ตอนที่ 327 ร้องขอความช่วยเหลือ

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 327 ร้องขอความช่วยเหลือ

ตอนที่ 327 ร้องขอความช่วยเหลือ

“คือว่า…” ถงจื่อเจินรู้สึกตื่นตระหนก “ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าจะให้ท่านกินเนื้อได้ก็ต่อเมื่อท่านลดน้ำหนักลงเหลือเท่าเดิม”

“หลอกลวงกันเกินไปแล้ว!” ถั่วชมพูกำลังจะเป็นบ้า กรงเล็บของมันบดขยี้อยู่บนพื้น แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“ฉันจะไปคิดบัญชีกับเจ้าทาสของฉันคนนั้น เมี๊ยว…!!” ถั่วชมพูพูด

“อ๊ะ! ถั่วชมพูอย่าเพิ่งใจร้อนไป มากินก่อนเถอะ!” ถงจื่อเจินหยิบผักป่าออกมา “ลองดูสิ เมื่อวานยังบอกว่าผักอันนี้อร่อยไม่ใช่เหรอ?”

“ฮึ่ม! ถึงอร่อยแค่ไหนก็ไม่ใช่เนื้อ! ฉันคือเกอหลัว ฉันอยากกินเนื้อ!!” อุ้งเท้าของถั่วชมพูตะปบไปมาอยู่บนผักป่าที่พ่อครัวปรุงรสอย่างพิถีพิถัน และพยายามที่จะเขี่ยมันออกไป แต่เมื่อได้กลิ่น…

กลิ่นหอมจัง!

ช่างเถอะ ลองกินก่อนดีกว่า! มหาราชาลดน้ำหนักได้สำเร็จแล้ว ไม่กลัวว่าจะกินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!

ถั่วชมพูสร้างความมั่นใจให้กับตัวมัน และกินผักป่าเข้าไปคำใหญ่

ถงจื่อเจินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถูกต้อง! เขาไม่เชื่อหรอกว่าถั่วชมพูจะสามารถต้านทานผักที่แสนอร่อยนี้ได้!

ปัจจุบันฐานทัพได้รับสูตรอาหารขององค์หญิงสามอย่างครบถ้วน นอกจากทหารจะได้กินผักป่าแล้ว พวกเขายังได้กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด

นอกจากนี้ยังมีเนื้อเอเลี่ยนทุกชนิดที่สหายจากดาวเคราะห์ดวงอื่นนำมาให้พวกเขา และพวกเขาก็กินกันจนอิ่มหนำสำราญ

แน่นอนว่าควรตอบรับน้ำใจกันและกัน พวกเขาจึงมอบสูตรอาหารขององค์หญิงสามให้แก่อีกฝ่ายด้วยความยินดี ส่งผลให้แขนกลของอีกฝ่ายสามารถทำอาหารแบบเดียวกันได้!

ทหารทุกคนล้วนมีความสุข!

ชาร์ลตรวจสอบรายชื่อ และสอบถามทีละคน ปรากฏว่ามีปัญหาอย่างที่พลเอกว่าไว้จริง ๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับทรัส?” ชาร์ลมองดูรายชื่ออย่างระมัดระวัง ชื่อนี้ปรากฏอยู่บนรายชื่อของผู้เสียชีวิต อีกทั้งชื่อของคนคนนี้ยังเป็นชื่อของเชลย

ตอนนี้ทรัสเสียชีวิตไปแล้ว หรือว่าทรัสยังมีชีวิตอยู่กันแน่?

‘ทรัส’ ที่อยู่ตรงหน้าเขาดูสูงส่งและไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป

ชาร์ลมองดูเขาและพูดว่า “นายชื่ออะไร? ทำไมต้องปลอมตัวเป็นทรัสด้วย?”

“ฉันชื่อทรัส ทำไมต้องแสร้งทำเป็นพูดแบบนั้นด้วยล่ะ?” ทรัสยิ้มและพูดต่อ “ไม่คิดเลยว่าแกจะดูออก”

“แน่นอน พวกแกจะปิดบังกลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้จากพวกเราได้ยังไง?” ชาร์ลครุ่นคิด ท่านพลเอกเป็นคนค้นพบต่างหาก

น่าตลกยิ่งนักที่คนพวกนี้พยายามซ่อนกลอุบายเล็กน้อยจากพลเอกของพวกเขา

ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยว่าท่านพลเอกของเราเป็นว่าที่สามีของใคร?!

“ฉันประเมินพวกแกต่ำไปสินะ” ทรัสถอนหายใจและพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าจักรวรรดิชิงเหย้าจะมาถึงจุดจบแบบนี้”

“ไม่ใช่แล้วมั้ง อย่างลืมสิว่าจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ของพวกแกก็กำลังจะพังพินาศลง” ชาร์ลพูดออกมาอย่างผู้ชนะ

ใครจะคิดว่าพวกเขาที่เป็นฝ่ายปิดล้อมเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้จะกลายมาเป็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ระทม

ทรัสเงียบไปและไม่พูดอะไรออกมา

“ตอนนี้จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์โอเคไหม? ทุกคนได้รับความช่วยเหลือหรือเปล่า?” ทรัสถาม

“เรื่องนั้นฉันไม่รู้รายละเอียดหรอก แต่ว่าเมืองหลวงของพวกแกล่มสายลงแล้ว” ชาร์ลยักไหล่และพูดต่อ “ราชวงศ์ทั้งหมดและพื้นที่ส่วนกลางถูกเอเลี่ยนระดับ 9 ดาวและระดับ 8 ดาวปิดล้อมอยู่”

“แล้วผู้คนล่ะ?” ทรัสถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน

“ผู้คน? ไม่รู้สิ ตอนนี้พวกทหารกลับไปกันแล้ว อาจรอดก็ได้? ใครจะไปรู้ล่ะ?” ชาร์ลพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

ท่าทางที่ไม่แยแสของเขาทำให้ทรัสหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เขากลับต้องระงับความขุ่นเคืองเอาไว้

เขามีสิทธิ์อะไรไปโกรธ?? ทรัสรู้แจ่มแจ้งว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะโพล่งอะไรออกไป

ทรัสกังวลเกี่ยวพ่อแม่ และน้องสาวของเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสบายดีหรือไม่?

พวกเขาถูกจับมาเป็นเชลย และไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ จึงไม่รู้ว่าตอนนี้จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง

แต่เมื่อฟังคำพูดที่ไม่แยแสของทหารจักรวรรดิชิงเหย้า เขาก็รู้ได้ทันทีว่าจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

ไม่สามารถรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้จริงเหรอ?

ในที่สุด หลี่จื้อผิงและคนอื่น ๆ ก็ซ่อมแซมอุปกรณ์ส่งสัญญาณได้สำเร็จ! ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า

“ดีมาก พวกเราจะได้กลับไปจักรวรรดิกันสักที” ผู้ช่วยทั้งหลายดีใจ

หลี่จื้อผิงมีความสุขเสียยิ่งกว่า หากเขาสามารถกลับไปได้ เขาจะสั่งสอนผู้ช่วยเหล่านี้อย่างแน่นอน

จะส่งพวกมันทุกคนลงไปในคุกใต้ดิน!

ผู้ช่วยทั้งหลายสังเกตเห็นถึงความชั่วร้ายในดวงตาของหลี่จื้อผิง ความคิดกระหายเลือดแวบเข้ามาในจิตใจของพวกเขา จะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อยแล้วกัน

หลี่จื้อผิงผู้น่าสมเพชไม่รู้ว่าผู้ช่วยทั้งหลายหมดความอดทนกับเขามานานแล้ว เขาเอาแต่คิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“เร็วเข้ารีบส่งสัญญาณ ส่งสัญญาณหาน้องสาวของฉัน” หลี่จื้อผิงร้องตะโกน

เขาพอแล้วกับสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ เขารู้สึกขยาดกับอาหารเสริม เขาอยากจะกินอาหารดี ๆ และนอนหลับในผ้าห่มอุ่น ๆ

ช่างเทคนิคแอบชำเลืองมองใบหน้าของผู้ช่วย และรีบส่งสัญญาณทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่เหลือพยักหน้า

สัญญาณถูกส่งไปหาจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์โดยตรง

หลี่ผิงผิงนั่งเศร้าสร้อยอยู่ในห้องใต้ดินราวกับผีดิบที่ไร้ซึ่งวิญญาณ

ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกถึงกระเป๋าที่กำลังสั่นสะเทือน ก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา

ใครส่งสัญญาณทางคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์มาหาเธอในเวลานี้กัน?

หลี่ผิงผิงไม่ได้สนใจมากนัก แต่ยังคงตอบรับตามปกติ แม้จะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ แต่เธอก็ยังรู้สึกโล่งใจที่ยังคงมีคนคิดถึงเธออยู่

“น้องสาว พี่ชายน้องเอง หลี่จื้อผิง” ทันทีที่เชื่อมต่อทางวิดีโอ ดวงตาเฉียบคมของหลี่จื้อผิงก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอแสดงผล

หลี่ผิงผิงมองดูพี่ชายของเธอด้วยความตื่นเต้น “พี่ชาย!! ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ? ไม่ได้ถูกจักรวรรดิชิงเหย้าจับตัวไปเหรอ?”

“ไม่ น้องรู้ได้ยังไงว่าพี่ถูกจับตัวไป? ถ้าพวกนั้นอยากจะจับตัวพี่คงต้องรอชาติหน้าโน่น!” หลี่จื้อผิงเริ่มพูดจาโอ้อวด “ระหว่างที่พี่กำลังต่อสู้กับจักรวรรดิชิงเหย้า เราดันเจอเข้ากับอสุรกายระดับ 10 ดาวโดยบังเอิญ มันลากพวกเรามาที่ดาวเคราะห์ร้าง”

“น้องสาว รีบส่งคนมาช่วยพี่ที ถ้าไม่มาช่วยพี่จะต้องตายแน่!!” หลี่จื้อผิงร้องตะโกน

สีหน้าของหลี่ผิงผิงเปลี่ยนไปในทันที ตอนแรกเธอคิดว่าพี่ชายจะมาช่วยเธอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพี่ชายของเธอจะปกป้องไม่ได้แม้แต่ตัวเอง

“พี่ชาย น้องขอโทษ แต่น้องคงไปช่วยพี่ไม่ได้” หลี่ผิงผิงกัดริมฝีปากและพูด เธอเบนกล้องให้ดูสภาพแวดล้อมบริเวณรอบข้าง “ตอนนี้พวกเราก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน อย่าว่าแต่ปกป้องใครเลยค่ะ พี่ดูสิคะ ตอนนี้พวกเราติดอยู่ในห้องใต้ดินกัน”

หลี่จื้อผิงเห็นว่ามีคนมากมายที่เขารู้จักนั่งอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว

มีน้องสาว องค์หญิงเหมยหมี่ และแน่นอนว่าฝ่าบาทสเปนเซอร์ก็อยู่ที่นั่นด้วย!

“เกิดอะไรขึ้นกับทุกคน? คนจากจักรวรรดิชิงเหย้าบุกมาโจมตีเหรอ?” หลี่จื้อผิงเอ่ยถามครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น