุณฮั่ว คุณเห็นไหมว่ายังมีผู้คนมากมายในโลกที่เหมือนคุณ ดังนั้นอวยพรสำหรับคนอย่างพวกเราที่ผิดหวัง ไชโย!”

“โอเค ไชโย!” ฮั่วชิงชิงหยิบแก้วกระดาษที่ใช้แล้วทิ้งไปชนแก้วกับหันจื่ออี้

*

คำสั่งการประชุมระดับโลกของบริษัท Alliance Technology ทำให้วิศวกรซอฟต์แวร์จำนวนมากต้องตื่นตัว ท้ายที่สุดบริษัท Alliance Technology ถูกเรียกประชุมกันทั่วโลก และตราบใดที่พวกเขาได้รับเลือกให้เข้าสู่รอบต่อไป พวกเขาอาจได้รับข้อเสนอจากสำนักงานใหญ่บริษัท Alliance Technology ก็เป็นได้

สวัสดิการของสำนักงานใหญ่บริษัท Alliance Technology นั้นดีแค่ไหนเป็นที่ทราบกันดีมาโดยตลอด ดังนั้น หลายคนจึงมองว่ามันเป็นโอกาสดี ในโลกนี้ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคร้าย และกำลังรอโอกาสเพื่อพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น

หลังจากหลานเสี่ยวถางผ่านการคัดเลือก ได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบที่สอง วันรุ่งขึ้น เธอได้รับแจ้งให้เข้าสู่รอบที่สาม

เมื่อเธอกำลังจะส่งข้อความไปบอกสือมูเฉิน เธอได้รับสายโทรศัพท์จาก ‘หมายเลขส่วนตัว’

เมื่อเห็นสายโทรเข้าเช่นนี้ หลานเสี่ยวถางก็รู้ว่าเป็นใคร เธอรับสายแล้วพูดว่า: “มั่วหลิงชวน?”

น้ำเสียงหัวเราะของมั่วหลิงชวน: “คุณคิดถึงผมเหรอ?”

หลานเสี่ยวถางพูดอย่างเย็นชา: “พูดเถอะ คุณโทรมาแบบนี้ต้องการอะไร?”

“ลืมไปแล้วเหรอว่าผมจะเชิญคุณดื่มกาแฟ?” มั่วหลิงชวนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์: “อีกหนึ่งชั่วโมง ผมจะรอคุณที่ร้าน Man Coffee ใน Blue Ocean Plaza”

หลานเสี่ยวถางรู้สึกน่าขำมาก: “ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ?”

“ถ้าคุณได้เห็นรูปถ่ายคุณต้องมาอย่างแน่นอน” ในขณะที่มั่วหลิงชวนพูดอยู่นั้นเขาก็กดวางสาย

ทันทีที่เขาวางสาย โทรศัพท์มือถือของหลานเสี่ยวถางก็สั่น และเมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันก็กลายเป็นภาพเซลฟี่ของเฉียวโยวโยว

เธอขมวดคิ้วและมีความสงสัยอยู่ในใจ

เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดมั่วหลิงชวนส่งข้อความมาทันที: “ถ้าฉันต้องการอยากได้รูปถ่ายของเธอมากกว่านี้ มันง่ายมาก แต่ครั้งต่อไปอาจจะไม่ใช่แค่นี้ ……”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหลานเสี่ยวถางโกรธอย่างมาก: “มั่วหลิงชวน คุณไร้ยางอายจริง ๆ?!”

“ผมก็แค่ต้องการเชิญคุณให้คุณมาดื่มกาแฟกับผมหน่อยก็เท่านั้นเอง” มั่วหลิงชวนตอบกลับ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลานเสี่ยวถางปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูร้าน Man Coffee และทันทีที่เธอเดินเข้าไป เธอก็มองเห็นมั่วหลิงชวนนั้นนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างกำลังกวักมือเรียกเธออยู่

หลานเสี่ยวถางจำรูปลักษณ์ของมั่วหลิงชวนได้อย่างชัดเจน

แม้จะเคยเห็นเพียงครั้งเดียว แต่ช่วงเวลาแห่งชีวิตความเป็นความตายนั้นน่ายังจำฝังใจ เธอเดินไปนั่งตรงข้ามเขาแล้วพูดเบา ๆ ว่า: “พูดธุระของคุณมาเถอะ คุณต้องการอะไรกันแน่?”

อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้กังวลว่าเขาจะใช้กำลัง เพราะเมื่อก่อนที่เธอจะมาถึง เธอได้แจ้งบอดี้การ์ดของเย่เหลียนอีให้มาคุมครองดูแลไว้ก่อนแล้ว

“ไม่มีอะไร แค่ต้องการพูดคุยกับคุณเท่านั้น!”ในขณะที่มั่วหลิงชวนพูดอยู่นั้นเขาก็สั่งมอคค่าหนึ่งแก้ว เพราะหลานเสี่ยวถางกำลังตั้งครรภ์และไม่เหมาะจะดื่มกาแฟ ดังนั้นเขาจึงสั่งช็อกโกแลตร้อนถ้วยหนึ่งแทน

“คุณเข้าร่วมกิจกรรมในบริษัท Alliance Technology ที่จัดขึ้นนี้ด้วยใช่ไหม?” มั่วหลิงชวนกล่าว

หลานเสี่ยวถางพยักหน้าและมองไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาของมั่วหลิงชวนแฝงไปด้วยรูปลักษณ์ที่ชั่วร้าย: “ดังนั้น คุณต้องการแข่งกับฉันอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?”

“ฉลาด!” มั่วหลิงชวนพูดอีกว่า: “และยิ่งไปกว่านั้น ผมยังรู้อีกด้วยว่าทำไมบริษัท Alliance Technology ถึงจัดงานนี้ขึ้น!”

หลานเสี่ยวถางขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่ตอบกลับใด ๆ

“ผมได้ข่าวมาว่าคุณ Jarvis เป็นคนมอบรางวัลในครั้งนี้ด้วย” มั่วหลิงชวนมองที่หลานเสี่ยวถาง: “เขาต้องการมอบรางวัลให้คุณด้วยตัวเองเหรอ?”

หลานเสี่ยวถางไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกคนอื่นคาดเดาแบบนี้ เธอแคะเล็บอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยิ้มและพูดว่า: “ดูเหมือนว่าคุณจะมั่นใจในตัวฉันมากเลยนะ คุณคิดว่าฉันจะชนะจนได้รับรางวัลอย่างนั้นเหรอ?”

“ถ้าเป็นคุณสุดท้ายแล้วคุณเป็นผู้ชนะ ผมอาจจะยอมให้คุณสักครั้งก็ได้” มั่วหลิงชวนกล่าวว่า :“เพราะผมอยากเห็นจริง ๆ ว่า เมื่อคุณเห็นรูปร่างหน้าตาของคุณ Jarvis แล้ว คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”

หัวใจของหลานเสี่ยวถางอัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้น: “คุณเคยเห็นเขาเหรอ?”

“ผมเคยเห็นมามากกว่าหนึ่งครั้ง” มั่วหลิงชวนกล่าว: “คุณก็ตั้งตารอมันด้วยเช่นกันไม่ใช่เหรอ?”

หลานเสี่ยวถางรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย เธอเม้มริมฝีปากและไม่ตอบกลับคำพูดของมั่วหลิงชวน

“เอาแบบนี้ดีไหม เรามาทำข้อตกลงกัน?” มั่วหลิงชวนเลิกคิ้วขึ้นมองไปที่หลานเสี่ยวถาง: “เราร่วมมือกัน ผมจะช่วยคุณจัดการคู่ต่อสู้ทั้งหมดของคุณ และปล่อยให้คุณยืนบนโพเดียมรับรางวัลอย่างราบรื่น!”