บทที่ 339 เบื้องหลังน้ำท่วม

เซี่ยวั่งซูหันมามอง หม่าซานเหนียงก็จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างแล้วเอ่ยขึ้นมา “เกิดบ้าขึ้นมาอีกแล้ว สามีข้าวัน ๆ ไม่ยุ่งอยู่กับเขื่อน กลับบ้านไปก็เอาแต่อ่านตำราเกี่ยวกับการจัดการน้ำ”

“ฟังไว้ก็ไม่เสียหายอะไรหรอก” เซี่ยวั่งซูเป็นฝ่ายนั่งลง “ผู้ว่าการเสิ่นไม่สู้ลองอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยสิ เพราะข้าเองก็สงสัยเช่นกัน”

“คือการสร้างทำนบเพื่อเร่งความเร็วในการไหลของน้ำ เป็นการชะล้างทรายด้วยน้ำ ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงวิธีการนี้มานานแล้ว ว่าควรเสริมทำนบแม่น้ำให้สูงขึ้นและมั่นคง ไม่ควรเอาแต่ซ่อมสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อร่องน้ำแคบลงแรงของน้ำก็จะเพิ่มขึ้น ความเร็วในการไหลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทรายเก่า ๆ ก็จะถูกปล่อยออกมา ก้นแม่น้ำจะลึกขึ้น ร่องน้ำก็จะลึกลง และป้องกันอันตรายจากเขื่อนพังได้”

วิธีการจัดการน้ำของคนที่ราชสำนักส่งมาคนก่อน ๆ ล้วนทำตามคนเก่า ด้วยการขยายแม่น้ำ อุดรอยแตก ต้องการที่จะกำจัดมันทั้งหมดในครั้งเดียว แต่ด้วยกำลังคนและทรัพยากรที่มี จะทำสำเร็จในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร? หลังจากสั่งสมมาหลายปี วิธีการเดิม ๆ ก็ไม่ได้ผลอีกต่อไป

หากใช้วิธีการเดิม ชาวบ้านก็จะถูกกักขังอยู่ในเมืองในฤดูน้ำหลาก หรือไม่ก็ต้องยอมเสี่ยงใช้วิธีการใหม่ ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งของเขื่อน สร้างเขื่อนใหม่เพื่อลดน้ำท่วม และเปลี่ยนเส้นทางน้ำท่วม

แบบแรกมีผลในระยะสั้นและประหยัดต้นทุนได้ด้วย ส่วนแบบหลังเป็นโครงการขนาดใหญ่ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ก่อนสิบปี

แต่เมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านทั้งสองฝั่ง และสามารถทำให้ราชสำนักไม่มีรายจ่ายในเรื่องนี้อีก ไม่ต้องโยนเงินทิ้งลงน้ำอีกต่อไป

แต่ใครจะทำ? ใครจะมารับหน้าที่? ตำแหน่งที่ได้รับอาจสูงก็จริง แต่คงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นงานที่ดี มีความกังวลมากมายทั้งภายในและภายนอก และขึ้นอยู่กับความเมตตาของสวรรค์ด้วย หากมีความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน

เงินที่ราชสำนักส่งมา กว่าจะถึงมือก็ไม่แน่ว่าจะได้ครบ แบ่งทางซ้าย หักทางขวา บนล่างได้กันครบ เงินก็ไม่พอสร้างเขื่อนแล้ว

เสิ่นหงเหวินผู้นี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วอย่างไรเล่า ล่วงเกินคนไว้มาก ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ว่าการกลับมีสภาพเช่นทุกวันนี้ งานก็ยังทำไม่สำเร็จ สิ่งที่ยากสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ เที่ยงธรรมก็คือขณะที่ไม่อยากให้ตัวเองแปดเปื้อน จะปกป้องตัวเองเช่นไร แม้แต่ภรรยาและลูกก็ยังปกป้องไม่ได้ จะเป็นตัวแทนแก้ไขความทุกข์ยากให้ประชาชนได้อย่างไรกัน ตั้งแต่อดีตมาจนถึงตอนนี้ข้าราชการเช่นนี้จะอยู่ได้ยากมาก

เซี่ยวั่งซูฟังสิ่งที่เสิ่นหงเหวินอธิบายก็คิดว่ามีแบบแผนอย่างยิ่ง และคนของราชสำนักก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ามีวิธีนี้อยู่

แต่ไม่อยากจ่ายเงิน และไม่มีคนรับ

เสิ่นหงเหวินกระวนกระวายใจ เขาจ้องมองค่ำคืนที่มืดสนิท วิตกกังวลจนดวงตาแดงก่ำ

ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง แต่แผ่นหลังกลับงองุ้ม

แม้ว่าหม่าซานเหนียงจะอารมณ์ร้อน แต่ก็เป็นภรรยาที่มีคุณธรรม นางลูบแผ่นหลังของเสิ่นหงเหวินพลางเอ่ยขึ้นมา “เซี่ยฮูหยิน อันที่จริงพวกเราล้วนเข้าใจเหตุผล แต่ในเมื่อราชสำนักไม่สนใจ เหตุใดราษฎรอย่างพวกเราต้องเป็นห่วงด้วย หลูโจวอยู่ไม่ได้ พวกเราก็แค่เปลี่ยนที่อยู่ก็ได้นี่นา”

เซี่ยวั่งซูเองก็ไม่ได้โกรธ นางคิดว่าที่หม่าซานเหนียงพูดมามีเหตุผล

“ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของหลูโจวเป็นเช่นไรบ้าง หลังจากฟังที่พวกเจ้าพูด ข้าก็พอจะเข้าใจแล้ว วันนี้ได้พบกับผู้ว่าการเสิ่น การเดินทางของข้าก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”

หม่าซานเหนียงฟังจากที่นางพูดก็รู้ว่านางไม่ใช่หญิงชราธรรมดา “ครอบครัวของเซี่ยฮูหยินเป็นขุนนางหรือเจ้าคะ? ข้าเห็นผู้ติดตามที่ท่านพามาล้วนไม่ธรรมดา”

“ไม่นับว่าเป็นขุนนาง แต่ก็สามารถออกความเห็นได้”

หม่าซานเหนียงไม่ได้ซักถามอีก ในเมื่อคนเขาไม่อยากอธิบายว่าพวกเขาทำอะไร นางจะซักไซ้ต่อก็คงไม่เหมาะ

แต่ว่าแซ่เซี่ย…นั่นเป็นแซ่ของเชื้อพระวงศ์ไม่ใช่หรือ?

ไม่นานทหารเกราะเหล็กก็เตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อย ข้าวหอมกรุ่น เสริมด้วยกุนเชียงที่จี้จือฮวนและพวกท่านป้าทำ โรยด้วยน้ำมันงาและต้นหอม ผัดให้เข้ากัน ทำให้คนสามารถกินข้าวได้ถึงสองชามใหญ่ ๆ

เสิ่นเยี่ยนชิวถือชามมานั่งกินข้าวอยู่ข้างนอก กระพุ้งแก้มตุ่ยออกมา ไหล่ที่ผอมบางยิ่งทำให้นางดูบอบบางเป็นพิเศษบราวนี่ออนไลน์

ผ่านไปสักพักสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านใบหน้าก็ถูกใครบางคนบังเอาไว้ เสิ่นเยี่ยนชิวเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าเผยจี้ฉือกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ นาง เมื่อเห็นนางมองมาเขาก็ย่อตัวลงนั่งกินข้าวกับนาง

เสิ่นเยี่ยนชิวเองก็ไม่ได้พูดอะไร กลับเป็นคนไม่ชอบพูดอย่างอาฉือที่เอ่ยขึ้นมาก่อน “วิธีการจัดการน้ำของพ่อเจ้าเหมือนกับที่ท่านแม่ข้าพูดเอาไว้ไม่มีผิด”

เสิ่นเยี่ยนชิวเคี้ยวกุนเชียงในปาก “แม่เจ้ารู้วิธีจัดการน้ำด้วยหรือ? แม่ข้าไม่รู้หนังสือ แต่นางเป็นวรยุทธ์”

เผยจี้ฉือรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย “ท่านแม่ข้าแม้จะไม่รู้หนังสือ แต่นางเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ นางเพียงไม่รู้ตัวหนังสือของพวกเราก็เท่านั้น”

โลกของปีศาจย่อมไม่เหมือนกัน ท่านแม่ต้องสามารถหยั่งรู้ความลับสวรรค์ได้แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีการเตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า

เสิ่นเยี่ยนชิวพยักหน้ารับรู้ “ลูกพลับแห้งกับกุนเชียงที่แม่เจ้าทำอร่อยมาก”

อาฉือชอบฟังคนชมจี้จือฮวน “อืม ท่านแม่ข้าเก่งมาก”

เสิ่นเยี่ยนชิวกินข้าวไป แววตาสงสัยสบเข้ากับสายตาของเผยจี้ฉือ “เจ้าอายุเท่าใดแล้ว?”บราวนี่ออนไลน์

“ขึ้นปีใหม่ก็เก้าขวบแล้ว เจ้าล่ะ?”

“ข้าอายุเท่ากับเจ้า เจ้าเกิดเดือนอะไร?”

“เดือนห้า”

“โอ๊ะ ข้าเกิดเดือนเจ็ด เกิดวันฉีซี* ข้ายังมีชื่อเล่นด้วยว่า จือจือ”

* ฉีซี (七夕) เป็นวันแห่งความรักของจีน ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติจีน

เผยจี้ฉือพยักหน้ารับรู้ “จือจือ จือที่มาจากคำว่าสาวทอผ้าน่ะหรือ?”

“ใช่แล้ว พ่อข้าบอกว่ารู้แบบนี้จะตั้งชื่อข้าว่าจิ่งเว่ย** ไม่แน่อาจจะสามารถถมแม่น้ำนี้ได้ก็ได้”

** จิ่งเว่ย (精卫) ชื่อของตัวละครในตำนานจีนที่ทำให้เกิดสำนวน ‘จิงเว่ยถมทะเล’

เผยจี้ฉืออดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก “ผู้ว่าการเสิ่นช่างมีอารมณ์ขันจริง ๆ แล้วปกติพวกเจ้าอยู่ที่ใดกัน?”

“ผู้ว่าการเมิ่งที่มาใหม่ไล่ครอบครัวของพวกเราออกมา ตอนนี้พวกเราจึงอาศัยอยู่ในบ้านโทรม ๆ โอ๊ะ วันนี้ฝนตกหนักไม่รู้ว่าหลังคาบ้านเราจะรั่วหรือไม่ ผ้าห่มของข้าจะขึ้นราอยู่แล้ว จะตากแดดก็ไม่มีแดด” เสิ่นเยี่ยนชิวเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

เผยจี้ฉือเองก็เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เมื่อได้ยินก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างมาก

“วางใจเถอะ ไม่นานพวกเจ้าก็สามารถกลับเข้าไปอยู่ในจวนได้แน่”

เขาเอ่ยเสียงเบา

เสิ่นเยี่ยนชิวหันไปมองเขา “แม้ว่าเจ้าพูดเพื่อต้องการปลอบข้า แต่ก็ขอบคุณเจ้ามาก”

เผยจี้ฉืออยากจะบอกว่าเขาไม่ได้แค่ปลอบเฉย ๆ แต่ตอนนี้พูดไปก็พิสูจน์อะไรไม่ได้

หลังมื้อเย็นผู้คนในเพิงไม้ก็ช่วยกันล้างชาม และมองหาคนจากหมู่บ้านเดียวกันเพื่อสนทนา บางคนที่ทนไม่ไหวโหวกเหวกโวยวายก็จะถูกทหารเกราะเหล็กปราบไป ผู้คนทุกประเภทล้วนมาอยู่รวมกันที่นี่

หม่าซานเหนียงเดินออกมาเรียกเด็กทั้งสองคนเข้าไป พร้อมเทน้ำร้อนให้คนละหนึ่งถ้วย เซี่ยวั่งซูแบ่งเครื่องนอนของตัวเองให้กับเสิ่นหงเหวินและภรรยา และเหลือผ้าห่มผืนหนึ่งให้กับอาฉือ

เผยจี้ฉือหยิบเตาอุ่นมือของตัวเองออกมาให้กับเสิ่นเยี่ยนชิว “เจ้าเอาไปใช้เถอะ ตัวข้าอุ่นอยู่แล้ว”

ท่านแม่บอกว่าเป็นบุรุษต้องดูแลสตรีก่อน อาอินกับอาชิงอายุเท่ากัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูมือให้ความอุ่นกับอาชิงมากนัก แต่เมื่อก่อนเขามักจะให้ความอบอุ่นแก่มือและเท้าของอาอิน

เสิ่นเยี่ยนชิวหดตัวอยู่ข้างกายพ่อแม่ “พี่ชาย เจ้าเอาไปใช้เถอะ”

เผยจี้ฉือไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะยัดใส่มือของนาง “ข้าบอกว่าให้ เจ้าก็รับเอาไว้เถอะ ข้าไม่ได้ใช้”

เขาเอ่ยจบก็กลับไปอยู่ข้างกายของท่านป้า

หม่าซานเหนียงเห็นทุกการกระทำอยู่ในสายตา นางบีบมือของลูกสาว ก่อนจะเอ่ยกับเผยจี้ฉือ “หนุ่มน้อยละเอียดรอบคอบ ภรรยาของเจ้าในภายภาคหน้าช่างโชคดีจริง ๆ”

อาฉือเขี่ยกองไฟด้วยใบหน้าแดงก่ำ และเอ่ยรับคำเบา ๆ

เซี่ยวั่งซูตบบ่าของเด็กน้อยเบา ๆ หากว่าภายภาคหน้าเขาได้หนึ่งในสิบส่วนของเผยจื่อ คนที่จะมาเป็นฮองเฮาต้องโชคดีอย่างแน่นอน เพียงแต่อย่าทำให้วังหลังวุ่นวายก็พอ

ทุกคนกำลังรอรุ่งสางมาเยือน แต่เผยจี้ฉือกลับกำลังคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ คิดถึงหมู่บ้านตระกูลเฉิน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็กระชับผ้าห่มบนตัวของท่านป้าขึ้นอีกหน่อย