บทที่ 387 แย่งชิงห้อง
บทที่ 387 แย่งชิงห้อง
อู๋ฝานและเกิ่งหย่าเฟยรับหน้าที่ไปเช็กอินเข้าพัก โดยห้องพักส่วนใหญ่จะเป็นแบบสำหรับสองคน และไม่ทราบว่าด้วยความบังเอิญหรืออะไร ที่ถังอวี่เฟยและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ได้อยู่ห้องเดียวกัน
เมื่อถึงคราวของอู๋ฝาน ก็เหลือเพียงแค่หลี่ปิงที่ยังไม่ได้ทำการเช็กอินห้องพัก
นี่เขาต้องแชร์ห้องกับหลี่ปิงเหรอ?
อู๋ฝานถึงกับต้องขมวดคิ้ว
อู๋ฝานไม่อยากแชร์ห้องพักโรงแรมกับหลี่ปิง หนึ่งเพราะหลี่ปิงไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ อีกหนึ่งก็เพราะเขายังต้องเตรียมเทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกมในช่วงกลางคืน ดังนั้นการแชร์ห้องพักกับใครก็ตามจึงไม่สะดวกในทุกกรณี
“ฉันไม่ขอร่วมห้องกับคนคนนี้” ขณะอู๋ฝานกำลังครุ่นคิดว่าจะปฏิเสธอย่างไรดี หลี่ปิงกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาซะก่อน “มีห้องอื่นว่างอยู่อีกไหม?”
หลี่ปิงเอ่ยถามกับแผนกต้อนรับของโรงแรม
ครั้งก่อนหลี่ปิงถูกอู๋ฝานเล่นงานสั่งสอนจนหลาบจำแล้ว หากครั้งนี้ยังต้องอยู่ร่วมห้องกับอีกฝ่าย ใจเขาคงไม่มีทางสงบและข่มตานอนหลับได้แน่ อีกทั้งในใจเขายังหวาดเกรงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ทำให้ไม่มีความกล้าพอจะแชร์ห้องร่วม
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ทางเราไม่เหลือห้องว่างแล้ว ทุกห้องเต็มหมดเลยค่ะ” แผนกต้อนรับตอบกลับมา
“ผมจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่าก็ได้ หรือถ้าสองเท่าไม่ได้ สามเท่าก็ได้ หาห้องให้ด้วย!” หลี่ปิงยังคงยืนยันหนักแน่น
โรงแรมแห่งนี้ไม่ใช่โรงแรมหรูหลายดาว แต่เป็นเพียงแค่ธุรกิจโรงแรมท้องถิ่นทั่วไป หากเป็นตามปกติ หลี่ปิงคงไม่ยินดีพักในโรงแรมแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะเกิ่งหย่าเฟยมาด้วย เขาที่หาทางตามติดมาด้วยนั้นจึงไม่กล้าเรื่องมาก
“ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ ทางเราไม่เหลือห้องว่างเลยจริง ๆ ค่ะ” พนักงานแผนกต้อนรับเอ่ยขออภัย
“นี่มันอะไรกัน!? ไม่คิดจะเห็นแก่หน้ากันหน่อยรึไง? คิดว่าฉันอยากอยู่ในโรงแรมโกโรโกโสนี่นักเหรอ?” หลี่ปิงถาม
“หลี่ปิงระวังคำพูดด้วย คุณเป็นอาจารย์ นักศึกษาก็อยู่ที่นี่” เกิ่งหย่าเฟยเอ่ยเตือนขึ้นมา
“ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรผิดหนิ! โรงแรมโกโรโกโสแบบนี้ ต่อให้เชิญมาฉันยังไม่อยากจะมาเลยด้วยซ้ำ การที่ต้องมาพักที่นี่ฉันไม่ได้เป็นคนเลือก!” หลี่ปิงตอบกลับ
แต่ไม่ว่าหลี่ปิงจะพูดออกมามากขนาดไหน แผนกต้อนรับก็ไม่อาจหาห้องว่างให้ได้ เมื่อคล้ายจะไม่มีทางออก อู๋ฝานจึงเตรียมคิดปล่อยวาง ทว่ากลับบังเอิญมีคู่คนหนุ่มสาวที่จองห้องไว้ล่วงหน้าเดินเข้ามาเช็กอินพอดี
“รอเดี๋ยว!” เมื่อเห็นแผนกต้อนรับกำลังจะเช็กอินให้คู่รักดังกล่าว หลี่ปิงก็ตะโกนเสียงดังพร้อมเดินเข้าหาคนทั้งสอง “ฉันจ่ายให้หนึ่งพัน ขอห้องนั้นให้ฉัน!”
“คุณเป็นใครครับเนี่ย บ้าหรือเปล่า!” แฟนหนุ่มตอบกลับหลี่ปิงด้วยอาการไม่พอใจ
“สองพัน ขอห้องนั้นให้ฉัน!” หลี่ปิงยังคงไม่ล้มเลิก
“พวกเราไม่ใช่คนเห็นแก่เงินนะครับ” แฟนหนุ่มตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“สามพัน!”
“ช่วยหลีกทางด้วยครับ อย่าขวางทางพวกเรา” แฟนหนุ่มยังคงยืนยัน แต่น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ห้าพัน! ข้อเสนอสุดท้ายแล้วนะ” หลี่ปิงยังคงเพิ่มราคาให้อีกครั้ง
อีกฝ่ายเกิดลังเลขึ้นมา ขณะคิดปฏิเสธอีกครั้ง แฟนสาวที่อยู่ข้าง ๆ กลับโผล่พรวดออกมารับหน้าแทน “ตกลง”
“นี่เธอ!?…” แฟนหนุ่มคล้ายจะไม่ค่อยพอใจ
เพียงพริบตาแฟนสาวคนนั้นกลับหยิกสีข้างแฟนหนุ่มพร้อมกระซิบ “พวกเราเอาเงินห้าพันไปหาโรงแรมที่ดีกว่านี่ได้อีกตั้งเยอะ จะยืนกรานอยู่ที่นี่เพื่ออะไร”
จากนั้นเธอก็หันกลับมาคุยกับหลี่ปิง “พี่ชายท่านนี้ขอให้รักษาคำพูดด้วยนะคะ ห้าพันมา ห้องของเราก็จะตกเป็นของคุณ”
“เหอะ!” หลี่ปิงแค่นเสียงออกมาก่อนจะโอนเงินห้าพันให้คนเป็นแฟนสาว เธอรีบทิ้งการจองห้อง ในมุมของอู๋ฝาน คล้ายว่าเขาจะเห็นเธอคนนั้นขยิบตาให้หลี่ปิงระหว่างเดินออกไปด้วยซ้ำ
“นายน้อยหลี่ร่ำรวยดีจริง ๆ” อู๋ฝานเอ่ยพลางยิ้ม
หลี่ปิงได้แยกตัวไปพักคนเดียว นับเป็นเรื่องที่ดีกับเขาเช่นกัน
“เหอะ! รวยกว่านายเยอะ” หลี่ปิงตอบรับอย่างภูมิใจ
หลี่ปิงไม่รู้สถานะปัจจุบันของอู๋ฝานแม้แต่น้อย ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายของเขายังคงหยุดอยู่ที่การเดิมพันหนึ่งหมื่นหยวน หรืออย่างดีที่สุดก็แค่คิดว่าชายหนุ่มพอจะมีกินมีใช้อยู่บ้าง ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็เกินกว่าที่ตัวเขาจะอยากรู้ ดังนั้นเขาจึงมองว่าอู๋ฝานยังคงยากจน
อู๋ฝานยักไหล่ ไม่ได้ทักท้วงอะไรกลับ
หลังจัดการเอกสารการเข้าพักเรียบร้อย กลุ่มคนจึงไปต่ออย่างราบรื่น อู๋ฝานได้อยู่ห้องเดี่ยวตามที่คาดหวัง
“อาจารย์อู๋ คืนนี้ไม่เหงาแย่เลยเหรอคะ? ให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนที่ห้องดีไหม?” ถังอวี่เฟยเดินเข้ามาข้าง ๆ อู๋ฝานพลางกระซิบถาม
“ล้อกันเล่นอีกแล้วเหรอครับ?” อู๋ฝานถามกลับ “จะว่าไป หน้าคุณตอนหลับก็น่ารักกว่าตอนนี้นะครับ”
ถังอวี่เฟยหน้าแดงขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อนึกถึงช่วงที่เธอเผลอหลับซบไหล่อู๋ฝาน ทว่าเท่านี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้เธอถอย “ในเมื่ออาจารย์อู๋ชอบใบหน้าของฉันตอนหลับ ถ้าอย่างนั้น… ให้ดูทั้งค่ำคืนจนอิ่มเลยเป็นไงคะ?”
พูดจบเธอก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากอย่างเย้ายวน
ตอนนี้เองที่อู๋ฝานถึงกับชะงัก ในใจอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนิสัยส่วนตัวของถังอวี่เฟย จากนั้นก็หันไปมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่ต้องพักห้องเดียวกับอีกฝ่าย ก่อนจะส่ายหน้าออกมา “ไม่ดีกว่าครับ ผมชอบนอนคนเดียว”
“คิดสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอคะ?” ถังอวี่เฟยยังคงรุกไล่
อู๋ฝานพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
สุดท้ายจึงกลายเป็นถังอวี่เฟยที่ต้องเหม่อมองตอบ ไม่เอ่ยอะไรขึ้นอีก ทว่าแววตาของเธอกลับบอกว่าจะยังไม่ยอมแพ้ตรงนี้อย่างแน่นอน
หลังเก็บสัมภาระที่ห้องพักเรียบร้อยแล้ว กลุ่มคนจึงมารวมตัวกันที่โถงกลางชั้นล่าง ที่ตรงนี้ค่อนข้างคึกคักพอสมควร เนื่องจากใกล้เวลามื้อเย็น แขกคนอื่นที่มาเข้าพักต่างเริ่มมาทานอาหาร อีกทั้งวันนี้ไม่เหลือเวลาพอให้เดินทางขึ้นเขา ทำให้กำหนดการขึ้นเขาจึงเป็นวันรุ่งขึ้นแทน
หลังมื้ออาหาร กลุ่มคนก็แยกย้ายไปใช้ช่วงเวลาอิสระ เพียงแต่อู๋ฝานและเกิ่งหย่าเฟยได้ออกปากขอให้กลับห้องพักกันก่อนเที่ยงคืน หากเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้พวกเขารีบโทรบอกพวกตนให้ทราบในทันที
“ไปเดินเล่นกันไหมคะ?” หลังคนอื่นแยกย้ายไปจนเกือบหมดแล้ว ถังอวี่เฟยจึงเดินเข้ามาหาอู๋ฝาน
เขาไม่ได้ปฏิเสธ เพราะนอกจากพวกตนแล้ว ก็ยังมีหลิ่วเหยียนเอ๋อร์รวมอยู่ด้วย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ
ภูเขาเทียนเหลียงคือสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังและได้รับความสนใจมาโดยตลอด ทำให้ในละแวกนี้มีร้านค้า ร้านเครื่องดื่ม และแขกที่มาใช้บริการมากมาย โดยเฉพาะปัจจุบันที่เป็นช่วงวันชาติ จึงยิ่งมีคนเยอะเป็นพิเศษ
ทั้งสามคนเดินไปพลางพูดคุยกัน แน่นอนว่าผู้เริ่มบทสนทนาส่วนใหญ่เป็นถังอวี่เฟย อู๋ฝานเข้าไปมีส่วนร่วมแค่ชั่วคราว ส่วนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์นั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเงียบงัน ทว่าเธอไม่ได้อดกลั้นไม่พูดหรืออะไร
“รู้สึกได้ไหมคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น
“ครับ?” อู๋ฝานไม่เข้าใจความหมายของคำพูดหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไปชั่วขณะ
“ภูเขาน้ำแข็งพูดได้แล้วเหรอ ผ่านมาครึ่งค่อนวันไม่พูดสักคำ ถึงทีจะพูด ก็พูดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พูดให้ชัดเจนกว่านี้อีกสิยะ” ถังอวี่เฟยบ่นพึมพำกลับมา
“ใกล้ ๆ นี้มีคนตามมา” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เอ่ยเบา ๆ
ขณะถังอวี่เฟยกำลังจะบ่นว่าเสียงเบาอีกครั้ง อู๋ฝานกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “จะบอกว่าเป็นผู้ฝึกตนเหรอครับ?”
อู๋ฝานตระหนักก็ตอนนี้ ว่ากลุ่มคนที่ปะปนอยู่ในฝูงชนรอบด้านมีออร่าแตกต่างไปจากคนอื่น
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่พูดตอบ แต่พยักหน้ารับ
“ผู้ฝึกตน? ระดับการฝึกฝนล่ะคะ?” ถังอวี่เฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ปกติแล้วผู้ฝึกตนมักไม่ค่อยออกมาจากโลกส่วนตัวกันสักเท่าไหร่ พวกเขามักจะมุ่งเน้นสมาธิไปกับการฝึกฝน แน่นอนว่าไม่นับอู๋ฝานที่เป็นคนละสายกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นการที่ผู้ฝึกตนมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่จึงนับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลก