ตอนที่ 169 ภาพแผนที่ภูเขาแม่น้ำ (1)
คำกล่าวเปิดงาน โปรดถนอมคุณค่าและใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดกับภาพวาดของสำนักบำเพ็ญเต๋าที่อยู่เบื้องหน้าของพวกท่านในขณะนี้
พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้จริงๆ หรือ? หลี่ฉางโซ่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เมฆดำขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของท้องฟ้า และเมฆสีขาวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณของพวกมัน…
ว่ากันตามจริง เขาเกือบจะหนีแล้ว!
หลี่ฉางโซ่วยังเคยนึกถึงพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์เล็กๆ ที่ไม่มีอยู่ในโลกบรรพกาล ‘โศกนาฏกรรม การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังปะทุขึ้นในระหว่างการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า สามสำนักยิ่งใหญ่กำลังผลัดกันโจมตี ไม่รับรองว่าจะไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย!’ และเหตุผลที่หลี่ฉางโซ่วอยู่ก็เพราะว่าเหล่าเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้บินออกไปก่อน…
คนผู้นี้สวมมงกุฎมุกและรองเท้าปักหุ้มข้อสูงในขณะที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีขาวที่มีเมฆมงคลและกระเรียนเซียนปักอยู่บนนั้น แขนเสื้อกว้างของเขาปลิวสะบัดไปตามแรงลม และดูเหมือนว่าจะมีทั่วทั้งจักรวาลอยู่ภายในนั้น
ศิษย์ด้านล่างมองเห็นใบหน้าของนักพรตเต๋าผู้นี้ไม่ชัด จึงรู้สึกได้เพียงเลือนรางว่าเขาเป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคน
ในเวลานี้ เขาบินออกจากด้านที่มีเหล่าเซียนจากวังอวี้ซวีจำนวนหกสิบคนยืนอยู่ แล้วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวจนถึงตำแหน่งตรงกลางแล้วยิ้มให้บรรดาเซียนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ศิษย์น้องชายและหญิงแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ไฉนถึงก้าวร้าวเช่นนี้? พวกเจ้ามาทำอันใดกัน?”
เขาจะสู้จริงหรือ? หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจและแอบเอายันต์พิเศษสองแผ่นออกมา…
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากหมู่เมฆมืดดำของเหล่าเซียน “แน่นอนว่า พวกเรามาที่นี่เพื่อร่วมสนุก ศิษย์พี่กวงเฉิงจื่อ ช่วงนี้ ท่านเป็นอย่างไร สบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”
เวลานั้น สตรีในชุดกระโปรงเทพธิดาหลากสีสันก็บินออกมาจากก้อนเมฆและโค้งคารวะให้กวงเฉิงจื่อ
สตรีผู้นั้นไม่ได้ใช้พลังเวทปกปิดใบหน้าและกลิ่นอายลมปราณแท้จริง นางมีรูปร่างโปร่งเพรียว เส้นผมยาวถูกมัดเป็นหางหงส์เฉียง ใบหน้านางงดงามล้ำเลิศจนจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง หมู่มัจฉาจมวารี เหล่าปักษีตกนภา[1] ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรูปโฉมสะคราญของนางแล้ว สิ่งที่ทำให้บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญประหลาดใจมากยิ่งขึ้นก็คือ ฐานพลังปราณ ลักษณะท่าที และอักขระเต๋าของนาง
กวงเฉิงจื่อยิ้มแล้วกล่าวออกมาทันทีว่า “ขอบใจศิษย์น้องจินหลิงที่ห่วงใยถามถึง ข้าเป็นศิษย์ของวังอวี้ซวี ข้ามาที่นี่เพื่อมาคารวะท่านอาจารย์อาสาม”
กล่าวจบ กวงเฉิงจื่อก็โค้งคำนับไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานนับสิบคนที่อยู่ด้านหลังเขาทั้งหมดก็เดินตาม ‘หัวหน้าสิบสองเซียนจิน’ มาทักทายพวกเขาด้วย
‘น้องจินหลิง’ หรือคือจินหลิงเซิ่งหมู่[2] เป็นหนึ่งในศิษย์หลักชั้นในสี่อันดับแรกของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ในขณะนั้นนางก็กระทำการคารวะเฉกเช่นเดียวกันพลางกล่าว
“ในนามของศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ขอน้อมคารวะท่านอารองเจ้าค่ะ” ในขณะนั้น บรรดาเซียนนับพันจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย… ซึ่งอาจมีจำนวนถึงสองพันคนล้วนหันหน้าไปทางภูเขาคุนหลุนแล้วโค้งคารวะพร้อมกัน
บรรดาเซียนหลายคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยล้วนถอนหายใจในใจ
เมื่อกล่าวถึงด้านมารยาทนี้ ศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย นั้นด้อยกว่าศิษย์อาวุโสของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานมากนัก
พวกเขาคิดไม่ถึงว่า จะได้เห็นศิษย์ของปรมาจารย์จอมปราชญ์ ทำการคารวะให้ปรมาจารย์จอมปราชญ์ ผ่านอากาศจากระยะไกล
หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ด้านล่างพลันแอบพยักหน้าลับๆ วันนี้เขาไม่ได้ไปที่นั่นอย่างไร้ประโยชน์ วัฒนธรรมของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อเต๋าของเขาจริงๆ…
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้คนบนท้องฟ้าโค้งคารวะให้กันเช่นนี้
การประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋านี้น่าจะเป็นส่วนเชื่อมต่อให้สำนักบำเพ็ญเต๋าเจริญรุ่งเรืองต่อไป นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานและสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยนั้นหาได้ใหญ่โตไม่
ในขณะนี้ มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือความขัดแย้งในด้านแนวคิดหลักคำสอนของสำนัก
แน่นอนว่า เวลานี้สถานการณ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังไม่มั่นคงนัก หากทั้งสองฝ่ายสามารถต่อเพลงและร้องเล่นเต้นรำร่วมกัน[3]ได้ นั่นก็จะพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
เมฆบนท้องฟ้า กวงเฉิงจื่อกล่าวออกมาขณะที่ยืนอยู่เหนือเมฆบนท้องฟ้า “วันนี้เป็นการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าซึ่งจัดโดยสามสำนักบำเพ็ญเต๋าแห่งดินแดนเทวะมัชฌิมา ศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงทุกคนล้วนมาอยู่ที่นี่ทั้งหมดหรือไม่?”
จินหลิงเซิ่งหมู่หัวเราะเบาๆ และบัดนั้น ก็ดูเหมือนว่า มวลหมู่บุปผาหลายร้อยดอกจะเบ่งบานบนท้องฟ้า คล้ายกับว่า ร่องรอยของอักขระเต๋าจะสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คนได้ เป็นเหตุให้เหล่าศิษย์หลายคนที่อยู่ด้านล่างซึ่งมีระดับฐานพลังปราณด้อยกว่าล้วนเปิดเผย… รอยยิ้มโง่ๆ ออกมา
จินหลิงเซิ่งหมู่ยิ้มและกล่าวว่า “มาถึงน้อยกว่าสามในสิบส่วนเท่านั้น ศิษย์พี่จ้าวได้ไปเชิญศิษย์พี่ใหญ่ของเราแล้ว”
“โอ้?” กวงเฉิงจื่อยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไม่คิดมาก่อนว่าอาจารย์อาสามจะให้ความสนใจจริงจังกับเรื่องนี้มากขนาดนี้” ในขณะนั้น จินหลิงเซิ่งหมู่พลันคลี่ยิ้มช้าๆ โดยเอ่ยวาจาเพิ่มเติมขณะที่อดคิดไม่ได้ว่า นางถูกจ้าวกงหมิงลากออกมาจากถ้ำได้อย่างไร…
ในขณะนั้น จ้าวกงหมิงทำการสาบานบางอย่างอย่างเคร่งขรึม…
มีโอกาสที่ศิษย์ของจอมปราชญ์เทพสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะปรากฏขึ้นแน่นอน แม้คนของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยของเราจะไม่สามารถเข้าร่วมได้ถึงครึ่ง แต่เราก็ต้องแน่ใจว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวสองถึงสามส่วนในสิบส่วน!
เช่นนั้น จึงมีสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
กวงเฉิงจื่อพยักหน้าช้าๆ โดยไร้คำถามใดๆ เพิ่มเติม ขณะก้มหน้าลงและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ขอเชิญบรรดาผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดการประชุมในวันนี้ ก้าวออกมาข้างหน้า”
ทันทีที่กล่าวจบ บุรุษสามคนและสตรีสองคนก็บินขึ้นไปในอากาศ แล้วตามมาด้วยสตรีชราห้าคน พวกเขาล้วนเป็นเจ้าสำนักของสำนักจินกง สำนักเซียนเซียวเหยา และสำนักอื่นๆ
จากนั้นก็มีหลายร้อยร่างพุ่งทะยานออกมาจากทางด้านหลังพวกเขาทั้งห้าทันที ซึ่งพวกเขาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเจ้าสำนักเซียนต่างๆ ภายใต้สามสำนักที่มีอยู่ในยามนี้
คนเหล่านั้นโค้งคำนับในอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เนื่องจากพวกเขายังไม่เคยฝึกฝนมาก่อน จึงดูไม่เป็นระเบียบเท่าใดนัก
ไม่นาน ร่างดุจเทพธิดาก็บินมาจากทั่วทุกทิศทาง ชุดของพวกนางพลิ้วไหวไปตามสายลม ในขณะที่นิ้วเรียวยาวของพวกนางก็กวัดแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวลขณะที่โปรยผงและกลีบบุปผาที่เปียกชื้นในอากาศ
ทันใดนั้น พลันมีเสียงกลองและดนตรีดังขึ้นระหว่างสวรรค์และปฐพี
บรรดาศิษย์และคนที่อยู่ริมทะเลสาบต่างก็ลุกขึ้นยืนคำนับให้ท้องฟ้า ภาพนั้นวิจิตรตระการตายิ่งนัก เมื่อเห็นว่าทะเลสาบด้านล่างแคบเกินไป จินหลิงเซิ่งหมู่จึงกล่าวว่า “ศิษย์พี่กวงเฉิงจื่อ ไยเราไม่เพียงแค่อยู่บนก้อนเมฆเท่านั้น? อย่าทำให้บรรดาศิษย์น้อยเหล่านั้นหวาดกลัวไปเลยเจ้าค่ะ”
กวงเฉิงจื่อพยักหน้าเห็นด้วย ส่งผลให้เซียนทั้งสองจากทั้งสองสำนักบำเพ็ญเต๋านั่งขัดสมาธิบนก้อนเมฆในขณะที่บรรดาศิษย์จากสำนักต่างๆ ทางด้านล่างล้วนรีบย้ายเกาะอมตะสองแห่งที่ลอยอยู่ด้านบนแล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นแท่นสังเกตการณ์บนท้องฟ้า เพื่อไม่ให้บรรดาเซียนจากทั้งสองฝ่ายต้องลอยอยู่กลางอากาศ
แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เผชิญปัญหาบางอย่าง…
วังอวี้ซวี เกาะเต่าทอง เกาะเผิงไหล และอื่นๆ ล้วนถือเป็นสถานที่ของนักพรตเต๋าของปรมาจารย์จอมปราชญ์ และโดยไม่คำนึงถึงระดับฐานพลังปราณของพวกเขา เหล่าสำนักเซียนจากสถานที่เหล่านั้นก็คือ ‘เหล่าเซียนต้นกำเนิด’ ของวันนี้ ตามแผนเดิมของการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าครั้งยิ่งใหญ่นี้ ตามพิธีการทั้งหมดแล้ว เหล่าเจ้าสำนักทั้งห้าของสำนักเซียนที่จัดการประชุมจะต้องเรียกปรมาจารย์ของแต่ละสำนักเซียนออกมา
ในขณะนั้นไม่มีผู้เข้าร่วมจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เจ้าสำนักเซียนเซียวเหยาก็รู้สึกผ่อนคลายที่สุดเพราะไม่มีผู้ใดให้เขาเชิญ มีศิษย์ไม่มากในวังอวี้ซวีของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ในเวลานี้ มีคนมามากกว่าหกสิบคนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาช้านาน เช่น กวงเฉิงจื่อ ฉือจิ้งจื่อ อวิ๋นจงจื่อ อวี้ติ่งเจินเหริน เซียวเหยาซานเหริน และคนอื่นๆ ตามที่ประกาศนาม ผู้นำสำนักทั้งสองแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักเซียนล้วนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว จึงไม่เข้าใจผิดต่อกันอย่างแน่นอน
แต่กลับกัน… ในเวลานี้ บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยนี้ล้วนไม่รู้จักกัน!
ในขณะนั้น เจ้าสำนักทั้งสองของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และสำนักเซียนต่างก็มีเหงื่อผุดออกมามากมาย…
โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้วว่าจะรายงานเฉพาะศิษย์ที่เป็นทางการของปรมาจารย์จอมปราชญ์เท่านั้น จึงทำให้การดำเนินงานไม่ล่าช้าและสถานการณ์คลี่คลายลงได้บ้าง ในขณะนั้น หกในสิบสองเซียนจินของวังอวี้ซวีต่างมาถึงกันแล้ว มีศิษย์อีกสามคนของปรมาจารย์จอมปราชญ์ ที่ไม่ได้อยู่ในสิบสองเซียนจิน ส่วนที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ในนาม
ทางด้านของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย มีศิษย์หลักของปรมาจารย์จอมปราชญ์เพียงสามคนเท่านั้นที่มาถึง และมีอีกสามคนที่ยังอยู่ระหว่างทาง
เมื่อเจ้าสำนักทั้งห้าประกาศชื่อเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว ศิษย์ของสำนักเซียนของสามสำนักในพื้นที่ราบลุ่มนี้ก็ทำการคารวะเต๋าผ่านอากาศต่อไป
สงหลิงลี่ถามเบาๆ ว่า “พี่ชาย บรรดาเซียนเหล่านี้เป็นผู้ใดหรือ?”
…………………………………………………………..
[1] เป็นสี่ฉายาของสี่ยอดหญิงงามของจีน ในที่นี้ คือชมโฉมเทพธิดาจินหลิงว่างามเลิศล้ำปานความงามของสี่ยอดหญิงงามมารวมกันในตัวนางแต่ผู้เดียว ซึ่งในไทยมักจะเรียบเรียงเป็น มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง ซึ่งมัจฉาจมวารี-ชมความงามของไซซี ปักษีตกนภา-ชมความงามของหวางเจาจิน จันทร์หลบโฉมสุดา-ชมความงามของเตียวเสียน และมวลผกาละอายนาง -ชมความงามของหยางกุ้ยเฟย
[2] เทพีจินหลิงหรือเทพธิดาจินหลิง
[3] เปรียบว่าหากต่อเพลงและเต้นรำด้วยกันได้ ย่อมแสดงว่าต่างฝ่ายต่างมิได้มีใจเป็นปรปักษ์ต่อกัน ก็น่าจะเป็นมิตรถูกคอ และคิดไปในทางเดียวกัน