บทที่ 379 เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 379 เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

บทที่ 379 เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

หลิวอวี่กวงคือหนึ่งในทายาทห้าตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจว ตระกูลหลิวนั้น ในห้าตระกูลใหญ่ก็ยังถือว่าเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ แม้หลิวอวี่กวงจะเป็นรุ่นที่สองของตระกูล แต่เขาก็ไม่ใช่บุตรชายเพียงคนเดียว อีกทั้งยังไม่ใช่ที่โปรดปรานหรือมีอำนาจภายในตระกูลสักเท่าไหร่

หากหลิวอวี่กวงคิดเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ก็คงไม่มีปัญหาใด ๆ แม้ไม่มีอำนาจในตระกูลหลิว แต่เขาก็ครอบครองสถานะลูกชายของตระกูลหลิว ชีวิตการเป็นอยู่แทบไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล กระทั่งว่าเคยร่ำรวยเช่นไรก็ร่ำรวยเช่นนั้น

แต่หลิวอวี่กวงไม่ใช่คนที่พอใจกับการที่เป็นแค่คนธรรมดา เขาไม่อยากเป็นแค่คุณชายบ้านรวยรอคอยความตาย เขาต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่การจะเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของตระกูล เพราะทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ทำให้เรื่องยิ่งยากมากขึ้น

หลังจากได้พบอู๋ฝานที่งานปาร์ตี้วันเกิดของถังอวี่เฟยเมื่อครั้งก่อน หลิวอวี่กวงจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารู้ดีว่าลำพังแค่ความพยายามส่วนตน มันเป็นเรื่องยากที่จะพลิกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ กระทั่งว่าแทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิวในอนาคต ดังนั้นเขาจึงต้องการพึ่งพาอำนาจจากภายนอก และอู๋ฝานก็คือคนที่สามารถส่งมอบวิชาระดับปฐพีออกมาได้ง่าย ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ทว่าเขาและอู๋ฝานไม่ได้คุ้นเคยกัน การเข้าไปติดต่อกับอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดี ครั้งก่อนที่ห้างสรรพสินค้าคือความบังเอิญทั้งสิ้น หลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่อีกฝ่ายเปิดร้านอาหาร เขาเองก็ไปช่วยอุดหนุนและสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทว่าอู๋ฝานก็ยังมีคนพยายามเข้าหาอยู่มากจนเกินไป

ตอนนี้เมื่ออู๋ฝานเป็นฝ่ายโทรหาตนเองก่อน การที่เขาจะรู้สึกยินดีจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันคือโอกาสที่เขาไม่สามารถปล่อยผ่านหรือมองข้ามได้ ดังนั้นจึงตอบรับอย่างไม่ลังเล

เพื่อให้มั่นใจว่าจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้ เขาจึงต้องทำผลงานออกมาให้ดี!

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลิวอวี่กวงจึงต่อสายหาคนที่สามารถรับช่วงจัดการต่อ แม้เขาจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในบุตรชายตระกูลหลิวที่ไม่ได้รับความโปรดปราน แต่อย่างไรก็ยังมีเส้นสายที่สามารถติดต่อหาได้ ตัวตนของบุตรตระกูลหลิวยังมีหน้ามีตา หากคิดจัดการเรื่องเล็กน้อยเท่านี้จึงไม่ใช่ปัญหา

เถ้าแก่หลิวไม่รู้เรื่องที่อู๋ฝานฝากให้คนอื่นจัดการเรื่องนี้ต่อ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกำลังอารมณ์ดีอยู่

เดิมเถ้าแก่หลิวคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ไฟไหม้โรงไม้ของตน จะต้องเป็นอู๋ฝานและเจ้าหย้าหนาน แต่คนทั้งสองที่เขาหามาเป็นผู้ต้องสงสัยกลับไม่ยอมรับว่าวางเพลิงในโรงไม้ ทั้งยังไม่ได้ถูกอู๋ฝานหรือเจ้าหย้าหนานจ้างวานมา ทำให้เถ้าแก่หลิวโมโหไม่ใช่น้อย อย่างไรการที่โรงไม้ไฟไหม้เขาก็อารมณ์เสียมากพออยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดปล่อยให้มันต้องสูญไปอย่างนี้แน่นอน ชายชราจึงต้องหาคนเตรียมหม้อร้อน ส่งให้เจ้าหย้าหนานและอู๋ฝานรับไปถือเอาไว้ มันจะได้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้ทั้งค่าเสียหายและระบายความคับข้อง!

ดังนั้นหลังคนงานทั้งสองปฏิเสธที่จะบอกความจริงที่เขาต้องการได้ยิน ชายชราจึงยื่นข้อเสนอให้คนทั้งสองยอมรับว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้เป็นการวางเพลิงโดยคำสั่งของอู๋ฝานและเจ้าหย้าหนาน ขอเพียงแสดงตามบทละครที่ซักซ้อมเอาไว้ เขารับปากว่าจะไม่ให้คนทั้งสองต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย และเมื่อใดพ้นโทษออกมาก็จะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม

คนงานทั้งสองไม่ลังเลที่จะทำตามคำแนะนำของเถ้าแก่หลิว อย่างไรการเอาตัวรอดก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทั้งยังจะได้รับเงินอีกด้วย ทว่าหากไม่ฟังคำพูดของเถ้าแก่หลิว อีกฝ่ายจะลากพวกเขาลงน้ำจนตาย การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย

‘เหอะ! ยัยหนูเจ้ากับไอ้เด็กขนยังไม่ขึ้นแซ่อู๋ อยากเห็นนักว่าครั้งนี้พวกแกจะทำยังไง!’ เถ้าแก่หลิวนึกคิดในใจอย่างไร้ซึ่งความละอาย

ถ้าครั้งนี้เรื่องราวราบรื่นดี ไม่เพียงอู๋ฝานและเจ้าหย้าหนานจะต้องจ่ายค่าชดใช้ที่โรงไม้ของเขาสูญเสียไป แต่ยังจะถูกจับกุม เมื่อถึงตอนนั้น หากคิดช่วงชิงกิจการจากอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ทว่า เถ้าแก่หลิวกลับดีใจอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเจอสถานการณ์ที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกจับกุม

“นี่มันเรื่องอะไร? มาจับฉันทำไม? ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ!” เถ้าแก่หลิวพยายามดิ้นรนร้องตะโกน

“ขอเชิญมากับพวกเราด้วยครับ ส่วนเรื่องที่ว่าจะจับผิดหรือไม่นั้น พวกเราจะสืบจนทราบในภายหลังเองครับ”

เถ้าแก่หลิวไม่ยอม แต่ก็รู้ดีว่าดิ้นรนไปตอนนี้ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองอีกฝ่ายอย่างกินเลือดเนื้อ รอจนเรื่องกระจ่างเขาก็จะรอดพ้นเอง

แต่เมื่อเถ้าแก่หลิวถูกควบคุมตัว เขาจึงตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง กลุ่มคนที่พูดจาดี ๆ เมื่อกี้นี้กลับเผยสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด ไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนเชิญตัวเข้าห้องสอบสวน เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าก็ไม่ปาน

นี่มัน…เรื่องอะไรกัน?

เถ้าแก่หลิวเป็นคนฉลาด ในชั่วพริบตาก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เขาเริ่มครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ เพราะอะไรตอนนี้เจ้าหน้าที่ถึงเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน?

ไม่นานเถ้าแก่หลิวก็ได้ทราบว่าอะไรที่แปลกไป คนเหล่านี้สืบทราบว่าคนงานทั้งสองให้การเท็จใส่ร้ายเจ้าหย้าหนานและอู๋ฝาน พวกเขากล่าวว่าคนทั้งสองชี้นำให้กระทำ แต่พวกเขากลับไม่รู้วิธีการติดต่อหาอู๋ฝานและเจ้าหย้าหนาน กระทั่งทั้งคู่มีหน้าตารูปร่างอย่างไร พวกเขาก็ยังไม่อาจอธิบายให้กระจ่างได้

เถ้าแก่หลิวนึกโกรธแค้นอยู่ในใจ ทั้งที่บอกไปแล้วว่าให้พูดน้อย ๆ แต่คนทั้งสองกลับไม่ฉลาดพอจะจัดการเรื่องนี้ให้ราบรื่นได้ เรียกว่าแทบไม่ต่างอะไรกับการใช้คนโง่ให้ทำงานใหญ่!

“ตามข้อมูลที่สืบทราบมา คุณเป็นคนแนะนำให้พวกเขาใส่ร้ายคุณอู๋และคุณเจ้า มีอะไรจะแก้ต่างรึเปล่าครับ?” เจ้าหน้าที่ตั้งคำถามกับเถ้าแก่หลิว

“ไม่ยุติธรรม! ฉันไม่ได้บอกให้พวกมันทำอะไรแบบที่ว่า …ฉันต่างหากที่ควรเป็นคนตั้งคำถามว่าเพราะอะไรฉันถึงต้องให้พวกเขาทำแบบนั้น! เจ้าหย้าหนานไม่ต่างอะไรกับหลานสาวคนหนึ่งของฉัน ตาแก่คนนี้จะหาทางใส่ร้ายเด็กน้อยนั่นทำไม ฉันเป็นเพื่อนที่ดีกับพ่อของเธอมานานแล้วด้วยซ้ำ!” เถ้าแก่หลิวตอบกลับมา

“ยังไม่บอกความจริงสินะครับ แล้วคุณรู้ไหมครับว่าคนคนนี้เป็นใคร?”

ตอนนี้เองที่ประตูห้องสืบสวนถูกเปิดออก ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา เถ้าแก่หลิวที่เจอหน้าอีกฝ่ายถึงกับต้องชะงักไปครู่หนึ่ง

ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาคือคนที่ช่วยเขาส่งต่อข้อความถึงคนงานทั้งสอง เพราะมีความสัมพันธ์เล็กน้อยอยู่ที่นี่ แม้ไม่อาจทำเรื่องอะไรใหญ่โตได้ แต่การส่งต่อคำพูดก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป เถ้าแก่หลิวที่ค่อนข้างสนิทกับอีกฝ่าย มอบผลประโยชน์เล็กน้อยพร้อมกับการฝากส่งข้อความให้ และเขาก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแม้แต่น้อย

ทั้งเถ้าแก่หลิวและผู้ชายคนนี้ต่างก็มองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่สถานการณ์ตอนนี้คล้ายจะไม่ใช่แล้ว ใบหน้าของเขามีร่องรอยและท่าทีอิดโรย ราวกับถูกทรมานรีดเร้นความจริงมา

“รู้จักเขาใช่ไหมครับ?” พนักงานสืบสวนเอ่ยคำถาม

“อา… ไม่นะ ไม่เห็นจำได้” เถ้าแก่หลิวที่ตอนแรกเกือบพยักหน้ารับ พลันต้องดึงสติรีบส่ายหน้าอย่างรุนแรงให้การปฏิเสธ

“ยังไม่พูดความจริงอีกใช่ไหม? เขาสารภาพออกมาหมดแล้ว!” พนักงานสืบสวนตบมือลงกับโต๊ะพร้อมตะโกนใส่หน้าเถ้าแก่หลิว

“ใส่ร้ายคนผิดแล้ว!” เถ้าแก่หลิวร้องตอบ “ให้ฉันพบกับหัวหน้าของพวกคุณ!”

เถ้าแก่หลิวอย่างไรก็ถือเป็นเถ้าแก่คนหนึ่ง ครอบครองทรัพย์สินหลักสิบล้าน ดังนั้นจึงพอมีเส้นสายอยู่บ้าง

“หัวหน้าของพวกเราไม่มีเวลาว่างพอมาพบกับคนอย่างคุณหรอก ตอนนี้อธิบายมาได้แล้ว!” พนักงานสืบสวนไม่ลังเลที่จะปฏิเสธคำขอของเถ้าแก่หลิว

เถ้าแก่หลิวเผยสีหน้าดำมืด จากสภาพของชายที่ถูกนำตัวเข้ามา และท่าทีที่เปลี่ยนไปของพนักงานสืบสวน เขารู้แล้วว่ามันจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แต่เพราะอะไรถึงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้?

มันเป็นเรื่องที่เขายังคิดไม่ออก