ตอนที่ 571 ชายหนุ่มผู้แสนกระหายเลือด (3) / ตอนที่ 572 ชายหนุ่มผู้แสนกระหายเลือด (4)
ตอนที่ 571 ชายหนุ่มผู้แสนกระหายเลือด (3)
“เจ้าพวกสวะ! กระจอกชะมัด!” ชายหนุ่มผู้นั้นเหยียบเท้าข้างหนึ่งบนราวระเบียงที่ห้องส่วนตัวของเขา เขาพูดพร้อมกับส่ายหัว มองลงไปที่ศพที่นอนอยู่บนเวที ภาพที่ศพทุกศพหัวกะโหลกแยกออกนั้นช่างน่าสยดสยองอย่างแท้จริง ผู้รับผิดชอบการประมูลที่กำลังยืนอยู่บนเวทีพลันก็สูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดและทรุดตัวลงกับพื้น ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทา เขามองไปที่ชายหนุ่มที่โหดเหี้ยมไร้ซึ่งความปรานีที่อยู่ข้างบน
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลามาก อย่างไรก็ตามยามนี้เขากลับไม่ต่างไปจากปีศาจร้ายแม้แต่น้อย!
เมื่อเห็นฝูงชนกระจัดกระจายไปด้วยความหวาดกลัว โรงประมูลที่คึกคักแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาทันควัน ชายหนุ่มผู้แสนหล่อเหลาผู้นั้นก็ยิ้มเยาะอย่างดูถูก ทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็จับจ้องไปทางห้องส่วนตัวฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาอันตรายจ้องไปที่ร่างของจวินอู๋เสียตาไม่กะพริบ
คราบโลหิตยังคงเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าอันงดงามของชายหนุ่ม เมื่อสายตาของเขาประสานกับสายตาของจวินอู๋เสียที่มองมา เขาก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
นัยน์ตากระจ่างใสเย็นชาคู่นั้น เขามองไม่เห็นร่องรอยของความหวาดกลัวหรือความตื่นตระหนกใดๆ มีเพียงความสงบนิ่งเยือกเย็นเท่านั้น
ชายหนุ่มผู้แสนหล่อเหลายิ้มเล็กน้อย เขาขยับปากโดยไร้เสียงพูดว่า
‘ถ้าจ้องข้ามากกว่านี้ ข้าจะฆ่าเจ้า’
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้แสนหล่อเหลาค้นพบได้ทันทีว่ามันน่าสนใจ เขาเอนตัวมาข้างหน้าทำท่าราวกับจะกระโดดมาหาพวกเขา
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ขยับมายืนบังข้างหน้าจวินอู๋เสีย รังสีฆ่าฟันที่ชายหนุ่มผู้นั้นส่งมาทำให้ทุกคนระวังตัวขึ้นมา
ความสนใจในดวงตาของชายหนุ่มผู้นั้นก็พลันรุนแรงขึ้น ขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกไป บุรุษอีกสามคนที่เอาแต่นั่งอยู่เงียบๆ ในห้องไม่พูดอะไรสักคำก็ลุกขึ้นยืน หนึ่งในนั้นเอื้อมมือมาวางบนบ่าของชายหนุ่มผู้นั้นเพื่อหยุดเขาซึ่งเกือบจะตัวสั่นด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
“กู่อิ่ง พอแล้ว” บุรุษคนนั้นพูดอย่างเย็นชา
รอยยิ้มบนใบหน้าอันงดงามของชายหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าหงุดหงิด เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวถอยหลัง แต่สายตาของเขาไม่ละไปจากจวินอู๋เสียแม้แต่น้อย ปากของเขาขยับเป็นคำพูดแบบไร้เสียงอีกครั้งว่า
‘เจ้ามีดวงตาที่งดงาม ข้าอยากจะควักมันออกยิ่งนัก’
เฉียวฉู่และสหายของเขาที่ยืนอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองอ่านปากของชายหนุ่มผู้นั้นออก ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้สนใจเฉียวฉู่กับคนอื่นๆ เลยสักนิด เขาหันไปมองผู้รับผิดชอบการประมูลที่ยังคงนั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนเวทีอย่างหวาดกลัว แล้วตะโกนออกไปว่า “เฮ้! ส่งของมาเดี๋ยวนี้”
หลังพูดจบ เขาก็สะบัดมือและโยนตั๋วเงินปึกหนึ่งลงไป ตั๋วเงินพวกนั้นปลิวกระจายลงมาจากชั้นสองและตกลงบนพื้นจนเปื้อนเลือดที่นองอยู่
ผู้รับผิดชอบการประมูลหวาดกลัวจนไม่กล้าลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขารีบสั่งให้พนักงานส่งโอสถจำศีลขึ้นไปให้ชายหนุ่มผู้นั้น
หลังจากได้รับโอสถจำศีลมาแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นก็เดินออกจากโรงประมูลไปอย่างช้าๆ พร้อมกับบุรุษอีกสามคนนั้น ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป เขายังหันมามองจวินอู๋เสียอย่างมุ่งร้ายอีกครั้ง ปากของเขาบิดเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
“บัดซบ! เจ้าเด็กนั่นมันเป็นใครกัน!” เฉียวฉู่ถามอย่างเกรี้ยวกราดหลังจากชายหนุ่มผู้นั้นจากไปแล้ว
ถ้าจวินอู๋เสียไม่ลอบส่งสัญญาณให้พวกเขาระงับการกระทำที่บุ่มบ่าม ทุกคนคงพุ่งเข้าใส่และจัดการเจ้าคนจองหองผู้นั้นไปแล้ว
“เขามาจากสามโลกชั้นกลาง” ฟ่านจัวพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“อะไรนะ!” เฉียวฉู่ร้องอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ฟ่านจัวหรี่ตาลงพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
“เมื่อสักครู่นี้พวกเจ้าไม่สังเกตเห็นหรือ ตอนที่ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังจะพุ่งเข้ามา เขาปลดปล่อยพลังวิญญาณขั้นสีม่วงออกมาเล็กน้อย ข้านึกไม่ออกว่ามีใครในสามโลกเบื้องล่างที่สามารถทะลวงไปถึงขั้นสีม่วงได้ในอายุเท่านี้”
คำเตือนของฟ่านจัว ทำให้ทุกคนตระหนักถึงรายละเอียดเล็กๆ ที่พวกเขามองข้ามไปก่อนหน้านี้ได้
“คนจากสามโลกชั้นกลาง… ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้” ฮวาเหยาขมวดคิ้วคิดหนัก
“คนจากสามโลกชั้นกลางมีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงทุกคนเลยหรือ” จู่ๆ จวินอู๋เสียก็ถามแทรกขึ้นมา
นางสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกๆ เกี่ยวกับชายหนุ่มผู้นั้น และสิ่งที่นางรู้สึกต่อเขาก็เป็นความรู้สึกเดียวกับที่นางรู้สึกต่อเฉียวฉู่และคนอื่นๆ
ตอนที่ 572 ชายหนุ่มผู้แสนกระหายเลือด (4)
แต่จวินอู๋เสียรู้สึกเช่นนั้นต่อชายหนุ่มผู้นั้นรุนแรงกว่าที่รู้สึกต่อเฉียวฉู่และคนอื่นๆ เล็กน้อย และบุรุษอีกสามคนด้านหลังชายหนุ่มผู้นั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าชายหนุ่มผู้นั้นเลย
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของสี่ผู้แข็งแกร่ง ทำให้นางต้องขัดเกลาสัญชาตญาณความระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และต้องระวังตัวในการรับมือกับพวกเขา
ทำไมคนจากสามโลกชั้นกลางถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ในตำบลชานหลินเล็กๆ แห่งนี้โดยไม่มีเหตุผล
“เจ้าเรียกว่าเป็นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงเต็มปากไม่ได้หรอก” ฮวาเหยาอธิบายพร้อมขมวดคิ้ว “ก็แค่คนจากสามโลกชั้นกลางมีวิธีพิเศษที่จะกระตุ้นให้พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นจนถึงระดับพลังวิญญาณขั้นสีม่วงเท่านั้น แต่วิธีนั้นก็ทำให้เราคงอยู่ในสภาวะนั้นได้ไม่นานนักหรอก อย่างไรก็ตามหากพลังวิญญาณของเราเพิ่มและพัฒนาขึ้น ช่วงเวลานั้นก็จะเพิ่มขึ้นด้วย และจะค่อยๆ ไต่ไปถึงระดับพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริงได้ในที่สุด”
เหตุผลที่สามโลกชั้นกลางมีอำนาจมากกว่าสามโลกเบื้องล่าง ก็เพราะเมื่อภูติวิญญาณของพวกเขาตื่นขึ้นมา พวกเขาก็สามารถใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้แล้ว
เรื่องที่คนจากสามโลกชั้นกลางสี่คนปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับและกะทันหันนั้น ทำให้ฮวาเหยาและคนอื่นๆ ต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในเทือกเขาเมฆาก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ปะทะกับศัตรูเพียงสองคนเท่านั้น แต่มันก็ทำให้พวกเขาเกือบจะต้องตาย หากไม่ใช่เพราะการเสียสละชีวิตของเยี่ยซา
ครั้งนี้มีถึงสี่คน แม้พวกเขาจะไม่สามารถสืบเสาะได้ว่าพวกนั้นมาจากตำหนักใดในสิบสองตำหนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว
เหอฉางเล่อไม่เคยคิดฝันเลยว่าการประมูลที่เร่าร้อนดุเดือดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจะจบลงกะทันหันเช่นนี้
การประมูลไม่สามารถดำเนินต่อไปได้และต้องหยุดกลางคัน ใบหน้าของเหอฉางเล่อซีดขาว เขารีบให้คนไปทำความสะอาดและเคลื่อนย้ายศพออกไป
เมื่อจวินอู๋เสียกับสหายของนางกำลังจะจากไป เหอฉางเล่อก็ตามออกมาส่งพวกเขา เขาฝืนวางท่าองอาจ แต่ไม่ยากที่จะสัมผัสได้ถึงความหมดอาลัยตายอยากที่เขาพยายามจะซ่อนเอาไว้
หลังจากเหตุการณ์นองเลือด เขาก็ไม่สามารถลงความเห็นได้ว่าการประมูลที่จัดขึ้นโดยโรงประมูลชานหลินครั้งนี้ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวกันแน่
แต่หลังการประมูลครั้งนี้ ชายหนุ่มผู้นั้นกับบุรุษอีกสามคนที่มากับเขาก็ดูเหมือนจะหายตัวไปกลางอากาศ พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น
คืนนั้น ฮวาเหยาปลอมตัวอีกครั้งและเดินทางไปที่โรงประมูลชานหลิน เขาได้รับเพียงแค่เงินจากการประมูลโอสถวิเศษเท่านั้น เนื่องจากการขัดจังหวะของชายหนุ่มผู้นั้นที่ทำให้การประมูลล่มกลางคัน ถึงแม้โอสถวิเศษทั้งหมดจะถูกประมูลออกไปแล้ว แต่หินวิญญาณก็ยังเหลืออยู่ พวกเขาตกลงที่จะทิ้งพวกมันไว้ที่นั่นสำหรับการประมูลครั้งต่อไป
ตอนที่ฮวาเหยาพบเหอฉางเล่อที่โรงประมูล ใบหน้าของเขายังคงซีดอยู่มาก แต่เขายังไม่ลืมที่จะปรึกษาเกี่ยวกับการร่วมมือกันต่อไป เหอฉางเล่อยอมละเว้นค่านายหน้าสำหรับสินค้าที่ประมูลออกไปในครั้งนี้ และส่งมอบเงินค่าโอสถวิเศษที่ได้รับมาให้แก่ฮวาเหยาเต็มจำนวน เขาขอแค่ให้ฮวาเหยาสนับสนุนในเรื่องโอสถวิเศษต่อไปเพื่อการร่วมมือกันในระยะยาว และเขาสัญญาว่าฮวาเหยาจะได้รับราคาที่น่าพอใจสำหรับโอสถวิเศษทั้งหมดอย่างแน่นอน
ฮวาเหยาตอบว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปปรึกษากันสักเล็กน้อยและจะกลับมาให้คำตอบทีหลัง เหอฉางเล่อจึงไม่ดึงดันต่อ ความวุ่นวายในการประมูลวันนี้ได้สร้างความปวดหัวให้เขาเป็นอย่างมาก และถ้าในตอนแรกเขาตั้งใจที่จะเกลี้ยกล่อมฮวาเหยาให้สนับสนุนโรงประมูลชานหลินด้วยโอสถวิเศษของพวกเขาเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้แก่โรงประมูล เขาก็พบว่าตัวเองต้องมาร้อนใจเรื่องกอบกู้ชื่อเสียงของพวกเขาแทน…
การฆาตกรรมที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นเกิดขึ้นกลางการประมูล คนมากกว่าสิบคนถูกฆ่าตาย มันเป็นเรื่องใหญ่ของโรงประมูลชานหลินและเขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะรอดพ้นวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่
ถ้าหากไม่มีมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์ โรงประมูลก็อาจจะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้
เหอฉางเล่อจึงต้องฝากความหวังไว้ที่บุรุษผู้ซึ่งนำฝูงชนให้หลั่งไหลมาหาพวกเขาอย่างที่ไม่เคยเกิด ขึ้นมาก่อนด้วยโอสถวิเศษของเขา
ฮวาเหยาบอกจวินอู๋เสียถึงความสนใจที่จะร่วมมือกันของเหอฉางเล่อ จวินอู๋เสียตกลงทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ความคิดของเหอฉางเล่อตรงกับนางโดยบังเอิญ
นางต้องการเงิน และเหอฉางเล่อต้องการกอบกู้ชื่อเสียงของโรงประมูลชานหลิน พวกเขาแค่ร่วมมือกันเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละคน