บทที่ 322 ฉันไม่ใช่ลุง

Lucky baby คุณพ่อ ต้องพยายามจีบแม่

บทที่322 ฉันไม่ใช่ลุง

ไอ้หนวดไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา

พวกเขาแม่ลูกมาอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะทำร้ายจิตใจของพวกเขา ถ้าเกิดไม่ให้ความหวังกับพวกเขา มันคงจะโหดร้ายเกินไป

“โอเค กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”

พูดไปก็เปิดกล่องข้าวออกมา พลางส่งให้ถวนจื่อกับเจียงหยุนเอ๋อ

ไอ้หนวดตั้งใจเลือกกับข้าวที่ดูดีหน่อย ถึงอย่างไรเจียงหยุนเอ๋อก็กำลังท้องอยู่ อยู่ในที่แบบนี้ ถึงสารอาหารจะไม่ครบ แต่ก็ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด

เมื่อได้กลิ่นหอมของข้าว ท้องของเจียงหยุนเอ๋อกับถวนจื่อก็เริ่มร้องขึ้นมา

“พวกคุณกินกันไปก่อนเถอะ ฉันไปทำงานก่อนนะ ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะเลย” ไอ้หนวดพูดพลางหยิบอุปกรณ์จะไปทำงานต่อ

เจียงหยุนเอ๋อยื่นมือออกไปดึงไอ้หนวด: “เดี๋ยวก่อน”

ไอ้หนวดกันกลับมาด้วยความสงสัย: “มีเรื่องอะไรอีกเหรอ?”

เจียงหยุนเอ๋อยิ้ม พลางตอบ: “คุณดูแลพวกเราขนาดนี้ ฉันรับเอาไว้มากไม่ได้จริงๆ ดังนั้นฉันเลยอยากจะออกไปทำงานบ้าง”

เจียงหยุนเอ๋อคิดมาตลอดช่วงบ่ายแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะกำลังท้องอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าขยับไม่ได้ ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้เลย

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ว่างๆอยู่ ถ้าเกิดทำงานขึ้นมา อาจจะช่วยแบ่งเบาไอ้หนวดได้บ้าง

“คุณไม่ต้องไปหรอก ฉันบอกกับจ้าวเสวียไห่คนนั้นแล้ว พวกคุณแม่ลูกพักอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ” ไอ้หนวดคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะให้คนท้องทำงานได้อย่างไร?

“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรฉันก็ว่างอยู่ ช่วยคุณทำอะไรหน่อยก็ยังดี” เจียงหยุนเอ๋อส่ายหัว

ถวนจื่อก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา จากนั้นก็มองไปทางไอ้หนวด: “คุณปู่ ฉันก็ทำงานได้เหมือนกัน คุณอย่ามาดูถูก”

ถวนจื่อตำคำพูดของพ่อได้ ตอนที่พ่อไม่อยู่ เขามีหน้าที่ดูแลแม่ให้ดี

ดังนั้นถ้าเกิดต้องทำงานขึ้นมาจริงๆ จะให้เจียงหยุนเอ๋อทำคนเดียวได้อย่างไร

ไอ้หนวดไร้ทางเลือก: “คุณไม่ใช้ต้องมาช่วยฉันทำงาน ฉันช่วยพวกเขาทำงานทั้งนั้น คุณช่วยฉันก็เหมือนช่วยพวกเขาทำงาน ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้คุณช่วย แล้วคุณจะช่วยไปทำไม?”

พูดไปมากแล้วไอ้หนวดก็คิดว่าตัวเองหายใจไม่ทัน รู้สึกเหมือนกำลังพูดลิ้นพันกัน

ไอ้หนวดมองไปทางถวนจื่ออีก: “คุณยังเด็ก ไม่ต้องขยันมากขนาดนี้ก็ได้”

“ฉันรู้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะให้คนมีอายุมาดูแลพวกเราไม่ได้นะ” เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกผิด เพราะต้องเคารพผู้ใหญ่

ไอ้หนวดมองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พลางมองเจียงหยุนเอ๋อตาโต

เจียงหยุนเอ๋ออึ้งไป: “ทำไมเหรอ?”

ไอ้หนวดอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายไปเลย ตัวเองพูดไปหลายรอบแล้วแท้ๆ ตัวเองไม่ได้แก่ๆ แต่แม่ลูกคู่นี้ไม่ฟังอะไรเลย

ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไปไอ้หนวดจะคิดว่าตัวเองเป็นคุณปู่เข้าแล้วจริงๆ

“ฉันพูดอีกครั้งนะ ฉันไม่แก่!” ไอ้หนวดมองไปทางเจียงหยุนเอ๋อด้วยความจริงจัง “ฉันเพิ่งจะอายุ29เองนะ!”

เจียงหยุนเอ๋อตกใจจนอ้าปากค้าง ถวนจื่อก็อึ้งไปเหมือนกัน

“คุณ……คุณ อายุ29เหรอ?” เจียงหยุนเอ๋อปิดปากของตัวเอง ด้วยความไม่อยากเชื่อ

ตามการตัดสินของเธอเองในตอนแรกไอ้หนวดก็ดูเหมือนห้าสิบกว่า อายุพอๆ กับพ่อของตัวเองเลย

“คุณปู่ ไม่สิ” ถวนจื่อก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดี “คุณคงไม่ได้โกหกเพื่อให้พวกเราไม่ต้องทำงานใช่ไหม?”

“ฉันจะโกหกพวกคุณทำไม?” ไอ้หนวดโกรธแต่ก็โกรธเข้าจริงๆ ไม่ได้ “ฉันจะเอาเรื่องอายุมาล้อเล่นทำไม?ฉันจะบอกอีกครั้ง ปีนี้ฉันอายุ29 ฉันชื่อเฟิงจิงเป่ย”

เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้าด้วยความเหม่อ: “อือ”

พยักหน้าตอบแต่ยังไม่ทันจะหายจากการตกใจเลย แต่พูดตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่รู้ชื่อของเขา

ก่อนหน้านี้เรียกว่าลุงมาตลอด ตอนนี้มาคิดๆ ดู ยังไม่ค่อยมีมารยาทจริงๆ ด้วย

ตอนที่เจียงหยุนเอ๋อกับถวนจื่อยังตกใจอยู่นั้นไอ้หนวดก็รีบไปทำงาน

ถ้าเกิดตัวเองไม่รีบหนี ก็ไม่รู้ว่าแม่ลูกนี้จะมีคำถามอะไรอีก

“เจียงหยุนเอ๋อ เขาอายุ29จริงๆ เหรอ?” ถวนจื่อยืนอยู่ข้างๆขาของเจียงหยุนเอ๋อ ก่อนจะดึงชายเสื้อของเจียงหยุนเอ๋อ

“เขาพูดขนาดนั้นแล้ว คงจะจริงแหละมั้ง” เจียงหยุนเอ๋อกะพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง

“งั้นฉันควรเรียกว่าลุงอีกไหม?” ถวนจื่อกลืนน้ำลาย

เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้า: “งั้นพวกเราไปกินข้าวกันก่อนไหม”

“ได้” เมื่อพูดแบบนั้น ถวนจื่อก็รู้สึกหิวขึ้นมา

ทั้งสองคนนั่งลงกินข้าว

ถึงแม้ว่าจะยังสงสัยอายุของเฟิงจิงเป่ยอยู่ แต่ก็ยังรู้สึกของคุณอยู่ในใจ เขาดูแลตัวเองอย่างดีเลยล่ะ

งานที่เฟิงจิงเป่ยทำอยู่ที่ด้านล่างของที่พักพวกเขา ด้านล่างเป็นโรงงาน

ในโรงงานมีคนเยอะมาก

เฟิงจิงเป่ยเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น ดังนั้นปกติตอนที่ตัวเองทำงานเลยทำในมุมแคบๆ

เพื่อไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นเฟิงจิงเป่ยเลยทำงานอย่างขยันขันแข็ง

เพราะว่าอยู่ในที่แบบนี้ คุณยิ่งขี้เกียจเท่าไหร่ คนดูแลยิ่งจับตามองคุณ

ตัวตนของตัวเองนั้น จะให้คนมาจับตามองมากไม่ได้ ดังนั้นเฟิงจิงเป่ยเลยเลือกวิธีแบบนี้

ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจทำงานมาก แต่ตาของเขานั้นดูไม่นิ่งเลยล่ะ

สำหรับงานพิเศษของพวกเขา การสังเกตนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเรียนเป็นอันดับแรกเลยล่ะ

สายตาของเฟิงจิงเป่ยนั้นมองไปที่คนงานรอบๆ ตลอด

ในโรงงานที่ดูซับซ้อนนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนงานผอมๆ กันทั้งนั้นเลย

พวกเขาทำเพื่อมีชีวิตต่อ เลยลักลอบเข้ามา ทำงานอย่างไม่รู้วันรู้คืน ก็เพื่อครอบครัวของตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นอะไร พวกเขาก็ต้องประหยัด แล้วอาหารก็ไม่ดีด้วย สารอาหารไม่ครบ พวกเขาส่วนใหญ่เลยผอมมาก เหมือนมีลมพัดก็จะล้มแล้ว

แต่ในที่ที่คนเยอะขนาดนี้ กลับมีหลายคน ที่ดึงดูดสายตาของเฟิงจิงเป่ย

ห่างจากเฟิงจิงเป่ยไปไม่ไกล มีคนวัยรุ่นอยู่สองคน ร่างกายกำยำ ทำงานออกแรงหนักๆ ทั้งนั้นเลย

เสื้อผ้าของพวกเขาขาดรุ่ย ดูโซเซไม่เบา ไม่เหมือนกับแรงงานที่เพิ่งจะลงจากเรือเลย

แต่จากที่เฟิงจิงเป่ยสังเกตมาหลายวัน แรงงานบนเรือ ถึงจะมีแรงมาก แต่เพราะว่ากินข้าวไม่พอ ดังนั้นถึงจะดูเหมือนแข็งแรง แต่ตอนเดิน ก็มองออกว่าเดินไม่มั่นคง โอนเอนไปมาอีกด้วย

แต่ว่าวัยรุ่นสองคนนั้น เดินอย่างขันแข็ง ดูมีแรงเป็นอย่างมากเหมือนถูกฝึกมาเลยล่ะ

เฟิงจิงเป่ยหรี่ตาลง พลางเดาว่าเขาคือใคร

ถึงอย่างไรตัวเองอยู่บนเรือมานาน ยังไม่เคยเห็นทั้งสองคนนั้นเลย ถึงจะเป็นแรงงานบนเรือ เฟิงจิงเป่ยก็ไม่มีทางมาเห็นแค่ตอนนี้หรอก

ในสถานการณ์แบบนี้ทั้งสองคนดูโดดเด่นมากในโรงงานนี้

เฟิงจิงเป่ยอยากจะสืบหาความจริง เลยกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง