บทที่ 316 สำนักงานจัดหางาน

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 316 สำนักงานจัดหางาน

บทที่ 316 สำนักงานจัดหางาน

ซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าจะกลับไปยังห้องพักคนไข้อย่างไร ในหัวของเธอแข็งทื่อคิดอะไรไม่ออกเลย

ตอนนี้ซูหยินกำลังดูการ์ตูนอยู่ พอเห็นเธอจึงลงมาจากเตียง “โย่วอี๋ เธอเป็นอะไรไป?”

“ป่วยเหรอ?”

ซูโย่วอี๋ฝืนยิ้ม “เปล่า ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”

ซูหยินลากเก้าอี้ของตัวเองออกมาและนั่งลง “เธอต้องพักผ่อนมาก ๆ นะ กู่กู่บอกว่าเธอต้องใช้พลังเยอะมากในการดูแลฉัน”

“ฉันโตแล้ว ฉันกินข้าวแล้วก็ไปเข้าห้องน้ำเองได้”

“ฉันไม่อยากให้เธอป่วย”

เธอนั่ง ๆ ยืน ๆ

หัวของซูโย่วอี๋อยู่ตรงกับหน้าท้องของเธอพอดี

เธอไม่อยากจะเชื่อว่าในนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ อยู่จริง ๆ

ซูโย่วอี๋เอื้อมมือไปสัมผัสหน้าท้องแบนราบของเธอ น้ำตาค่อย ๆ เอ่อคลอ

ไม่ว่าพ่อของเด็กจะเป็นใคร เด็กคนนี้ก็คือลูกของหยินหยิน

ซูโย่วอี๋กอดซูหยินและเอาหัวของเธอวางไว้ตรงหน้าท้อง

เธอพยายามอดทนอย่างถึงที่สุด แต่ร่างกายที่สั่นเทากลับทรยศความพยายามของเธอเอง

ซูหยินหยุดยืนอยู่อย่างนั้นด้วยความมึนงงจนไม่กล้าขยับไปไหน

“โย่วอี๋ เธอเป็นอะไรไป?”

“หรือว่ามีคนเลว ๆ มารังแกเธอใช่ไหม?”

“เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันเก่งมาก ฉันจะช่วยเธอตีคนเลวเอง”

สิ่งเดียวที่ตอบกลับเธอคือเสียงสะอื้น

รอจนกระทั่งสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ ซูโย่วอี๋ก็เช็ดน้ำตาและยิ้มให้กับซูหยิน “ทำให้เธอตกใจไปเลยใช่ไหม?”

ซูหยินส่ายหน้า “ฉันไม่ตกใจ”

หลังจากนั้นทั้งวัน ซูหยินดูจะเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น เธอเล่นอยู่คนเดียวสักพักจึงค่อยวิ่งไปหาซูโย่วอี๋ เธอเบิกตากว้างขึ้นเพื่อดูว่าซูโย่วอี๋ร้องไห้อยู่หรือเปล่า

ดูให้แน่ใจว่าเธอกำลังเศร้าอยู่ไหม

ซูโย่วอี๋คิดทบทวนอยู่เนิ่นนานและโทรศัพท์ไปหากู่อวี๋เฉิง “รองประธานกู่ หยินหยินท้อง”

ไม่มีเสียงใด ๆ จากปลายสายเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงของเข็มวินาทีที่เดินไปเท่านั้นที่แสดงว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในสาย

เขาเงียบไปนานมาก หัวใจของซูโย่วอี๋เริ่มไม่แน่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

“[ผมจะไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละ]”

กู่อวี๋เฉิงมาถึงอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวแบบนี้ แต่หน้าผากของเขากลับเต็มไปด้วยเหงื่อ

ซูโย่วอี๋จินตนาการภาพตอนเขารีบวิ่งมาได้

“คุณคิดยังไงคะ?”

น้ำเสียงของกู่อวี๋เฉิงยังสงบนิ่ง “ซูหยินยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสารเสพติด สารเสพติดและยารักษาต่าง ๆ เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ อาจทำให้ทารกมีแนวโน้มที่จะพิการหรือคลอดก่อนกำหนดได้”

“คุณจะไม่เอาเด็กไว้ใช่ไหมคะ?”

กู่อวี๋เฉิงเงยหน้าขึ้นมองเธอ “พวกเราจะตัดสินใจกันเองไม่ได้ ควรฟังหมอมากกว่า”

ซูโย่วอี๋ถามขึ้นอย่างไม่ลดละ “ถ้าหากหมอบอกว่าเด็กในครรภ์แข็งแรงดี คุณจะยินยอมเก็บเด็กไว้ไหมคะ?”

“แน่นอน ทำไมจะไม่เก็บไว้ล่ะ?”

“ไม่ว่าจะเป็นลูกของใคร ลูกของซูหยินก็คือลูกของผม”

ตอนที่กู่อวี๋เฉิงพูดประโยคนี้ออกมา สายตาของเขามีความจริงใจอยู่เต็มเปี่ยม จริงใจมากเสียจนซูโย่วอี๋อยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ

“กู่อวี๋เฉิง คุณกับหยินหยิน… เคยนอนด้วยกันหรือยัง?”

ดวงตาของซูโย่วอี๋เต็มไปด้วยความหวัง เรื่องราวที่เมื่อก่อนอายที่จะพูดมันออกไป ตอนนี้กลับหวังเป็นอย่างมากว่าจะได้ยินมันจากปากของกู่อวี๋เฉิงเอง

หูของกู่อวี๋เฉิงแดงขึ้นมาเล็กน้อย “อืม”

“คุณไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”

ที่ซูโย่วอี๋กังวลว่านี่จะเป็นคำพูดโกหกเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเธอ

“เปล่า หลังซูหยินเมาเธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมเองก็เหมือนกัน”

“พวกคุณทำแบบนั้นมากี่ครั้งแล้ว?”

กู่อวี๋เฉิง “…”

“ครั้งเดียว”

ซูโย่วอี๋มีปฏิกิริยาตอบกลับในทันที เธอพึ่งรู้ตัวว่าคำถามเช่นนี้ดูเป็นการรังแกเขามากไปหน่อย

กู่อวี๋เฉิงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที “ไปหาหมอเพื่อถามอาการของเธอดีไหม?”

“ได้ค่ะ”

ห้องทำงานของหมอ

คุณหมอดูผลการตรวจร่างกายของซูหยินอย่างละเอียด “ตามผลอัลตราซาวนด์ ทารกในครรภ์มีอายุประมาณหนึ่งเดือน แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น จะโตกว่าหรือเล็กกว่ากี่วันก็เป็นไปได้หมด”

“ในมุมมองทางการแพทย์ หมอไม่แนะนำให้เก็บเด็กเอาไว้ อัตราความผิดปกติของเด็กมีสูงมาก”

ซูโย่วอี๋ถามขึ้น “ไม่ใช่ว่าสามารถตรวจสอบว่าทารกในครรภ์จะพิการแต่กำเนิดหรือมีโรคประจำตัวได้เหรอคะ?”

“เป็นไปได้ครับ จากการตรวจดาวน์ซินโดรม ตรวจจาก DNA ที่ไม่เจริญเติบโต หรือตรวจจากการเจาะน้ำคร่ำ แต่ด้วยสภาพร่างกายของซูหยินในตอนนี้ ทางที่ดีที่สุด ไม่ควรเสี่ยงกับอะไรพวกนี้จะดีกว่านะครับ”

“แค่เพียงดูแลร่างกายให้แข็งแรง ก็สามารถมีเด็กคนใหม่ได้ครับ”

“การทำแท้งดีที่สุดในช่วง 6-9 สัปดาห์ เพราะจะทำให้คุณแม่เจ็บน้อยที่สุด พวกคุณคิดทบทวนดูดี ๆ ก่อนนะครับ”

กู่อวี๋เฉิงพยักหน้า “พวกเราเข้าใจแล้วครับ คนท้องกินอะไรได้บ้างครับ?”

คุณหมอนิ่งไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเช่นนี้ “พวกคุณตัดสินใจจะเก็บเด็กไว้เหรอครับ?”

“ยังครับ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสุดท้าย ผมหวังว่าจะทำให้เด็กและแม่ได้รับการดูแลที่ดีมากที่สุด”

คุณหมอถอนหายใจออกมา “กินข้าวตามปกติก็พอครับ สำหรับคนท้อง อารมณ์สำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด”

“เด็กอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ คิดไปคิดมาแล้วนี่ก็เป็นการพยายามที่ดีที่สุดแล้วแหละครับ”

กลางดึกอันเงียบสงบ ซูโย่วอี๋นั่งเหม่ออยู่ที่หน้าหน้าต่าง เสื้อตัวใหญ่คลุมลงมาที่ร่างของเธอ “คิดอะไรอยู่ คุณดูฟุ้งซ่านมากเลย?”

ลู่เฉินนั่งลงข้าง ๆ เธอ

ซูโย่วอี๋ไม่ได้หันไปมองเขา แต่กลับมองออกไปยังความมืด

“จริง ๆ แล้วฉันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องเก็บลูกของหยินหยินเอาไว้”

เธอไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าร่างกายเด็กจะแข็งแรงหรือเปล่า

ลู่เฉินจับมือเย็น ๆ ของเธอ “อยากทำอะไรก็ทำ ซูหยินจะเข้าใจคุณแน่นอน”

“ฉันกลัวว่าถ้าเธอได้สติกลับมาแล้วจะโทษฉัน”

“ไม่หรอก”

น้ำเสียงของลู่เฉินหนักแน่น

“เพราะรู้ไงว่าเธอจะไม่มีวันโทษฉัน มันเลยยิ่งทรมาน”

“มีบุหรี่ไหม?“

ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงและหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อของเขา

ภายในนั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

“ลืมไปแล้วเหรอ ผมไม่สูบบุหรี่”

ลู่เฉินลูบหัวของซูโย่วอี๋และจูบเบา ๆ ลงบนริมฝีปากของเธอ

“ต่อให้ตอนนี้ซูหยินจะปกติดี ก็คงทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่าที่คุณทำหรอก”

ซูโย่วอี๋ถูจมูก “อืม รอดูไปอีกสองวันแล้วกัน”

รอให้ระบบฟื้นฟูกลับมา และลองดูว่าจะมีวิธีช่วยเธอได้ไหม

วันพุธเป็นวันพิจารณาคดีของอวิ๋นจิ้งหว่าน ซูโย่วอี๋เข้าร่วมในการพิจารณาคดีในฐานะคู่คดีความ

เธอสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวเหมือนกับจะไปเข้าร่วมงานศพ

พ่อกับแม่ของอวิ๋นจิ้งหว่านนั่งอยู่ไม่ไกล ทันทีที่เห็นลูกสาวปรากฏตัวขึ้นก็ร้องไห้ออกมา

“หว่านหว่าน…” คุณแม่อวิ๋นผมขาวไปทั้งหัว

ผู้พิพากษาเคาะค้อนลง “เงียบ”

กระบวนการพิจารณาคดีรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ อวิ๋นจิ้งหว่านไม่ได้หาทนายเพื่อมาแก้ต่างให้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ทนายฝ่ายโจทก์แถลงข้อเท็จจริงในความผิดแล้วนั้น

อวิ๋นจิ้งหว่านก็สารภาพผิดในทันที

สุดท้ายถูกตัดสินจำคุกระยะยาวเป็นเวลา 8 ปี 7 เดือนในความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว

ตอนที่ตำรวจนำตัวของอวิ๋นจิ้งหว่านขึ้นรถตำรวจไป ซูโย่วอี๋ยืนอยู่ไม่ไกล เธอมองดูคู่สามีภรรยาอวิ๋นวิ่งตามรถตำรวจไปไกลมาก

“หว่านหว่าน ลูกมองแม่สิ”

สุดท้ายเธอก็ล้มลงไปกับพื้นจนหัวแตก

ซูโย่วอี๋สวมแว่นกันแดดและหมุนตัวจากมา

วันเวลาผ่านไป ในที่สุดช่วงเดือนมกราคมของการเปิดใช้งานระบบก็มาถึงแล้ว

เลยเที่ยงคืนของวันนี้ไป ซูโย่วอี๋ก็จะสามารถใช้งานฟังก์ชันของระบบได้ใหม่อีกครั้ง

หลายวันมานี้ คุณหมอพยายามพูดเป็นนัย ๆ เสมอว่าให้พวกเธอพาซูหยินไปทำแท้ง แต่ก็ถูกซูโย่วอวี๋ปฏิเสธแบบผ่าน ๆ ไปเพราะเธอยังคิดทบทวนได้ไม่ดีพอ

ตอนที่เล่นอยู่กับซูหยิน ใจของซูโย่วอี๋ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

ซูหยินทำปากมุ่ย “โย่วอี๋ คืนนี้เธอมองนาฬิกานั่นตั้งแปดครั้งแล้วนะ เธอกำลังรอใครอยู่เหรอ?”

“หรือว่าเธอกำลังรอพี่ลู่อยู่งั้นหรอ? เมื่อสองวันก่อนฉันเห็นพวกเธอจูบกันด้วย”

“พี่ลู่เป็นแฟนของเธอใช่ไหม?”

ซูโย่วอี๋พยักหน้า “เธอรู้เหรอว่าแบบไหนเรียกว่าแฟน?”

ซูหยินส่ายหัวอย่างภาคภูมิใจ “ฉันรู้ เด็กผู้หญิงที่โตแล้วต่างก็ต้องมีแฟนกันทั้งนั้น พี่พยาบาลก็มีแฟน รอให้ฉันโตขึ้นฉันก็จะหาแฟนหล่อ ๆ สักคน”

ได้ยินคำพูดอันไร้เดียงสาเช่นนั้น อารมณ์ของซูโย่วอี๋ก็ดีขึ้นมา “ไปหากู่กู่ให้มาเป็นแฟนของเธอดีไหม?”

ซูหยินใช้ผ้าห่มคลุมหัวของตัวเองและแอบยิ้มอยู่ในนั้น

หลังจากนั้นก็ดึงผ้าห่มออกและกระโจนเข้าไปดึงมือของซูโย่วอี๋เอาไว้ รอจนซูโย่วอี๋เข้ามาใกล้ ๆ เธอจึงพูดขึ้น “ฉันคิดว่าให้กู่กู่มาเป็นแฟนคงดีมาก ๆ เลย คือ…”

“อะไร? เธอไม่ชอบเหรอ?”

“ไม่ใช่นะ ฉันรู้สึกว่ากู่กู่ทึ่มนิดหน่อย ไม่ฉลาดเหมือนฉัน”

ใบหน้าของซูหยินดูภาคภูมิใจ

ซูโย่วอี๋หัวเราะออกมา “งั้นต่อไปคุณเรียกเขาว่าคนโง่แล้วกันนะ”

“คนโง่?”

ซูหยินนิ่งไป “โย่วอี๋ คำว่าคนโง่นี่ฟัง ๆ ดูแล้วคุ้นเคยจัง”

“ฉันมีเพื่อนที่ชื่อว่าคนโง่หรือเปล่า”

“อืม” ซูหยินพยักหน้า “กู่กู่ก็คือคนโง่”

ซูหยินไม่เข้าใจจึงไม่ได้คิดอะไรต่อ “โอเค ต่อไปฉันจะเรียกเขาว่าคนโง่”

รอจนซูหยินหลับไป ซูโย่วอี๋ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เธอเพียงแค่ดูนาฬิกา

เสียงนาฬิกาดังขึ้นตอนเที่ยงคืน หัวใจของซูโย่วอี๋กระตุกขึ้นมา

ทันทีที่ใช้ความคิด ร่างกายของเธอก็เข้าไปในระบบทันที

เจ้าสุนัขจิ้งจอกกระดิกหาง ปัดเป่าหมอกสีขาวรอบ ๆ ตัว

[วันอันน่าเวทนาเหล่านี้สิ้นสุดลงแล้ว]

ซูโย่วอี๋จริงจังมาก “เจ้าจิ้งจอกเน่า ระบบเดาว่าลูกของซูหยินนั้นจะมีปัญหาด้านสุขภาพได้หรือเปล่า?”

[ได้ แต่ระยะเวลาที่ใช้ตรวจสอบกับเวลาในโลกมนุษย์นั้นพอ ๆ กันเลย]

เพียงแต่ว่าระบบสามารถตัดสินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านั้นที่อยู่ในโรงพยาบาล

“นานแค่ไหนถึงจะรู้ผล?”

[อายุครรภ์ครบ 12 สัปดาห์]

ดวงตาของซูโย่วอี๋ลุกโชน “ถ้าเด็กในครรภ์ไม่แข็งแรง ระบบมีวิธีรักษาได้ไหม?”

[สามารถรักษาได้ 99% ขอแค่มีเม็ดช็อกโกแลตพอ แต่ตอนนี้คุณมีแค่ห้าสิบกว่าเม็ดเองนะ]

เป็นแค่คนยากจนสินะ

สุนัขจิ้งจอกไม่เข้าใจ [คุณไม่สงสัยเหรอว่าพ่อของเด็กเป็นใคร?]

“หลังอายุครรภ์เจ็ดสัปดาห์ก็ตรวจหาพ่อของเด็กได้ ฉันเพียงแค่อยากรู้ว่าเด็กเป็นลูกของกู่อวี๋เฉิงหรือเปล่าก็พอแล้ว ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว มียาที่สามารถรักษาอาการติดยาของซูหยินได้ไหม?”

สุนัขจิ้งจอกมองหาในคลังสินค้า [ก็มีอยู่หรอก แต่เม็ดช็อกโกแลตของคุณมีไม่พอ]

บนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ เม็ดยาสีแดงลอยอยู่ในอากาศ

[ยาต้านการเสพติด] สามารถใช้ได้กับอาการเสพติดของคนทุกประเภท ผู้ใช้สามารถเลือกยาเพื่อรักษาเองได้ และผู้ใช้จะไม่เสพติดอีกต่อไป

แถวด้านล่างมีตัวอักษรตัวเล็ก ๆ เขียนอยู่ : ติดเกม ติดคอมพิวเตอร์ ติดการแคะจมูก ติดการนั่งไขว้ขา ติดชานม…

ติดสารเสพติดก็เป็นหนึ่งในนั้น

ราคา : 99 เม็ด

ราคาเท่ากับ [ยาลูกดก] เลย

จะมองยังไงซูโย่วอี๋ก็รู้สึกว่าการติดสารเสพติดและการติดนั่งไขว่ห้างก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

“งั้นฉันจะหาเม็ดช็อกโกแลตได้จากไหน?”

ระบบไม่ได้ส่งภารกิจมาให้เธอนานมากแล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้รับเม็ดช็อกโกแลตเลย

สุนัขจิ้งจอกเลิกคิ้วขึ้น [เยอะแยะ ระบบมีช่องทางให้ซู่จู่ทำงานและสร้างรายได้ เพียงแต่ว่าโอกาสในการทำงานหาเงินพวกนี้ โดยปกติแล้วแย่งมาได้ยากมาก]

แย่ง?

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูโย่วได้ยินว่าการทำงานมันต้องแย่งมาด้วย

“ไหนอธิบายมาหน่อย?”

สุนัขจิ้งจอกโบกอุ้งเท้าหน้าขึ้น พวกเขาทั้งสองมาถึงด้านหน้าของเรือนสี่ประสาน ด้านหน้าประตูมีป้ายไม้แขวนอยู่ บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า

[สำนักงานจัดหางาน]

ประตูขนาดใหญ่ถูกปิดเอาไว้ รอบ ๆ ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว

ทันใดนั้นซูโย่วอี๋ก็นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา ‘คนที่มาสมัครงานที่นี่คือใครกัน?’

[ซู่จู่จากระบบต่าง ๆ]

!

ซูโย่วอี๋ตกใจมาก “พวกเราเจอกันได้ด้วยเหรอ?”

[ได้แต่ก็ไม่ได้ แม้ว่าพวกคุณจะสามารถพบเจอกันได้ แต่ห้ามพูดคุยกัน อีกทั้งยังต้องแอบซ่อนภาพลักษณ์แท้จริงเอาไว้ด้วย]