ตอนที่ 455 เป็นโชคดีและหายนะ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 455 เป็นโชคดีและหายนะ

ทันทีที่ยมทูตชุยจากไป เจ้าสำนักศึกษาถังและคนอื่นๆ ยังคงตกใจ ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้อยู่เป็นเวลานาน

“ข้าลืมถามไปว่าอายุขัยของข้านานแค่ไหน” เหยียนฉีซานรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “ถามแล้วได้อะไร ต่อให้ท่านรู้โชคชะตาของตัวเอง หากดีก็แล้วไป หากไม่ดีในใจท่านก็จะเอาแต่ครุ่นคิด จะไม่เป็นการหาทุกข์ใส่ตัวหรือ”

เหยียนฉีซานตกตะลึง ยิ้มอย่างลำบากใจพลางกล่าวว่า “เป็นข้าที่หมกมุ่นเอง”

เจ้าสำนักศึกษาถังกล่าวด้วยความอิจฉา “ยมทูตชุยก็บอกแล้วว่าตระกูลเหยียนของพวกเจ้านั้นมีโชคลาภอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้ก็มีบรรพบุรุษที่กลายเป็นเทพเจ้า ตราบใดที่ตระกูลเหยียนไม่ทำผิด ก็จะร่ำรวยและเจริญรุ่งเรืองไปอีกร้อยปี นับประสาอะไรกับร่างกายของเจ้า”

“อาจไม่ใช่เช่นนั้น หากเขาไม่รู้จักดูแลตัวเอง ต่อให้ได้รับการคุ้มครองจากบรรพบุรุษ ก็ไม่สามารถทำให้เขาอายุยืนยาวได้” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “รวมถึงทุกคนในตระกูลเหยียน พรของบรรพบุรุษทำให้ตระกูลรุ่งเรืองมีโชคลาภ แต่หากมีลูกหลานไม่เอาไหนทำลายพรจนหมดไป เขาก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน อีกอย่าง ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไม่สามารถก้าวกายเรื่องทางโลกได้ สวรรค์ไม่อนุญาตเป็นอันขาด”

หลายคนรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย คำพูดเหล่านี้เป็นทั้งคำเตือนและคำสอน

เหยียนฉีซาน “ที่เจ้ากล่าวมาข้าจำไว้แล้ว”

ในขณะนี้ไถชิงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้ไปหาเฟิงปั๋วเลยหรือไม่”

ตอนที่เหยียนฉงเฮ่อยังมีชีวิตอยู่ มีชื่อเล่นว่าเฟิงปั๋ว

เหยียนฉีซานและคนอื่นๆ ชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยพึมพำว่า “การไปอวี๋หัง เส้นทางยาวไกล และตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อีกสิบกว่าวันก็จะตรุษจีนแล้ว การเดินทางไม่ค่อยสะดวก”

แม้ว่าเขาก็อยากจะไปคำนับบรรพบุรุษของเขา ดูว่าบรรพบุรุษของเขายังอยู่หรือไม่ แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย

ไถชิงมองฉินหลิวซีอย่างมีความหวัง “เจ้ารับทองคำเปลวไปแล้ว”

เหยียนฉีซานเกรงว่าฉินหลิวซีจะลำบากใจ จึงเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้าเลยดีหรือไม่ แต่คงเดินทางได้เพียงทางบกเท่านั้น”

“ไม่ต้องหรอก” ฉินหลิวซีดูเวลา กล่าวว่า “สิ่งต่างๆ มีลำดับความสำคัญ ข้าไม่สามารถเดินทางไกลเป็นพันลี้ไปอวี๋หังกับพวกท่านได้ จะหาทางสะดวกให้พวกท่านก็แล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอก” ฉินหลิวซีดูเวลา กล่าวว่า “สิ่งต่างๆ มีลำดับความสำคัญ ข้าไม่สามารถเดินทางไกลเป็นพันลี้ไปอวี๋หังกับพวกท่านได้ จะหาทางสะดวกให้พวกท่านก็แล้วกัน”

ทางสะดวก?

“ไปเส้นทางหยินที่ยมฑูตใช้”

ทุกคน “?”

เฉินผีอธิบายว่าการใช้เส้นทางหยินนั้นหมายความว่าอย่างไร เมื่อทุกคนได้ฟังต่างก็ตัวเย็นและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“พวกท่านไม่ต้องไปก็ได้ ข้าจะพานางไปเอง” ฉินหลิวซีมองไปยังเจ้าสำนักศึกษาถังและคนอื่นๆ แล้วกล่าวว่า “อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องดีที่คนเป็นจะใช้เส้นทางหยิน”

“การใช้เส้นทางหยินไม่ดีต่อร่างกายหรือ”

“เป็นเช่นนั้น ทางหยินคืออะไร ล้วนเป็นเส้นทางที่มีเพียงผีเท่านั้นที่ใช้ มีผีเร่ร่อนมากมายในนั้น หลังจากตายไปพวกเขาก็เดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างในสภาพตอนตาย ล้วนไม่มีหัวบ้าง แขนขาดขาขาดบ้าง ไส้ไหลออกมาบ้าง อย่าพูดถึงเลย หากคนเป็นเดินเข้าไปในนั้น กลิ่นก็จะดึงดูด หากร่างกายไม่ดี แปดอักษรเวลาตกฟากอ่อนแอก็สามารถถูกเข้าสิงได้ การใช้ทางหยิน ร่างกายก็จะดูดซับพลังหยินด้วย”

เมื่อเจ้าสำนักศึกษาถังและคนอื่นๆ นึกถึงภาพนั้น สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวเหมือนกับไถชิง

“แต่มีท่านอยู่ ก็ไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่” เจียงเหวินหลิวเอ่ยขึ้นมา

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วเล็กน้อย “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

“เช่นนั้นพวกเราก็ลองดูกันเถิด” เหยียนฉีซานแววตาเป็นประกาย

ฉินหลิวซีลองคำนวณดู เอ่ยกับเจียงเหวินหลิวว่า “หลังจากไปอวี๋หังแล้วท่านก็เดินทางจากอวี๋หังกลับไปสอบที่เมืองหลวงเถิด ปีนี้มีคลื่นลมหนาว เส้นทางไปเมืองหลวงก็ไม่สะดวก หากเดินทางจากที่นี่กลับไป ท่านจะไปไม่ทัน”

เจียงเหวินหลิวตกตะลึง

เจ้าสำนักศึกษาถังซานกล่าวว่า “ฉยงจัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เชื่อฟังเสี่ยวซีเถิด เมื่อไปถึงอวี๋หังก็รีบเดินทางกลับเมืองหลวง มิเช่นนั้นหากพลาดปีหน้าไป ก็ต้องรออีกสามปี”

เหยียนฉีซานก็เห็นด้วย “เพียงแต่เมื่อถึงเวลาพวกเราก็ต้องหาขบวนเดินทางพ่อค้าเพื่อติดตามไปด้วย ส่วนบ่าวรับใช้ก็คงต้องให้พวกเขาแบกกระเป๋าสัมภาระค่อยๆ เดินทางไป”

“ข้าเชื่อฟังท่านอาจารย์” เจียงเหวินหลิวตอบรับ จากนั้นก็ยกมือคำนับฉินหลิวซี “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสน้อยที่ให้คำแนะนำ”

“พวกเราจะออกเดินทางยามจื่อ[1]” ฉินหลิวซีให้เฉินผีพาเจียงเหวินหลิวไปกำชับบ่าวรับใช้ จากนั้นก็ให้วั่นเช่อไปนำอาหารมาให้เจ้าสำนักศึกษาถังและคนอื่นๆ รับประทาน แล้วจัดเตรียมให้พวกเขาพักผ่อนที่ห้องเต๋า ส่วนนางก็ไปเตรียมของอื่นๆ

เหยียนฉีซานและคนอื่นๆ นั่งอยู่ในห้องเต๋า รู้สึกถึงความแตกต่างในทันที บรรยากาศในห้องนี้ทำให้คนรู้สึกสบายเป็นพิเศษ ราวกับว่าความเหนื่อยล้าได้หายไปในพริบตา เมื่อมองไปที่อักขระและหัวใจพระสูตรที่แกะสลักอยู่บนผนัง ก็รู้สึกทอดถอนใจอีกครั้ง

“แม่หนูผู้นี้อายุยังน้อย แต่ความสามารถกลับไม่ธรรมดาเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ” เหยียนฉีซานชื่นชมจากใจจริง

เจ้าสำนักศึกษาถังลูบเคราอย่างภาคภูมิใจ “ลูกศิษย์ของข้าผู้นี้ไม่แย่ไปกว่าฉยงจังใช่หรือไม่”

“แน่นอนว่าไม่แย่ เพียงแต่พวกเขาทั้งสองอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างกัน ไม่เกินจริงที่จะบอกว่าพวกเขาแต่ละคนมีข้อดีของตัวเอง”

เจ้าสำนักศึกษาถังเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

หากพูดถึงทักษะวิชาแพทย์ จับผีไล่วิญญาณ ฉินหลิวซีนั้นเชี่ยวชาญ แต่หากเป็นเรื่องความรู้ทางวิชาการ นางย่อมไม่เก่งเท่าเจียงเหวินหลิวอย่างแน่นอน

ทุกคนต่างร่ำเรียนศาสตร์ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นทางเดินจึงแตกต่างเช่นกัน

“เจ้ามาครั้งนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว” เจ้าสำนักศึกษาถังมองสหายสนิทด้วยความอิจฉาอย่างไม่มีปิดบัง

เหยียนฉีซานดวงตาเป็นประกาย เอ่ย “แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าการเป็นเทพเซียนไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น ก่อนการสถาปนาต้าเฟิง ฮ่องเต้ผู้ดุร้ายแห่งราชวงศ์ต้าอวี๋ผู้นั้นได้เคยทำสิ่งที่น่าละอายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่เป็นอมตะ แต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นการเกิดแก่เจ็บตายได้ แต่ตอนนี้ตระกูลเหยียนของข้าได้มีเทพเจ้าน้ำ เหล่าถัง เจ้าช่วยหยิกข้าหน่อย ข้ากลัวว่ากำลังฝันไป”

ทั้งหมดนี้เหมือนเป็นความฝันจริงๆ

ในเวลาเพียงวันเดียว โลกของเขาได้พังทลายลง เขามีชีวิตอยู่มานานกว่าห้าสิบปีจึงได้รู้ถึงการมีอยู่ของอีกโลกหนึ่ง ซ้ำยังได้รับรู้ว่าบรรพบุรุษในตระกูลของเขาได้กลายเป็นเทพเจ้า

อาจเป็นเพราะเทพองค์นี้ได้ฝึกบำเพ็ญจากการเป็นผีธรรมดาจึงไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ยังคงเป็นเทพที่มีความศรัทธา

เจ้าสำนักศึกษาถังเห็นว่าเขามีสายตาเคลิบเคลิ้มจึงยื่นมือออกไปหยิกเขาอย่างแรง “เจ็บหรือไม่”

เหยียนฉีซานหัวเราะพลางกล่าวว่า “เจ็บ”

“เจ็บก็ดีแล้ว เจ้าเลิกทำหน้าดีใจได้แล้ว” เจ้าสำนักศึกษาถังสีหน้าจริงจัง เอ่ย “การที่ตระกูลมีโชคลาภอันยิ่งใหญ่เช่นนี้นับเป็นวาสนา แต่หากปฏิบัติไม่ดีก็อาจเป็นหายนะ จ้งชิง เจ้าจะต้องรู้ขอบเขต อย่าได้แสดงความดีใจจนเกินไป”

รอยยิ้มของเหยียนฉีซานหายไป “เจ้าหมายความว่า?”

“ตระกูลนักปราชญ์อย่างพวกเรานั้นไม่ได้มีสถานะสูงส่งและมั่งคั่งเหมือนตระกูลเหล่านั้น แต่รากฐานนับว่าไม่แย่ หากจะบอกว่าในโลกนี้นั้นเต็มไปด้วยลูกศิษย์มากมายก็ไม่เกินจริง และหากเอ่ยถึงเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยวาจาหรือพู่กัน ไม่มีใครเทียบนักปราชญ์ได้ เจ้าลองคิดดูเถิดว่าคนที่โชคอันยิ่งใหญ่ ซ้ำบรรพบุรุษยังกลายเป็นเทพเจ้าในตำนาน หากคำพูดถูกเผยแพร่ออกไปจะทำให้เกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น” เจ้าสำนักศึกษาถังลูบยันต์บนเอวของเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ใครบ้างจะไม่อยากเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะท่านนั้น!”

เหยียนฉีซานมองดูอีกฝ่ายที่ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า ความดีใจทั้งหมดหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม

เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ถึงความหมายเบื้องลึกของคำพูดนี้

ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ไม่มีใครไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นนิรันดร์ หากรู้ว่าตระกูลเหยียนมีโชคชะตาเช่นนี้ เกรงว่าไม่ทันรอให้ถึงตรุษจีน ก็จะต้องมีสตรีตระกูลเหยียนถูกเรียกเข้าวังในฐานะพระสนม หากให้ความสำคัญมาก เกรงว่าจะผลักดันให้นางเป็นถึงฮองเฮา เมื่อถึงเวลานั้นโชคที่นำมาสู่ตระกูลเหยียนจะไม่ใช่พรอีกต่อไป แต่จะตกอยู่ในวังวนแห่งอำนาจ

“ที่ท่านอาจารย์กล่าวมามีเหตุผล” ไม่รู้ว่าฉินหลิวซีและเจียงเหวินหลิวยืนฟังอยู่ข้างประตูนานเท่าใดแล้ว นางเดินเข้ามาแล้วมองไปยังเหยียนฉีซานพลางพลางเอ่ย “อีกประเด็นหนึ่งก็คือนอกจากตระกูลสวรรค์แล้ว ยังมีตระกูลขุนนางอีกมากมายในโลกนี้ ท่านอาจารย์เหยียน โชคลาภสามารถเปลี่ยนแปลงหรือถูกขโมยไปได้ เมื่อถูกสับเปลี่ยนแล้ว ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

เหยียนฉีซานชาไปทั้งตัว

[1] ยามจื่อ เวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง