บทที่ 313 ต้นบุพเพ

“ฟ้าสว่างแล้วหรือ” นางถาม

“เพิ่งผ่านยามจื่อ” เขาตอบอย่างมึนงง

เย่แจ๋หยิ่งมีปัญหาหรือ

แต่!

ตอนนี้สิ่งที่นางควรกังวลไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ต้องนำจิ่วเซียวหวงเพ่ยไปที่ต้นบุพเพ

ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนทันที กลับพบว่าบนไหล่ของตนเองมีเสื้อคลุมสีดำเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว จึงหันไปมองเย่แจ๋หยิ่ง ต้องการที่จะถอนเสื้อคลุมออกไปคืนให้กับเขา

แต่กลับถูกเขาหยุดไว้

“ลมตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว คลุมไว้เถอะ!”

แม้ว่าคำพูดที่ดูใส่ใจ แต่กลับเผยให้เห็นน้ำเสียงที่อึดอัดผิดปกติ

เอ่อ……

ก่อนหน้าที่นางได้หลับไปเกิดอะไรขึ้นกับเขา

ทำไมเมื่อตื่นขึ้นมาถึงกลับดูผิดแปลกไป

“ข้าขอกลับไปที่ห้องที่ปีกด้านข้างก่อนเพื่อไปหาของบางอย่าง แล้วพบกันที่ใต้ต้นบุพเพ”

ในความเป็นจริงของที่นางจะต้องนำไปคือจิ่วเซียวหวงเพ่ย และจิ่วเซียวหวงเพ่ยก็ถูกนางรวบรวมไว้ในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ

ตอนนี้ไม่สามารถเอามันออกมาต่อหน้าเย่แจ๋หยิ่งได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นจึงเสนอว่าจะกลับไปเอาของที่ห้องที่ปีกด้านข้าง

หลังจากหลานเยาเยาออกไป เย่แจ๋หยิ่งก็เตรียมวางแผนจะออกไปยังใต้ต้นบุพเพ ทันทีที่ออกจากประตู องครักษ์ลับก็ได้โผตัวเข้ามา

“เจ้านาย ทางด้านองค์ชายสี่เกิดเรื่องแล้ว”

ได้ยินดังนั้น!

เย่แจ๋หยิ่งขมวดคิ้วแน่น นิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า “ไปดูกันเถอะ”

——

ช่วงเวลานั้นที่ได้เห็นต้นบุพเพ

หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง

แม้ว่าในหนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในวัด ก็เคยเห็นคำบรรยายเกี่ยวกับต้นบุพเพ

แต่เมื่อได้เห็นจริง ๆ กลับมีความเข้าใจที่แตกต่างกันออกไป

เป็นความรู้สึกที่สวยงามปนโศกเศร้า……

ต้นบุพเพไม่ได้มีเพียงต้นเดียว แต่เป็นต้นไม้เก่าแก่สองต้นและมีกิ่งก้านสาขาจำนวนมากที่เติบโตร่วมกัน มีรากเชื่อมต่อกัน และมีใบที่พาดตัดกัน

ดุจดั่งคนรักสองคนกำลังโอบกอดกันแน่น

พวกมันอยู่ตรงกลางของบริเวณวัดทั้งหมด และระหว่างวัดกับต้นบุพเพ มีต้นเมเปิ้ลล้อมอยู่วงแหวน

ไม่ต้องพูดถึงงานวัดในเทศกาลสำคัญเลย แม้แต่ในวันธรรมดา ผู้คนก็ต่างหลั่งไหลมาขอพรและขอคู่บุพเพอย่างไม่ขาดสาย

แต่ชื่อเสียงของต้นบุพเพ กลับเป็นเพราะตำนานที่สวยงามและสิ้นหวัง

มีการกล่าวไว้ในหนังสือบันทึกต้นบุพเพที่อยู่กลางวัดว่า

นับตั้งแต่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน เทพธิดาองค์หนึ่งตกลงมาสู่โลกมนุษย์ นางได้สูญเสียอิทธิฤทธิ์ไป กลับมีเรื่องไม่คาดคิดได้ตกหลุมรักกับฮ่องเต้องค์แรกของแผ่นดิน

แต่ช่วงเวลาดี ๆไม่ได้ยาวนานนัก

การบุกรุกของกลุ่มคนต่างชาติจากนอกแผ่นดิน พวกเขามีวิชาคาถาอาคมที่สูงส่งคาดเดาได้ยาก ฮ่องเต้ได้สู้รบกับพวกเขา แม้ว่าจะขับไล่พวกเขา บีบบังคับให้ออกนอกแผ่นดิน

แต่เขาก็ล้มลงเช่นกัน เทพธิดาไม่ต้องการให้เขาตายจากไป จึงได้ค้นหาสมุนไพรวิเศษเพื่อมาทำยาวิเศษ

เพียงเพื่อทำให้ฮ่องเต้กลับมามีชีวิต และมีชีวิตที่อมตะ เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ตลอด

อย่างไรก็ตามเสน่ห์ดึงดูดของยาอายุวัฒนะก็ยิ่งใหญ่มาก ใครบ้างที่จะไม่ต้องการ

วันนั้นขณะที่ทำยาวิเศษ ฟ้าดินแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง ฮ่องเต้และเทพธิดาได้หลบหนีไปยังวัดที่อยู่บนภูเขา

ทั้งสองกอดคอกันร้องไห้ มองไปยังผู้คนที่ล้อมอยู่โดยรอบ แต่ละคนมีสายตาที่โลภและดุร้าย สุดท้ายเทพธิดาก็ถูกบังคับจนตาย และฮ่องเต้ก็ได้ทำลายยาอายุวัฒนะ เพื่อตายไปพร้อมกับความรักที่มีต่อเทพธิดา

หลังจากพวกเขาตายจากไป ฟ้าดินก็พิโรธ ดวงดาวก็ตกลงมา ล้างผืนแผ่นดินอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตได้รับความทุกขเวทนา ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

ผู้ที่รอดชีวิตมีความเสียใจภายหลังอย่างมาก ต่างก็สารภาพความผิดที่ได้ทำในสถานที่ฮ่องเต้และเทพธิดาได้เสียชีวิต

กลับพบโดยไม่ได้คาดคิดว่า เลือดเนื้อของพวกเขากลายเป็นต้นไม้สองต้นที่โผล่ขึ้นมาจากผืนดิน ต้นอ่อนเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน……

เพื่อเป็นการระลึกถึงความรักของพวกเขา ต้นไม้ทั้งสองต้นจึงได้ถูกตั้งชื่อว่าต้นบุพเพ

อย่างไรก็ตามชายหนุ่มและหญิงสาวในรุ่นหลัง ต่างต้องการความรักที่ไม่สิ้นสุดของฮ่องเต้และเทพธิดา

ดังนั้นพวกเขาจึงเขียนชื่อของคนสองคนที่รักกันบนแถบผ้า จากนั้นแขวนเอาไว้บนต้นบุพเพ อธิษฐานถึงความรักที่ซื่อสัตย์และภักดี

ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ค่อย ๆแปรเปลี่ยนไปเป็นประเพณี

หลานเยาเยาค่อย ๆเดินไปใกล้ ๆ

เมื่อเห็นแถบผ้าสีแดงที่แขวนอยู่เต็มบนต้นบุพเพ พวกมันก็พลิ้วไหวไปตามสายลม ฝากความรู้สึกและความหวังในเรื่องความรักของชายหญิงวัยรุ่นนับหมื่นนับพัน

นางเอียงศีรษะเพื่อมองเสื้อคลุมสีดำบนไหล่ ดวงตาก็มีความซับซ้อนเล็กน้อย

มีความรักบางอย่างที่สามารถครอบครองไว้ได้

มีอารมณ์บางอย่างที่ก็มิอาจปล่อยไปได้

นี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่พวกเขาสามารถฝากความรู้สึกในใจของตนเองเอาไว้ได้

จะมีสักเท่าไหร่ที่สามารถจะเดินไปด้วยกันจริง ๆ……

หลานเยาเยาที่โอบกอดจิ่วเซียวหวงเพ่ย ปล่อยมือข้างหนึ่ง สัมผัสกับลำต้นที่เกลี้ยงเกลา ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว ก็ได้ถูกท้องฟ้าอากาศของกาลเวลากัดกร่อนร่องรอยแผลเป็นออกไป

ผ่านไปครูหนึ่ง

เย่แจ๋หยิ่งยังไม่ทันจะมาถึง

หลานเยาเยาก็ไม่คิดจะรอเขาอีกต่อไปแล้ว

เขาไม่มาก็ดีแล้ว เดิมทีนางก็วางแผนว่าจะมาด้วยตนเองคนเดียว

รอบ ๆของต้นบุพเพถูกห้อมล้อมด้วยป่าใบเมเปิ้ล บนต้นไม้ที่ใกล้กับต้นบุพเพที่สุด ล้วนแต่แขวนโคมไฟสีแดงเอาไว้

แสงจากโคมไฟส่องสว่างออกมา ทำให้มองเห็นต้นบุพเพได้ชัดเจนมา

หลังจากได้สัมผัสกับต้นบุพเพอยู่สักพักหนึ่ง ไม่ได้พบกับความแปลกประหลาดใด ๆ แต่กลับพบร่องรอยของคนอื่นที่เหยียบย่ำมากขึ้น

มีคนบางกลุ่มที่ต้องการจะแขวนแถบผ้าของตนเองให้เห็นเด่นชัด คนที่มีวรยุทธ์ ก็จะสามารถเหาะขึ้นไปผูกแถบผ้าไว้บนต้นบุพเพ

คนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ ก็จะปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อจะผูกแถบผ้า

อย่างไรก็ตามนอกจากใบไม้แล้ว กิ่งก้านและลำต้นต่างก็ถูกเหยียบย่ำไปทั่ว

“แล้วมันหายไปได้อย่างไรกัน”

จากบันทึกในหนังสือ อดีตเทพธิดา ก็ได้หายไปที่นี่ และท่านแม่ก็หายไปที่นี่ด้วยเช่นกัน

ที่นี่จะต้องมีความลึกลับซ่อนอยู่แน่นอน

บางทีนางอาจจะยังหาไม่พบว่าความลึกลับซ่อนอยู่ที่ไหนแค่นั้นเอง!

ดังนั้นนางจึงเหาะขึ้นไปบนต้น และหลังจากทำการสำรวจดูอย่างรอบคอบแล้วหนึ่งรอบ

นอกจากด้านบนยอดสุดของต้นบุพเพ มีกิ่งก้านหนากิ่งหนึ่งที่ถูกคนตัดให้ราบเรียบ ไม่มีใบและกิ่งก้านงอกขึ้นมาใหม่ และถูกปกคลุมเต็มไปด้วยตะไคร่ และมีใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บางส่วน

ส่วนที่เหลือไม่พบอะไรเลย

เพียงแต่……

สีของตะไคร่นี้ ดูเหมือนจะแตกต่างกันเล็กน้อย

อาจเป็นเพราะสาเหตุจากแสงสีแดงของโคมไฟที่ส่องมา!

ดังนั้นจึงทำให้สีของตะไคร่ด้านบนนี้มีสีที่เปลี่ยนไป

นางก้มตัวลงไป เพียงแค่ยื่นมือข้างหนึ่งลงไปกวาดใบไม้ออก

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่แตกต่างออกไป

หนึ่งคน……

สองคน……

สามคน……

……

สิบเก้าคน……

ยี่สิบคน!……

ใบป่ารอบ ๆของต้นบุพเพ มีคนซ่อนตัวอยู่อย่างน้อยยี่สิบคน

และนางก็แน่ใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าที่นี่มีคนมากกว่าหนึ่งกลุ่ม และจุดประสงค์ของพวกเขาก็เหมือนกันทั้งหมด

ฮึ!

บางคน อยากจะเป็นอมตะอยากบ้าสินะ!

ดังนั้น

นางเด็ดใบไม้สองสามใบ หลังจากใช้กำลังภายในบรรจุพลังงานเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้โจมตีเข้าไปตรงมุมมืดของป่าเมเปิ้ล

แม้ว่านางจะรู้ว่ามีคนถูกโจมตี แต่ก็ยังไม่มีเสียงร้องที่น่าเศร้าดังออกมา

เห็นได้ว่า ตอนนี้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด วรยุทธ์ล้วนแต่แข็งแกร่ง

คนที่ถูกโจมตีรู้ได้โดยธรรมชาติว่าตนเองได้ถูกพบแล้ว ดังนั้นจึงรีบออกจากป่าเมเปิ้ล

พวกเขามีกันห้าคน มีสองคนในนั้นได้รับบาดเจ็บ คนที่เป็นหัวหน้าเป็นคนในชุดสีดำที่มีร่างกายแข็งแรงคนหนึ่ง ในบรรดาคนไม่กี่คนนั้นเขาเป็นคนที่สูงที่สุด และตัวใหญ่ที่สุด

“เจ้านายของพวกเราไม่ต้องการจะพบกับกองทัพของเจ้า เขาหวังที่จะร่วมมือกับเจ้าเป็นอย่างมาก ขอเพียงแค่เจ้าบอกความลับที่เจ้ารู้ให้กับเจ้านาย เจ้านายก็จะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อปกป้องเจ้า”

ชายในชุดดำเดาไม่ถูกว่ากำลังภายในของเทพธิดามีมากน้อยเพียงใด

แต่เขาเข้าใจอยู่เล็กน้อย

แม้ว่าคนคนหนึ่งจะมีวรยุทธ์แข็งแกร่ง แต่สองหมัดก็ยากจะสู้สี่มือ วรยุทธ์ของพวกเขาก็ไม่เลว เพียงแค่พวกเขาใช้ยุทธวิธีกงล้อ เทพธิดาก็จะต้องถูกติดกับดัก

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา

หลานเยาเยาก็ยิ้มอย่างมีเสน่ห์ มองพวกเขาจากตำแหน่งจากมุมสูงที่ดี พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส

“ข้าได้พบความลับของพิณกู่ฉินจื่อหลิง และได้รู้เกี่ยวกับต้นบุพเพ แต่ข้าไม่อาจยอมแลกกับความสูญเสีย จะร่วมมือก็ได้ แต่จะต้องการจะหาคนร่วมมือที่แข็งแกร่งที่สุด”

“หมายความว่าอย่างไร”

คนชุดดำคนนั้นไม่เข้าใจความหมายของนาง

หลานเยาเยาไม่ได้พูดอะไรอีก เสียงเยาะเย้ยได้ส่งผ่านออกมาจากดวงตา