บทที่ 311 ครอบครัวอบอุ่น

นายท่านจ้าวและฮูหยินจ้าวเป็นสองคนแรกที่มาถึงศาลาว่าการ ฮูหยินจ้าวรีบวิ่งเข้าไปด้านในด้วยใบหน้าแตกตื่น

“ลูกชายข้าอยู่ที่ไหน?” นางรีบถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนของใต้เท้าเหวิน

“ฮูหยินจ้าวโปรดตามข้ามา” ท่านเจ้าเมืองกล่าว ก่อนจะนำทางคนทั้งสองเข้าไปด้านใน โดยมีถังหลี่และเว่ยฉิงเดินตามไป

ห้องภายในศาลาว่าการถูกจัดขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อเด็กๆ ทั้งหมด ฮูหยินจ้าวก้าวเดินพลางกวาดตามองหาบุตรชายของนางอย่างรวดเร็ว

“เยว่เอ๋อร์!” นางร้องเรียกบุตรชายเสียงดังลั่น

“ท่านแม่!” สองแม่ลูกรีบโผเข้ากอดกันแน่น

นางจ้าวกอดบุตรชายเอาไว้ หัวใจของนางสั่นระริก นางร้องไห้ออกมาด้วยความสุขอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ ดียิ่งนักที่ในที่สุดก็เจอบุตรชายของนางแล้ว

เมื่อทราบข่าวบุตรชายหายไปก็เหมือนกับวิญญาณของนางหายไปครึ่งหนึ่ง วันนี้เมื่อได้เจอเขาก็เหมือนชีวิตของนางกลับมาเต็มร้อยอีกครั้ง ฮูหยินจ้าวน้ำตาไหลอาบแก้มไม่เต็มใจที่จะคลายอ้อมกอดนี้ออก ส่วนนายท่านจ้าวเองก็มีความสุขมากเช่นกัน เขาลูบหน้าบีบแขนบุตรชาย หัวใจที่หนักอึ้งมาอย่างยาวนานรู้สึกผ่อนคลายลง

“เยว่เอ๋อร์เป็นความผิดของพ่อเอง พ่อไม่ควรลงโทษเจ้าหนักเช่นนั้น ต่อไปนี้พ่อจะดีกับเจ้าให้มาก” เมื่อนายท่านจ้าวกล่าวจบ เด็กชายก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาเปล่งประกายแห่งความหวัง

“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไม่เรียนแล้วได้หรือไม่?”

“ไม่ได้!” นายท่านจ้าวพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสีหน้าเคร่งขรึมลงทันใด เด็กชายทำหน้าบูดบึ้งกล่าวพึมพำ “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะดีกับข้าอย่างไรเล่า”

ถังหลี่มองภาพครอบครัวอบอุ่นตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายแล้วหลังผ่านเรื่องที่น่าหดหู่มาทั้งวัน เมื่อเห็นฉากนี้แล้วก็ทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ

“ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ ข้าแซ่จ้าวคนนี้จะไม่มีวันลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน” นายท่านจ้าวกล่าวขอบคุณเว่ยฉิง สองสามวันที่ผ่านมานี้ตัวเขานั้นได้สิ้นหวังไปแล้ว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่จากทางการคนนี้ปรากฏตัว ทำให้ความหวังอันริบหรี่ของเขาถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง และสุดท้ายคนผู้นี้ก็นำบุตรชายกลับคืนมาให้เขาได้สำเร็จ นายท่านจ้าวจึงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

“มันเป็นหน้าที่ ท่านไม่ต้องขอบคุณข้า” เว่ยฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายไม่ยินดียินร้าย

คราแรกทั้งสองคนต้องการพาบุตรชายกลับบ้าน แต่ใต้เท้าเหวินบอกว่าในร่างกายของพวกเด็ก ๆ ยังคงมีฤทธิ์ยาหลงเหลืออยู่ หากตรวจเรียบร้อยแล้วและพบว่าปลอดภัยจึงค่อยส่งพวกเด็กๆ กลับบ้านในภายหลัง ซึ่งคำวินิจฉัยนี้ได้รับการยืนยันจากหมอที่เก่งที่สุดในชิงเหอ แต่ดูเหมือนคนทั้งคู่จะยังทำใจไม่ได้โดยเฉพาะฮูหยินจ้าว

“ใต้เท้าเจ้าคะ เช่นนั้นข้าขออยู่ดูแลบุตรชายที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ?” ฮูหยินจ้าวถามอย่างมีความหวัง ใต้เท้าเหวินรู้สึกสงสารบิดามารดาของเด็ก จึงใจอ่อนพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะให้คนไปทำความสะอาดห้องใหม่ให้พวกเขาพัก

เมื่อเห็นเหตุการณ์คลี่คลาย เว่ยฉิงจึงเดินเข้าไปใกล้กับถังหลี่เอ่ยออกมาเบา ๆ “ฮูหยิน เจ้ากลับบ้านไปก่อนแล้วข้าจะไปหาเจ้าทีหลัง” ภรรยาของเขาติดตามเขามาหนึ่งวันเต็มจนมืดค่ำ ตอนนี้นางควรไปพักผ่อนได้แล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจะไปหานางเอง

ถังหลี่พยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากศาลาว่าการกลับไปยังบ้านสกุลเว่ย ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วโชคดีที่คืนนี้มีแสงจันทร์ช่วยให้ความสว่างระหว่างเดินทางกลับ เมื่อไปถึงด้านหน้าจวนก็พบว่ามีคนสี่คนกำลังนั่งรออยู่ที่ขั้นบันไดตรงประตูใหญ่ทางเข้าบ้าน เด็กหนุ่มทั้งสามและเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองถังหลี่ตาเป็นประกายทันทีที่นางเดินเข้าไปใกล้

บุตรทั้งสี่คนของนางกำลังรอนางกลับมาบ้าน ยามนี้หัวใจของถังหลี่รู้สึกอุ่นวาบ ไม่ว่าจะผ่านอะไรมามากเพียงใด แต่เมื่อมองไปยังเด็กทั้งสี่หัวใจของนางก็มีความสุข ราวกับว่าความทุกข์ยากทุกอย่างได้จางหายไปในทันที

“ท่านแม่!” ซานเป่าวิ่งไปหาถังหลี่

ถังหลี่ยื่นแขนออกไปรับนางเข้ามาในอ้อมกอดจนแน่น เด็กหญิงกอดคอมารดาไว้ด้วยแขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้าง ถูไถใบหน้าของตนเข้ากับอกถังหลี่อย่างออดอ้อน

“วันนี้ซานเป่าทำอะไรบ้าง?”

“วันนี้ข้าอยู่กับท่านป้าชิง ไม่ได้แอบออกไปเล่นข้างนอกเลยนะเจ้าคะ ข้าช่วยท่านป้าทำงานด้วยล่ะท่านแม่” เด็กตัวเล็กพูดขึ้นอย่างภูมิใจ บนใบหน้าเหมือนมีข้อความเขียนติดไว้ว่า ‘ข้าเก่งไหม ชมข้าสิ’

“โอ้ เจ้าช่วยป้าชิงทำอะไรบ้าง?” ถังหลี่ถามอย่างนึกสงสัย

“ข้าช่วยท่านป้าชิงหยูฝนหมึก” เด็กหญิงพูดแล้วหยุดพักเล็กน้อยจึงค่อยพูดต่อ

“แล้วก็เอางานที่เขียนเสร็จมาตากแดดเจ้าค่ะ”

“ซานเป่าของแม่เก่งมาก” ถังหลี่บีบจมูกของนางเบา ๆ เด็กหญิงรู้สึกมีความสุขกับคำชมของมารดา นางรับคำเบา ๆ แล้วแนบหน้าเข้ากับตัวของถังหลี่อีกครั้ง

“ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าจับคนเลวได้แล้วหรือเจ้าคะ?” อยู่ ๆ ซานเป่าก็ถามขึ้นมา เอ้อร์เป่าได้นำข่าวมาบอกแก่น้องสาวทันทีที่คนร้ายถูกจับตัว ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ

“ใช่แล้ว จับได้แล้วล่ะ” ถังหลี่ตอบเด็กหญิง

ซานเป่ายื่นหน้าไปใกล้ใบหูของถังหลี่และกระซิบเบา ๆ อย่างน่าเอ็นดูว่า

“ท่านแม่…ท่านพ่อเป็นคนจับเขาได้ใช่ไหม?”

ถังหลี่พยักหน้าทันที เด็กหญิงมองมารดาของนางด้วยตาเป็นประกายก่อนจะปรบมือเบา ๆ

“หากโตขึ้นข้าจะแข็งแกร่งเหมือนท่านแม่ เป็นสตรีที่กล้าหาญที่สุด!” ในขณะที่พูดก็ยกแขนโบกกำปั้นน้อย ๆ ของนางไปมา ทันใดนั้นเองมวยผมที่ถูกม้วนเหมือนลูกเกาลัดของนางก็ถูกสวี่เจวี๋ยดึงเล่น

“ยัยหนูอ่อนโยนหน่อย ไม่เช่นนั้นสามีในอนาคตของเจ้าจะต้องกลัวเจ้าแน่” สวี่เจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ซานเปายกมือจับม้วนผมทั้งสองข้างของตัวเองแล้วมองไปที่สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

“ท่านพี่…ข้าขอเป็นแม่ทัพหญิงได้ไหม?”

“แน่นอน ซานเป่าของพวกเราสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ” เว่ยจื่ออั๋งยิ้มอย่างอ่อนโยน

ซานเป่ารู้สึกได้ว่าทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนตน นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างมั่นใจมองไปทางสวี่เจวี๋ยอีกครั้ง

“พี่สวี่เจวี๋ยได้ยินไหม พี่ใหญ่บอกว่าข้าจะทำอะไรก็ได้”

“ได้เลย ได้เลย แม่นางเว่ย” สวี่เจวี๋ยโค้งคำนับไปทางซานเป่า ทำให้เด็กหญิงกรีดร้องออกมาอย่างมีความสุข

“ไปกินข้าวกันเถอะไม่หิวกันหรือไร? ส่วนท่านแม่ ถึงแม้ท่านไม่หิวก็ต้องกิน” เว่ยจื่ออี้พูดชวน คนทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้าน เด็ก ๆ ทั้งสี่คนยังไม่ได้กินข้าวเพราะรอนางกลับมา ถังหลี่ล้างมือเสร็จแล้วจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะ ซานเป่ายืนเขย่งตัวนำถ้วยข้าวมาวางให้ตรงหน้า

“เด็กดี เจ้าก็นั่งกินเถอะ” ถังหลี่พูดอย่างซาบซึ้งใจกับการปรนนิบัติเล็กๆ น้อยๆ จากลูกสาวคนเล็ก

สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งกินข้าวกันอย่างเรียบร้อย เว่ยจื่ออี้ไม่ได้สำรวมท่าทีนัก ส่วนซานเป่าตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากเคี้ยว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กระเพาะเล็ก ๆ ของนางจะเต็ม เมื่อพิจารณาให้ดีก็จะเห็นว่าเด็กที่คล้ายเว่ยฉิงมากที่สุดคือซานเป่า ถึงนางจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเว่ยฉิงแต่ก็เหมาะสมเป็นบิดากับบุตรมาก…หลังมื้ออาหารจบลงเด็ก ๆ ทุกคนรู้ว่ามารดาเหนื่อยพวกเขาจึงไม่รบกวนนาง และปล่อยให้ถังหลี่ได้พักผ่อน นางจึงไปอาบน้ำเพื่อรอเว่ยฉิงกลับบ้าน

ก่อนเว่ยฉิงจะมาถึง เสียงเปิดประตูดังขึ้น ร่างของเว่ยจื่ออั๋งในชุดสีขาวเดินออกมาจากห้อง เด็กหนุ่มยืนเอามือไพล่หลังเงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า ไม่นานเงาของร่างสูงใหญ่ก็กระโดดข้ามกำแพงลงมายืนไม่ห่างจากเขานัก

“ต้าเป่า”

“ท่านพ่อ”

“รอพ่อหรือ?” เว่ยฉิงเอ่ยถาม เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

“รู้ได้อย่างไรว่าพ่อจะมาคืนนี้?” เว่ยฉิงขมวดคิ้วถามบุตรชายอีกครั้ง เว่ยจื่ออั๋งเพียงแค่ยิ้มโดยมิได้กล่าวคำพูดใดออกมา เขารู้ดีว่าหากมารดามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนั้น แสดงว่าท่านบิดาของเขาจะต้องกลับมาที่บ้านอย่างแน่นอน