หลานเสี่ยวถางหรี่ตาลง: “นี่มันจะส่งผลดีต่อคุณยังไง? และคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง?”
“เพราะมีผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง” มั่วหลิงชวนกล่าวว่า: “ผมเคยแข่งขันกับเขามาก่อน ความสามารถพื้นฐานของคุณแย่ แต่คุณมีความคิดเป็นเลิศ แต่คนคนนั้นมีความสามารถพื้นฐานและความคิดที่แข็งแกร่ง รอบต่อไปคุณต้องร่วมมือการออกแบบโปรแกรมกับคู่ของคุณอีกคน ถ้าหากเราร่วมมือกัน ……”
“ดังนั้น คุณมาหาฉันเพราะคุณต้องการเอาชนะ?” หลานเสี่ยวถางกล่าวจุดประสงค์ของมั่วหลิงชวน
“ใช่ ผมอยากเข้ารอบสุดท้าย” มั่วหลิงชวนมองเธอ: “อย่างไรก็ตาม ผมจะคอยดูว่าเมื่อคุณเห็นรูปร่างหน้าตาของคุณ Jarvis แล้ว คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไร สำหรับผมแล้วเรื่องนี้มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการแข่งขันเสียอีก!”
“คุณมันบ้า!” หลานเสี่ยวถางกล่าว
“อาจจะใช่!” มั่วหลิงชวนควงส้อมในมือเล่น: “เอายังไง ร่วมมือกันไหม?คุณก็รู้นี่ถ้าเราร่วมมือกัน ……”
ประโยคหลังของเขายังพูดไม่จบ หลานเสี่ยวถางก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร
มั่วหลิงชวนพูดถูก ถ้าเธอร่วมมือกับเขา มันจะสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานใน Latitude Technology ที่เธอวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ เธอมีโอกาสชนะมากกว่า
ใจของเธอสั่นเล็กน้อย แต่เธอไม่ต้องการร่วมมือกับคนชั่วร้ายอย่างมั่วหลิงชวน ดังนั้นเธอจึงค่อย ๆ ดื่มช็อกโกแลตร้อนโดยไม่พูดอะไร
“ลองคิดทบทวนดู เรามีเป้าหมายเดียวกัน” มั่วหลิงชวนเล่นแหวนกะโหลกที่สวมอยู่ในมือไปด้วย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลานเสี่ยวถางก็ลืมตาขึ้น: “มั่วหลิงชวน ตกลง ฉันจะร่วมมือกับคุณ”
“ตัดสินใจเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ไปปรึกษาเรื่องนี้กับสามีคุณก่อนหน่อยเหรอ?” มั่วหลิงชวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่าสุดท้ายแล้วหลานเสี่ยวถางต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่เขาคาดไม่ถึงว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้
“ฉันแค่คิดว่า รูปถ่ายเพื่อนรักของฉันอยู่ในมือคุณแล้ว และฉันไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดก่อนการแข่งขัน” หลานเสี่ยวถางยิ้มอย่างมีความหมายแอบแฝงไว้
หัวใจของมั่วหลิงชวนเต้นแรงถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีคนสงสัยความสามารถของตัวเองและเขาก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย: “ผมใช้รูปของ เฉียวโยวโยวเพียงเพื่อให้คุณออกมาดื่มกาแฟกับผมเท่านั้น! ในอนาคตไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายชนะหรือผลจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมก็จะไม่ใช้รูปถ่ายของเธอมาบังคับให้คุณสละสิทธิ์การแข่งขันเพื่อบรรลุเป้าหมายในการชนะอย่างแน่นอน !”
หลานเสี่ยวถางมองใบหน้าที่แดงก่ำของเขาและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “โอเค ฉันรู้แล้ว ดูเหมือนว่าฉันจะมั่นใจได้แล้วว่าคุณสามารถเป็นคู่หูของฉันได้!”
มั่วหลิงชวนตระหนักได้ว่าเขาถูกปั่นประสาทเข้าแล้ว เขากระพริบตาเล็กน้อยอย่างเหลือเชื่อ ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาช้า ๆ: “ใช่สินะ คบกับคนแบบไหนก็ต้องเรียนรู้กับคนแบบนั้น! ผมจำได้ว่าก่อนหน้านั้นที่ผมเห็นคุณครั้งล่าสุด คุณเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากกว่าตอนนี้เสียอีกนะ!ทั้งหมดนี้เรียนรู้มาจากสือมูเฉินเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกมีความสุขเล็กน้อยและเธอก็เลิกคิ้ว: “ใช่สิ ดังนั้นคุณไม่ลองมองหาภรรยาที่ฉลาด เรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะ IQ ของคุณให้สูงขึ้นหน่อยล่ะ?”
*
ช่วงนี้ซูสือจิ่นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่ยังไงอย่างงั้นแหละ
ในช่วงกลางวันหยานชิงเจ๋อไปทำงาน และหลังเลิกงานกลับมาก็จะทานมื้อเย็นกับเธอทุกวัน บางครั้งทั้งสองคนทำกับข้าวด้วยกัน บางครั้งก็ออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกัน
ในตอนกลางคืน เมื่อพวกเขานอนด้วยกัน เขาจะร่วมรักกับเธอ เหมือนเป็นคู่รักธรรมดาทั่วไป
โดยเฉพาะในวันศุกร์ หยานชิงเจ๋อจะเลิกงานเร็วกว่าทุกวัน เขาบอกก่อนล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะพาเธอไปทานอาหารเย็นนอกบ้าน และบอกเธอไม่ต้องเตรียมอาหารเย็น หลังจากที่เขาเลิกงาน เขาจะขับรถไปรับเธอทันที
ทั้งสองมาถึงถนนคนเดินและทานอาหารเย็น ซูสือจิ่นทานอาหารมากจนแน่นท้อง ดังนั้น พวกเขาจึงไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า
เมื่อเห็นว่าเวลาสองทุ่มแล้ว ซูสือจิ่นจึงถามหยานชิงเจ๋อว่าเขาต้องการกลับบ้านหรือยัง แต่เขากลับบอกว่าหนังเพิ่งเข้าฉายใหม่จะเริ่มฉายในเวลาสองทุ่มครึ่ง และพวกเขายังมีเวลาเดินเที่ยวอยู่
ซูสือจิ่นตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “ชิงเจ๋อ คุณซื้อตั๋วหนังมาแล้วเหรอคะ?”
หยานชิงเจ๋อพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ: “ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้บอกว่าคุณอยากดูหรอกเหรอ? วันนี้ช่วงกลางวันผมได้โทรจองไว้แล้วสองใบ”
ซูสือจิ่นรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วถี่ขึ้นเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม: “ตอนนั้นฉันแค่พูดเล่น ๆเท่านั้นเอง คิดว่าคุณไม่ได้ยินเสียอีก”
หยานชิงเจ๋อมองลงไปที่ปลายหูแดงของซูสือจิ่น จู่ ๆก็รู้สึกน่าสนใจเล็กน้อย เขาเอนตัวและกระซิบที่ข้างหูเธอ: “หูของผมดีมาก รวมถึงสิ่งที่คุณพูดเมื่อเช้านี้ ผมได้ยินทั้งหมดแล้ว”
ดวงตาของซูสือจิ่นเบิกกว้างขึ้นทันที และจากนั้นก็เหมือนมีการระเบิดขึ้นในใจของเธอ
เมื่อเช้าเธอพูด……
ดูเหมือนในตอนเช้าเธอจะบ่นพึมพำ โดยบอกว่าถุงยางยี่ห้อดูเร็กซ์รู้สึกไม่ค่อยเรียบ……
เวลานี้แก้มของซูสือจิ่นแดงระเรื่อยิ่งขึ้นไป เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าหยานชิงเจ๋อจะกล้าพูดแบบนี้ในห้าง
เธอไม่รู้ว่าจะวางมือและเท้าของเธอไว้ที่ใด เธอหันศีรษะและมองดูตู้คีบตุ๊กตาที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนเธอจะพบทางรอดแล้ว และรีบพูดกับชิงเจ๋อว่า: “ชิงเจ๋อ คุณมีเหรียญบ้างไหม? ฉันอยากลองดู!”
หยานชิงเจ๋อค้นกระเป๋าสตางค์ของเขา และเขามี 3 หยวนจริง ๆ เขาหยิบมันออกมาแล้ววางลงบนฝ่ามือของซูสือจิ่น: “นี่อายุ 23 แล้วทำไมยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่เลยล่ะ?”
หลังจากที่ซูสือจิ่นฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสมัยตอนที่เธอยังเรียนอยู่
แม้ว่าเธอจะเล่นกับสือมูเฉินและเด็กผู้ชายหลายคน แต่ยังไงซะเธอก็เป็นเด็กผู้หญิง และเกิดมาก็ชอบของเล่นประเภทนี้อยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อเธอไปที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อเธอเห็นตู้คีบตุ๊กตาเธอก็รู้สึกอดใจไว้ไม่อยู่
บังเอิญมีคู่รักคู่หนึ่งกำลังเล่นตู้คีบตุ๊กตาอยู่ข้าง ๆ พวกเขาคีบครั้งที่ 7 หรือมากกว่านั้น ในที่สุดก็คีบตุ๊กตาโทโทโร่ขึ้นมาได้
ตอนนั้นเธอรู้สึกอิจฉามาก ดังนั้นเธอจึงดึงฟู่สีเกอและขอให้เขาช่วย
เพราะในเวลานั้น ฟู่สีเกอเป็นคนที่เล่นกีฬาได้ดีที่สุดในกลุ่มพวกเขา ดังนั้นซูสือจิ่นรู้สึกว่าเขาน่าจะคีบตุ๊กตาขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม ฟู่สีเกอใช้เหรียญทั้งหมดที่อยู่ในมือของทั้งสี่คน สุดท้ายก็คีบตุ๊กตาออกมาไม่ได้
ในขณะนั้นเธอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขณะที่ไล่ตีฟู่สีเกออยู่นั้น หยานชิงเจ๋อก็มาพร้อมกับตุ๊กตาบาร์บี้และบอกว่ามอบให้กับเธอ
เธอแค่เห็นแวบแรกเธอก็รู้สึกชอบมาก และเมื่อเธอถาม เธอก็รู้คำตอบว่าเมื่อหยานชิงเจ๋อเห็นฟู่สีเกอกำลังเริ่มคีบตุ๊กตาอยู่นั้น เขาก็ลงไปชั้นล่างแผนกของเล่น และเลือกซื้อให้เธอแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต ซูสือจิ่นตกอยู่ในภวังค์
เธอเดินไปที่ตู้คีบตุ๊กตา และใส่เหรียญเข้าไป
แม้ว่าในตอนนี้เงินหนึ่งหยวนไม่ได้มีความหมาย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เมื่อกำลังเริ่มคีบตุ๊กตาอยู่นั้น ซูสือจิ่นยังคงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เธอเลือกหมีน้อยตัวหนึ่ง แต่เมื่อเธอคีบมันขึ้นมาได้และกำลังจะเอามันออกมา มันก็หลุดลงไป
หยานชิงเจ๋อมองดูซูสือจิ่นท่าทางการคีบตุ๊กตาอย่างจริงจังแบบนั้นทำให้รู้สึกว่ามันตลกเล็กน้อย แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อารมณ์ที่อ่อนไหวเกิดขึ้นในใจของเขา ซึ่งทำให้เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เมื่อเขาเห็นเธอใส่เหรียญอีกเหรียญเข้าไปในตู้ เขาทนดูเธอแพ้เกมไม่ได้ เขากำลังเงยหน้าขึ้นเพื่อไปเตรียมซื้อของเล่นให้กับเธอเหมือนสมัยตอนที่เขายังเป็นเด็ก และเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งเข้า
เจียงซีหยู่น่าจะมาซื้อเสื้อผ้า ในมือของเธอถุงไว้ 2 ใบ ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น
เธอยืนอยู่คนเดียว และยืนอยู่ห่างจากเขาประมาณสิบกว่าเมตร จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
หยานชิงเจ๋อคาดไม่ถึงว่าจะมาเจอเธอในห้าง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และลืมตาขึ้น ในเวลาเดียวกัน ความคิดที่อยากไปซื้อของเล่นที่ชั้นบนก็หยุดลง และเขาก็ตั้งใจดูซูสือจิ่นคีบตุ๊กตา
อันที่จริงแล้วเจียงซีหยู่เห็นหยานชิงเจ๋อนานแล้ว
ทันทีที่เธอซื้อเสื้อผ้าออกมา เธอเห็นเงาของหยานชิงเจ๋อและซูสือจิ่นในกระจก
ดังนั้นเธอจึงรีบออกมาจากร้านนั้น และเห็นแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสองเดินจากไป
ทั้งสองดูเหมือนจะตั้งใจมาซื้อของและเดินเที่ยว ทั้งเดินไปด้วยและพูดคุยไปด้วยอย่างมีความสุข
เจียงซีหยู่เดินตามหลังพวกเขา และเห็นว่าพวกเขารักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาประมาณ 20 เซนติเมตรโดยไม่ได้จับมือกัน
ขณะนั้นในใจของเธอรู้สึกเศร้าใจ
เธอคิดว่าถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้สนิทสนมเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่น ๆเลย แสดงว่ารอยร้าวระหว่างพวกเขานั้นไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอคิดแบบนี้อยู่นั้น เธอก็เห็นทั้งสองคนหยุดเดิน จากนั้นหยานชิงเจ๋อก็เอนตัวไปกระซิบที่ข้างหูของซูสือจิ่น
ตัวของเธอแข็งทื่อและสั่นเทาไปทั้งตัว แต่เธอก็ยังคงจ้องไปที่แผ่นหลังของทั้งสองคน
แต่ทันทีที่หยานชิงเจ๋อยืดตัวขึ้น เธอเห็นชัดเจนว่าหูของซูสือจิ่นแดงระเรื่อ และไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หยานชิงเจ๋อพูดนั้นไม่ปกติแน่นอน
เจียงซีหยู่รู้สึกหายใจไม่ออก ตามสัญชาตญาณแล้วเธอควรจะจากไป แต่เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมและอยากดูว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อ
ดังนั้นเมื่อเธอเห็นซูสือจิ่นกำลังจะคีบตุ๊กตาอยู่นั้น หยานชิงเจ๋อยืนดูอยู่ข้าง ๆ และมองด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น และโมเม้นนั้นทำให้เธอรู้สึกรกหูรกตาอย่างมาก
เธอเริ่มทนดูต่อไปไม่ไหวและต้องการจะจากไป
แต่บังเอิญหยานชิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นพอดี และมองไปในทิศทางของเธอ
ในชั่วขณะนั้น เจียงซีหยู่รู้สึกราวกับว่าขาของตัวเองถูกตอกไว้ที่เดิมและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เธอหายใจติดขัดเล็กน้อย และแม้แต่ดวงตาของเธอก็ยังรู้สึกร้อน
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความรู้สึกที่อยู่ในใจเธอกลั่นออกมาเกือบจะถึงจุดสูงสุดอยู่นั้น หยานชิงเจ๋อก็แค่เหลือบมองแล้วหันกลับไปโดยไม่สนใจอะไร
เขาไม่ได้มองเธออีกต่อไป ราวกับว่าเขาเพิ่งเหลือบมองไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมองเห็นก็เปรียบเสมือนเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
เจียงซีหยู่รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจมลงไปในน้ำทันที เธอหายใจเหมือนคนกำลังจะจมน้ำยังไงอย่างงั้นแหละ
เธอไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกอึดอัดภายในจิตใจของเธอได้ และความรู้สึกเหมือนกระสอบทรายที่ถูกต่อยด้วยหมัดหนักๆ นับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ดูเหมือนว่าพลังของเธอกำลังจะถูกพรากไป
เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย มองดูหยานชิงเจ๋อที่ในตอนนี้กำลังมองดูซูสือจิ่นคีบตุ๊กตาอย่างจริงจัง
เธอไม่เคยเล่นของเล่นประเภทแบบนั้นมาก่อน และไม่เคยขอให้เขาเล่นด้วยสักครั้ง
แท้ที่จริงแล้วผู้ชายชอบผู้หญิงประเภทนี้เหรอ? ผู้หญิงประเภทที่ชอบเอาแต่ใจเหมือนสาวน้อยอยู่เสมออย่างนั้นเหรอ?
ดังนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอเข้าไปอยู่ในโลกของหยานชิงเจ๋อ แต่กลับออกมาโดยที่ไม่หลงเหลือความทรงจำใด ๆ ไว้ในโลกนั้นเลย?
เจียงซีหยู่รู้สึกเศร้ามากจนแทบจะหายใจไม่ออก เธอยังคงมองดูอย่างไม่พอใจและครุ่นคิดในใจ หลังจากหนึ่งเดือน เมื่อเธอส่งรูปถ่ายนั้นให้กับซูสือจิ่น เธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
เมื่อนึกถึงนี่ ดูเหมือนว่าเธอจะพบพลังเพียงเล็กน้อยเพื่อดำเนินแผนการต่อ จากนั้นเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมและมองดูหยานชิงเจ๋อและซูสือจิ่นว่าทั้งสองคนนั้นจะสามารถทำให้เธอตัดสินใจที่จะแก้แค้นเอาคืนได้อีกหรือไม่