เทคนิคการเสริมแรงแบบใต้ผิวหนังนั้นจะใช้เวลานานในการเย็บกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคการเย็บแบบธรรมดา
และก่อนที่จะการเย็บจะต้องทำการกระจายแรงตึงของผิวหนังโดยใช้เส้นไหมผ่าตัด 2-0 โดยกระบวนการเย็บส่วนนี้จำเป็นต้องทำในเซ็กเมนต์และสำหรับทุกเซกเมนต์คุณต้องใส่ใจกับจุดที่แทงเข็มเข้าไปและแทงเข็มออกมานั้นต้องแน่นอนและแม่นยำ และวิธีการเย็บด้วยเทคนี้จะต้องตัดสินใจโดยคำนึงถึงความตึงเครียดของผิวหนังและช่องว่างระหว่างการเย็บด้วย นอกเหนือจากนั้นในแต่ละขั้นตอนการเย็บจะต้องทำขึ้นระหว่างหนังเทียมและหนังแท้
นอกจากนี้มันเป็นเรื่องยากมากที่จะจัดแนวทั้งสองด้านของผิวหนังฉีกขาด ผิวหนังที่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆและอาจมีสถานการณ์ที่ผิวหนังอาจขาดไม่เท่ากัน สิ่งนี้ทำให้การจัดตำแหน่งของผิวหนังนั้นยากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามหากทั้งสองด้านของผิวหนังที่ฉีกขาดนั้นไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันมันก็จะไม่มีประโยชน์ในการใช้เทคนิคการเย็บแบบเสริมแรงอยู่ดี หากขั้นตอนสุดท้ายเป็นการเย็บที่ทำให้เกิดรอยย่นบนผิวมันจะเป็นการดีกว่าถ้าใช้เทคนิคการเย็บแบบปกติเช่นการเย็บแบบขัดจังหวะแบบง่ายหรือการเย็บแบบต่อเนื่องแบบง่าย ๆ
ในกรณีที่กระบวนการเย็บแผลนั้นไม่ซับซ้อนและใช้เวลาไม่นานแพทย์หนุ่มในแผนกฉุกเฉินจะใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นในการเย็บแผลที่มีความยาวไม่กี่นิ้วโดยใช้เทคนิคการเย็บแผลแบบธรรมดา กรอบเวลานี้ยังรวมถึงการพูดคุยการตรวจสอบและ การกรอกประวัติทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำก่อนและหลังการเย็บด้วย
เวลาในการเย็บสำหรับการเสริมแรงด้วยเทคนิคการเสริมแรงใต้ผิวหนังซึ่งด้วยเทคนิคนี้หลิงรันจะใช้เวลามากกว่าสามสิบนาที ซึ่งตอนนี้หลังจากที่เขาอยู่ในห้องปฏิบัติเป็นเวลาสองชั่วโมง หลิงรันทำการรับการรักษาผู้ป่วยได้เพียงสามคนเท่านั้น
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงแพทย์ฝึกหัดคนอื่นที่อยู่ในห้องปฏิบัติการด้วยนั้นก็เลิกสนใจหลิงรันและหันกับไปทำงานอื่นๆต่อ
แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลหยุนหัวมีขนาดใหญ่มากและพวกเขายังคงสามารถให้หลิงหรันดำเนินการได้อีกสามเคสสำหรับการเย็บในครั้งนี้และใช้เวลาในการเย็บเพิ่มไปอีกสองชั่วโมง
หมอโจวที่เดินไปเดินมาอยู่รอบ ๆ ห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พาเด็กผู้หญิงตัวเล็กเข้าไปในห้องปฏิบัติการ
บาดแผลของเด็กหญิงคนนั้น อยู่ที่บริเวณหน้าแข้งของเธอซึ่งอยู่ที่ด้านหน้าของขาส่วนล่าง แผลนั้นเป็นรูปตัว S และมันยาวเกือบสองนิ้วซึ่งนี้ถือว่าเป็นแผลขนาดใหญ่มาก
นอกจากพ่อแม่ของเธอที่กำลังแตกตื่นอยู่นั้น พ่อของเด็กดูมีท่างทางที่กระวนกระวายและดูเหนื่อยล้ามากๆ เขาอาจรีบเดินทางมาโรงพยาบาล เล็บของแม่ของเด็กนั้นถูกทาด้วยสีสดใสและเธอก็พูดไม่หยุดขณะที่เธอพูดว่า “ฉันบอกแล้วให้คุณระวังระวังทำไมคุณถึงไม่เชื่อฉันเป็นเพราะคุณ เนี่ยฉันต้องรีบไปทำงานแต่ต้องเปลี่ยนพาลูกของเรามาโรงพยาบาลแทน คุณไม่รู้หรือยังโรงพยาบาลพวกนี้คิดค่าทำแผลแพงมาก ยิ่งเป็นแผนกศัลยกรรมพลาสติกอะไรนั้นอย่าเรียกว่าค่ารักษาเลย เรียกว่าการขูดรีดยังดีกว่า จริงไหม?
ขณะที่หลิงรันตรวจดูบาดแผลของเด็กหญิงๆคนนั้น แม่ของเด็กผู้หญิงเองก็กำลังดุคนที่มากับเธออยู่เรื่อยๆ รวมไปถึงเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ลูกสาวของเธอ และ สามีของเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่ลืมที่จะด่าว่าเจ้านายและเพื่อนร่วมงานของเธอด้วย …
หลิงรันทำท่าราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอกำลังด่าออกมา
จริงแล้วด้วยนิสัยของหลิงรันเขาจะทำเป็นไม่ได้ยินทุกบทสนทนาถ้าบทสนทนานั้นไม่ได้พูดถึงเขา หรือ เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง
ตั้งแต่ยังเด็กเขามักจะได้ยินการดุด่าหรือนินทาอยู่เป็นประจำอยู่แล้วหรือแม้กระทั้งคำชม ถ้าหลิงรันใส่ใจกับทุกคนเขาจะไม่สามารถเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่เงียบสงบเป็นเวลานานๆได้อีกต่อไป
ประสบการณ์ของหลิงรันสอนให้เขารู้ว่าเขาต้องตัดสินใจว่าเขาต้องการเพิกเฉยต่อคนบางคนอย่างรวดเร็วที่สุด
ตัวอย่างเช่นแม่ของเด็กหญิงคนนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นญาติของผู้ป่วยและตอนนี้เธอก็ดูหงุดหงิดผสมกับความโกรธและความกลัวความกังวลและความเศร้าคำพูดที่เธอพูดนั้นมันไม่ได้มีความหมายและเป็นวิธีเดียวที่เธอจะสามารถระบายอารมณ์ของเธอออกมาได้ ข้อมูลที่อยู่ในคำพูดของเธอนั้นไม่ได้มีประโยชน์แม้แต่น้อย
สิ่งแรกที่หลิงรันทำคือวินิจฉัยเกี่ยวกับสถานะของอาการบาดเจ็บซึ่งถือเป็นหลักการพื้นฐานของแพทย์ที่ต้องทำ
ข่าวดีก็คือกระดูกของเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามเพื่อสามารถสร้างความมั่นใจได้นั้น เขาก็ยังตรวจต่อไป หลิงรันยังคงเงยหน้าขึ้นและถามว่า “เราควรที่จะต้องทำการเอ็กเรย์?”
“ทำการเอ็กซ์เรย์หรอบ้าไปแล้ว” แม่ของเด็กหญิง พึงเงยหน้าขึ้นมานับตั้งแต่เธอเข้ามาในห้องปฏิบัติการ ในขณะนี้เธอจ้องมองที่หน้าของหลิงรันด้วยความเกลียวกลาด “แพทย์ที่ฉันเคยเจอในอดีตสามารถรู้ได้ว่ากระดูกมีความเสียหายเพียงแค่สัมผัสหรือไม่ถ้าโรงพยาบาลหยุนหัวไม่ได้อยู่ใกล้บ้านฉัน ฉันจะไม่ส่งลูกสาวของฉันที่นี่แม้ว่าฉันจะดูบ้าแต่พวกคุณไม่สามารถหาคนที่ดูเชื่อถือกว่านี้ได้อีกแล้วหรอ หัวหน้าแพทย์ของคุณอยู่ที่ไหนเราจะไม่เซ็นต์ยินยอมใดถ้าไมใช้หัวแพทย์ที่มารักษา “
หมอโจวไปยืนอยู่ข้างหน้าหลิงรันและพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “ญาติผู้ป่วยไม่เห็นด้วยกับการทำเอ็กซ์เรย์นะ … “
“อย่างงั้นพาผู้ป่วยไปนอนบนเตียงและทำการเย็บแผล” หลิงรันไม่ได้สนประสบการณ์อีกต่อไปและเขาเองเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มากกว่าหนึ่งครั้งในแผนกฉุกเฉินมาแล้ว
โรงพยาบาลนั้นเป็นโลกแคบๆที่สะท้อนความเป็นจริง ที่นี่มีคนที่จะขอคำปรึกษาวีไอพีเพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องต่อคิว นอกจากนี้ยังมีคนที่จะข้ามการตราจร่างกายผ่านรังสีเอกซ์เพื่อที่พวกเขาจะได้จ่ายเงินของค่ารักษาได้ถูกลงกว่า 100 หยวน
วัตถุประสงค์ของเอ็กซเรย์ผู้ป่วยคือเพื่อให้แน่ใจว่าการวินิจฉัยนั้นสมบูรณ์แบบ กล่าวอีกนัยหนึ่งผู้ป่วยจะได้รับความเสี่ยงหากไม่ได้ทำการเอ็กซเรย์
โชคดีที่ในเคสนี้ไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่รุนแรง หลิงรานปรับท่านั่งของเขาสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและหายใจลึก ๆ ก่อนที่เขาจะนั่งลงอีกครั้งเพื่อตรวจผู้ป่วย
แม่ของเด็กหญิงฃ จ้องมองไปหลิงรันสองสามวินาทีก่อนจะจ้องมองลูกของเธอ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะเกลี่ยวกลาดเหมือนก่อนหน้านี้แต่เธอก็กล่าวว่า “ฉันไม่ค่อยไว้ใจให้พวกแพทย์หนุ่มดูแลงานสำคัญ ๆ โรงพยาบาลทุกวันนี้มันน่ากลัวจริง ๆ คลินิกที่ฉันเคยไปหามากก่อนน่านี้ยังดีกว่าเสียอีก … “
“ ฉันจะกำจัดสิ่งสกปรกออกในขณะที่คุณช่วยทายาชาให้หน่อย” หลิงรันสั่งไปยังหมอลู่ จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและเริ่มทำการเย็บทันที
หมอลู่ไอสองสามครั้งและพูดว่า “ญาติของผู้ป่วยโปรดรอข้างนอกนะครับ “
“ฉันจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น ถ้าพวกคุณรักษาออกมาไม่ดีแล้วลูกของฉันเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ” แม่ของเด็กหญิงยังยืนกรานและคว้าราวข้างๆเธอซึ่งเป็นราวไว้สำหรับเคลื่อนตัวผู้ป่วย เธอพยายามดีดดิ้นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
ไม่มีแพทย์และพยาบาลคนใดที่อยากเข้ามายุ่งเรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดลดกัมหัวของพวกเขาลงและแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เห็นสิ่งเหล่านี้
สามีของเธอก็พูดออกมาด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ฉันจะออกไปข้างนอกรอนะ”
“ ฮืมคุณไร้ค่าคุณมันขี้ขลาดคุณต้องการที่จะรับบทเป็นคนดีในตอนนี้หรือยังไง? เสียงของแม่เด็กดังขึ้นทันที
เด็กน้อย เริ่มสะอื้นออกมา ที่จริงหลิงรันสามารถหยุดการกระทำของญาติผู้ป่วยที่แสดงกริยาเช่นนี้ได้แต่เขากับไม่สนใจ เขายังคงดำเนินต่อไป จนร่างกายที่สั่นเทาของเด็กหญิงเริ่มนิ่งลงเล็กน้อย
แม่ของเด็กหญิงเองก็ค่อนข้างเหนื่อยแล้วเช่นกัน เธอหยุดทำท่าทางด้วยมือของเธอ – ซึ่งมีเล็บที่เต็มไปด้วยสีสัน – และถามว่า “จะมีแผลเป็นไหม”
หมอโจวเหลียวมองหลิงรันด้วยสีที่ไม่สู้ดีนัก จากนั้นเขาก็พูดกับแม่ของเด็กคนนั้นว่า “ถ้าคุณนายต้องไม่ให้มีแผลเป็นทางเราก็จะส่งลูกของคุณนายไปที่แผนกศัลยกรรมพลาสติก -“
แม่ของเด็กคนนั้นเริ่มขึ้นเสียงของเธออีกครั้ง “ฉันบอกคุณไปแล้วว่าฉันจะไม่ไปที่นั่นเพื่อให้พวกมันขูดรีดเงินของฉันไปหรอก … “
“ผมก็เห็นด้วยเช่นกันครับ!” หมอโจวก็เปล่งเสียงเออออไปกับกับเธอเช่นกันและพูดว่า “ผมกำลังพูดว่าแม้ว่าคุณนายจะไปที่แผนกศัลยกรรมพลาสติกและปล่อยให้พวกเขาเรียกเก็บคุณนาย 2,000 ถึง 3,000 หยวนสำหรับทุก ๆ 0.4 นิ้วของแผลที่พวกเขาเย็บจนเสร็จแต่พวกเขายังคงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีแผลเป็นใด ๆได้ “
“เห็นไหมทำไมคุณถึงยังขอให้ฉันไปที่นั่นกันล่ะ -“
“แต่อย่างไรก็ตามก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแผลเป็นเมื่อทำการเย็บที่แผนกฉุกเฉินนะครับคุณนาย” หมอโจวเหลือบมองเด็กหญิง ๆ ที่นอนอยู่บนเตียงรักษาและลดเสียงของเขาลงเล็กน้อย “ อย่างไรก็ตามหมอหลิงมีความสามารถมากเขาใช้เทคนิคการเสริมแรงใต้ผิวหนังของผู้ป่วย ในขณะนี้และเป็นเทคนิคนี้จะช่วยลดรอยแผลเป็นและยังเป็นเทคนิคเดียวกับที่ใช้ในแผนกศัลยกรรมพลาสติก”
แววตาแห่งความหวังของเด็กหญิงที่น้องอยู่บนเตียงก็เกิดขึ้นเมื่อเธฮได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะหันหน้าไปมองที่หลิงรัน
เนื่องจากแผลอยู่ทางด้านหน้าของขาส่วนล่างของเธอ แผลนี้จะทำให้เธอดูไม่ดีในการแต่งกายในอนาคตหากมีแผลเป็นเหลืออยู่ที่นั่น อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องการให้มันเป็นแผลเป็นดำขนาดใหญ่ออกมาอยู่ดี
หลิงรันเหลือบมองไปที่หมอโจวและกล่าวว่า “เทคนิคการเย็บใต้ผิวหนังต้องใช้ไหมผ่าตัดแบบดูดซับได้”
ตามค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเย็บแผลที่ดูดซับได้มีราคาแพงกว่าการเย็บแบบทั่วไป นอกจากนี้หากเป็นสินค้านำเข้าพวกมันจะไม่สามารถให้ผู้ป่วยเรียกร้องขอประกันสุขภาพให้จ่ายเงินให้เขาได้เช่นกัน
หมอโจวพยักหน้าและพูดว่า “เราจะพูดเรื่องนี้กันในภายหลัง”
แผนกมักจะต้องแบกรับความสูญเสียเมื่อมันมาถึงพูดถึงการผ่าตัดหรือการเย็บแผลที่ต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นอกเหนือจากมาตรฐานที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากหมอโจวเป็นแพทย์ที่สามารถทำการผ่าตัดได้ และเขายังสามารถทำสิ่งต่าง ๆ เช่นปลอมบัญชีตราบใดที่พยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ
พยาบาลข้างๆพวกเขาก็รีบดึงกล่องไหมที่สามารถดูดซับได้โดยไม่ได้โต้เถียงใดๆออกมา
หลิงรันก้มหัวของเขาและยังคงเย็บแผลของเด็กหญิง ในเวลาเดียวกันเขาอธิบายกับเด็กหญิงว่า “หลังจากฉีดยาชาหมอจะจัดแนวแผลทั้งสองข้างของหนูก่อนและใช้เทคนิคการเย็บแผลเสริมแรงใต้ผิวหนังเพื่อเย็บแผลเข้ ด้วยกัน ‘หมายถึง‘ ใต้ผิวนะ ‘ ว่า sมันจะทำให้รอยเย็บไม่ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว “
เด็กหญิงตัวเล็กกลั้นลมหายใจของเธอขณะที่เธอฟังและถามว่า “แสดงว่าถ้าเย็บแผลใต้ผิว มันก็จะไม่เห็นรอยแผลเป็นใช่ไหมค่ะคุณหมอ”
ตอนนี้เธอพูดเร็วกว่าปกติแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่มีชีวิตชีวาและฉลาดมาก
หลิงรันไตร่ตรองสักครู่และบอกความจริงว่า “แผลเป็นไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการเย็บนะ อย่างไรก็ตามเทคนิคการเย็บที่เสริมแรงจะสามารถลดการก่อตัวของแผลเป็นได้อย่างแน่นอน”
“ดังนั้นก็จะยังคงมีแผลเป็นใช่ไหมค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยเข้าใจสิ่งที่หลิงรันพูดอย่างรวดเร็ว
หลิงรันพยักหน้า “ หากการฟื้นตัวดีขึ้นแผลเป็นจะเล็กลง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันจะไปที่แผนกศัลยกรรมพลาสติก?” เด็กหญิงตัวน้อยเหลือบไปมองแม่ของเธอ
หลิงรันพูดโดยไม่ลังเลว่า “อาจมีแผลเป็น”
เธอผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เธอโล่งอกเช่นกัน
“หลังจากใช้เทคนิคการเย็บแบบเสริมแรงผิวหนังแล้วหมอจะใช้เทคนิคการเย็บแบบใต้ผิวหนังในทำนองเดียวกันกับแผล มันจะมองไม่เห็นรอยเย็บ แต่ด้วยเทคนิคการเย็บแบบใต้ผิวหนังมันทำให้แผลมีโอกาสฉีกขาดได้ง่าย ดังนั้นหนูจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษและทำตามคำสั่งของแพทย์เพื่อลดการเกิดแผลเป็นด้วย”
“ ถ้าหนู…ทำตามคำสั่งของแพทย์ทั้งหมดรอยแผลเป็นของหนูจะใหญ่แค่ไหนค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยยกนิ้วและทำท่าทาง จากนั้นเธอก็ลดช่องว่างระหว่างนิ้วสองนิ้วของเธอลงเล็กน้อยแล้วถามว่า “มันจะใหญ่ขนาดนี้ไหม?”
“มันอาจจะเล็กไปหน่อย”
“อันนี้เล็กไหม”
“มันอาจจะเล็กกว่านี้”
“อันนี้เล็กไหม”
“เป็นไปได้หนูรู้หรือไม่ว่า” เป็นไปได้ “หมายถึงอะไร”
“ หนูรู้ว่าหมอไม่กล้าให้คำตอบที่แน่นอนกับหนู เพราะหมอกลัวว่าแม่ของหนูจะดุหมอ” เด็กหญิงตัวน้อยมีประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายกับหลิงรันมาก
หลิงรันเริ่มหัวเราะแววตาของเขาเป็นประกายภายใต้แสงไฟในห้องปฏิบัติการ