บทที่ 312 เป็นลูกของเขา
ไม่มีของอะไร ตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคน
เจียงหยุนเอ๋อกุมมือของถวนจื่อแน่น เดินบนถนนสายหลักโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง เธอที่ถูกขับไล่ออกมาไม่มีที่ไปเสียด้วยซ้ำ ไม่มีที่ให้พักอยู่ด้วย
เจียงหยุนเอ๋อก็ไม่อยากลำบากคนอื่น ไม่อยากเป็นหนี้น้ำใจคนอื่น
ถวนจื่อจู่ๆก็ดึงมือของเจียงหยุนเอ๋อ พอเธอรู้สึกตัวก็ย่อตัวลงมานั่งยองๆถามเสียงเบาว่า “มีอะไรเหรอ?”
ถวนจื่อเงียบอยู่สักพักถึงค่อยพูดอ้ำๆอึ้งๆขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวและกังวลอย่างปิดไว้ไม่มิดว่า “หม่ามี้ แด๊ดดี้ไม่เอาพวกเราแล้วเหรอครับ?”
เห็นถวนจื่อที่ทำอะไรไม่ถูกแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร เจียงหยุนเอ๋อก็รู้สึกขมขื่นใจ เธอลูบหัวของถวนจื่อ ผมอ่อนนุ่มกลายเป็นผมยุ่งเหยิงในมือของเธอ
“ไม่เป็นไรครับ! ผมจะปกป้องคุณแม่เอง!” ถวนจื่อเห็นแบบนี้ก็รีบพูดขึ้นมา มือเล็กๆกำแน่น โบกไปมากลางอากาศสองสามที แล้วจัดทรงผมไปด้วย
เจียงหยุนเอ๋ออดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอใช้เข่ายันพื้นลุกขึ้นมาแล้วจูงมือของถวนจื่อต่อ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความน่าเชื่อถือที่หนักแน่น “ไม่มีทางจ้ะ พ่อของลูกน่ะ ไม่มีทางทิ้งพวกเราไปเด็ดขาด”
พูดจบ ถวนจื่อก็ถอนหายใจโล่งอกเงียบๆ ยืดหลังตรงพูดอย่างมั่นใจว่า “ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน!”
บทสนทนาเรียบง่ายนี้ทำให้เจียงหยุนเอ๋อมีทิศทางที่จะไปต่อขึ้นมาทันที เธอควรจะเชื่อใจลี่จุนถิง เธอไม่ใช่คนไม่มีบ้าน ที่ที่มีลี่จุนถิงอยู่ก็คือบ้านของเธอ ตอนนี้เธอแค่ต้องรอให้ลี่จุนถิงกลับมา
เจียงหยุนเอ๋อพาถวนจื่อเดินหน้าไม่หยุด แต่ไม่ใช่เดินแบบไม่รู้จุดหมายปลายทางอีกต่อไป
“หม่ามี้ พวกเราจะไปไหนครับ?” ถวนจื่อเงยหน้ามองเจียงหยุนเอ๋อ
“ไปโรงแรมรอพ่อของลูกกลับมา” เจียงหยุนเอ๋อมองกลับและกุมมือของถวนจื่อแน่นอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
เข็มนาฬิกา “ติ๊กตอกติ๊กตอก” หมุนขยับไม่หยุด ความเงียบสงัดในห้องทำงานจู่ๆก็ถูกเสียงเคาะประตูทำลายไปสนิท รบกวนถูกลี่จุนถิงที่กำลังเหม่อลอยอยู่ เขาดึงสติกลับมาได้ แต่ไม่มองออกไปนอกประตู แค่พูดเสียงเบาว่า “เข้ามาได้ครับ”
ประตูถูกเปิดออก ผู้ช่วยถือเอกสารเดินเข้ามาแล้ววางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ลี่จุนถิงก้มหัวลง นวดขมับที่ปวดเมื่อยเบาๆ มองเอกสารบนโต๊ะที่ทั้งหนักทั้งหนาก็เกิดความรู้สึกเอือมระอาขึ้นมา จึงเปลี่ยนไปคิดถึงเจียงหยุนเอ๋อแทน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อกี้ก็คิดถึงเธออยู่เหมือนกัน
ลี่จุนถิงเพิ่งจะหยิบเอกสารขึ้นมากำลังจะเข้าสู่โหมดทำงาน แต่ยังดูไม่ถึงสองบรรทัด เสียงริงโทนมือถือก็ดังกระชั้นขึ้นอย่างฉับพลัน เขาเหลือบมองหน้าจอมือถือแวบหนึ่ง คือหลันเยว่เฉิน
พอรับสายแนบเข้าที่หู เสียงของหลันเยว่เฉินก็ดังเข้ามาโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว “ลี่จุนถิง ผลตรวจ DNA ออกมาแล้ว นายมาเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงจริงจังผิดปกติไม่เหมือนช่วงเวลาปกติ
“ได้” เรื่องเร่งด่วนสำคัญ ลี่จุนถิงคิดก็ไม่คิดก็ตอบกลับไป วางเอกสารไว้ข้างๆ หยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่วางบนโซฟาขึ้นมา แล้วผลักประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้นายอยู่ไหน?” ลี่จุนถิงหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับก้าวเท้าอย่างเร่งรีบ
“ห้องทำงานโรงพยาบาล”
ไม่นาน ลานจอดรถของโรงพยาบาลก็เพิ่มรถขึ้นมาอีกหนึ่งคัน
พอลี่จุนถิงถึงก็หาห้องทำงานของหลันเยว่เฉินเจอได้อย่างแม่นยำ เคาะประตูได้ยินคำว่า “เชิญเข้าครับ” สองคำนี้ก็ผลักประตูเข้าไป
หลังจากที่หลันเยว่เฉินวางสายลงก็ไม่ได้แค่นั่งรออยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้นตอนที่ลี่จุนถิงเข้ามา เขากำลังก้มหน้าก้มตาทำงานหนักและเขียนคำสุดท้ายพอดี หลันเยว่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นเป็นลี่จุนถิงอย่างที่คิด
ข้างๆโต๊ะคือกระดาษขาวโพลนดุจหิมะชุดหนึ่ง กระดาษสีขาวตัวอักษรสีดำเห็นได้อย่างชัดเจน จากนั้นมือมือหนึ่งก็หยิบมันขึ้นมา
หลันเยว่เฉินมองลี่จุนถิง “ถวนจื่อกับโมเฉินยี่ไม่ได้เป็นพ่อลูกกัน”
ประสานตากับลี่จุนถิง หลันเยว่เฉินก็พยักหน้าพูดต่อว่า “ก็หมายความว่า การวินิจฉัยความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกชุดนั้นมีคนไปปลอมแปลงจริงๆ”
ลี่จุนถิงหยิบเอกสารจากหลันเยว่เฉิน ดูลงไปทีละตัวๆ ชื่อ ดัชนีทุกด้าน ช่องเขียนผลลัพธ์สุดท้าย บอกว่าไม่ตรงกันจริงๆ
หลังจากที่รู้ผลแล้ว ไม่รู้ทำไมในใจจู่ๆถึงได้รู้สึกโล่งอกขึ้นมา ก้อนหินที่ซ่อนไว้ที่กดทับอยู่ในใจหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภาระที่ไม่รู้ที่มาของช่วงหลายวันมานี้ก็หายไปแล้วแบบนี้ ลี่จุนถิงรู้สึกดีใจอย่างไม่รู้สาเหตุ
หลันเยว่เฉินเห็นลี่จุนถิงสีหน้าเรียบเฉยก็รู้สึกแปลกใจจึงพูดขึ้นว่า “นายมีเห็นว่ามีปัญหาตรงไหนหรือเปล่า?”
“อะไร?” ลี่จุนถิงได้ยินก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หยิบเอกสารขึ้นมองทั้งหน้าทั้งหลังอยู่หลายรอบก็ไม่เจอปัญหาอะไร
หลันเยว่เฉินถอนหายใจ เขาชี้ไปตรงที่ช่องเขียนกรุ๊ปเลือดของถวนจื่อที่มีปัญหา “ตรงนี้”
ข้างล่างกรุ๊ปเลือดคือดัชนีและข้อมูลที่เป็นแถวๆ
“เห็นแล้วยัง กรุ๊ปเลือดนี้นายไม่รู้สึกคุ้นตาเหรอ?” หลันเยว่เฉินพูดต่อ
ลี่จุนถิงมองอย่างสงสัย สายตาค่อยๆเลื่อนลงมาดูอยู่พักหนึ่ง จู่ๆก็เหมือนกับสังเกตอะไรได้บางอย่าง ตาโตขึ้นมาอย่างฉับพลัน ลมหายใจหยุดชะงัก ดัชนีกรุ๊ปเลือดนี้คล้ายกับของเขามาก แทบจะเหมือนกันเป๊ะ เหมือนกันจนน่ากลัว
ลี่จุนถิงตอนเด็กเคยไม่สบายเลยไปตรวจเลือด หลังจากที่ผลตรวจออกมา เขาก็นั่งรอผู้ใหญ่จัดการดำเนินเรื่องอยู่บนเก้าอี้ ดูดัชนีกรุ๊ปเลือดของตัวเองอย่างละเอียดด้วยความเบื่อหน่าย แถมยังจำได้อย่างละเอียดอย่างน่าแปลกใจ จากนั้นก็มาตรวจที่หลันเยว่เฉินอยู่หลายครั้ง จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หลันเยว่เฉินดูความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าของลี่จุนถิงก็รู้อย่างชัดเจนว่าลี่จุนถิงก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้
ลี่จุนถิงคิ้วขมวดคิ้วมองไปที่หลันเยว่เฉินพร้อมกับควบคุมโทนเสียงถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
หลันเยว่เฉินกลับสะบัดมือส่ายหัวอย่างจนใจ “นายยังจะมาถามฉันอีก ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่นี่ก็คือความจริง นายรอแป๊บนะ ฉันจะให้นายดูอะไรอีกอย่างหนึ่ง”
หลันเยว่เฉินพูดพลางก็ลุกขึ้นเดินไปที่ข้างๆโต๊ะทำงาน นั่งยองๆเปิดลิ้นชักออกมา แล้วหยิบเอกสารสีขาวที่เหมือนกันอีกฉบับหนึ่งออกมาจากข้างในส่งให้ลี่จุนถิง
ฉบับนั้นคือผลตรวจกรุ๊ปเลือดของลี่จุนถิงในแต่ก่อนที่ตกค้างไว้ เทียบเอกสารทั้งสองฉบับเข้าด้วยกัน ข้อมูลที่แทบจะเหมือนกันเป๊ะทับซ้อนกัน ทำให้คนตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
ลี่จุนถิงและหลันเยว่เฉินมองซึ่งกันและกัน
“สองวันก่อนฉันก็ว่ามันแปลกๆเหมือนจะคุ้นตาก็เลยมาตรวจสอบดู เป็นอย่างที่คิดจริงๆ” เสียงของหลันเยว่เฉินยิ่งอยู่ยิ่งเลือนราง ข้างหลังก็ได้ยินไม่ชัดแล้ว
เหมือนมีน้ำหนึ่งกะละมังสาดลี่จุนถิงจนตื่น ในความสับสนก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
หลันเยว่เฉินไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของลี่จุนถิงจึงพูดต่อไปเรื่อยๆ
เหมือนฉากนั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง สองวันก่อนหลันเยว่เฉินเอาผลตรวจมาแต่ตั้งเอาไว้นาน พอรอยุ่งเสร็จแล้วค่อยหยิบมาดูอย่างละเอียด ความง่วงก็ถูกผลตรวจนี้ขับสลายไปจนหมด ถวนจื่อกับโมเฉินยี่ไม่ใช่พ่อลูกกัน เรื่องนี้ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมาก แต่กลับเป็นดัชนีกรุ๊ปเลือดของถวนจื่อที่เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนี้
ด้วยความรู้สึกที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลันเยว่เฉินหาผลตรวจกรุ๊ปเลือดของลี่จุนถิงที่ตกค้างไว้ออกมาจากกองเอกสาร แล้วพบทันทีว่ากรุ๊ปเลือดของลี่จุนถิงกันถวนจื่อเหมือนกัน 99.99%……