วินาทีที่หันไปเห็นเจียงอี แววตาของจูจื่ออวี้เป็นประกายโดยพลัน แต่แล้วก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
เจียงอีดันเจียงซื่อที่เข้ามาพยุงออกไป และค่อยๆ ก้าวทีละก้าวไปหยุดตรงหน้าจูจื่ออวี้
ภายใต้ความเงียบงัน นางถามขึ้นว่า “ท่านพี่ เมื่อครู่ที่ท่านพูดว่าท่านและคุณหนูชุยต่างก็ชอบพอกัน เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ”
จูจื่ออวี้ไม่ตอบ
“เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ” เจียงอีถามซ้ำ
นางพยายามข่มกลั้นขนตาที่สั่นระริก อดทนมิให้น้ำตาไหลออกมา
“บอกข้ามา เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ” การถามครั้งที่สาม น้ำเสียงของเจียงอีไม่อาจควบคุมให้เป็นปกติได้อีกต่อไป
เมื่อผู้เป็นภรรยาเอ่ยถามถึงสามครั้ง ในที่สุดจูจื่ออวี้ก็พยักหน้าเบาๆ พลางตอบอ้อมแอ้ม “ข้าขอโทษ…”
เท้าของเจียงอีพลันก้าวถอยหลัง ใบหน้าของนางเริ่มคล้ายคนเสียสติ “ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ…”
นางจะเชื่อได้อย่างไร ทั้งคู่แต่งงานอยู่กินกันมานานแรมปี เขาเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่เคยขึ้นเสียงใส่นางสักครั้ง
แม่สามีจะดุด่านางอย่างไร ผู้เป็นสามีก็ออกตัวปกป้องนางเสียทุกครั้งไป ทั้งยังคอยปลอบโยนและเป็นแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งให้แก่นางเสมอมา
จวบจนบัดนี้ ผู้เป็นสามีบอกกับนางว่าเขาและหญิงอื่นต่างก็ชอบพอถูกใจกัน หนำซ้ำยังขอให้ผู้ใหญ่อนุญาต…
เขาเห็นนางเป็นอะไรกัน
ใบหน้าของเจียงอีเริ่มหมองหม่น
นางเพิ่งเข้าใจความรู้สึกว่ายามที่ฟ้าถล่มโลกมลายนั้นเป็นเช่นไร
นี่คงเป็นเพียงฝันร้าย นี่ต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน หากตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะยังปกติดี...
เจียงอีหันหลังกลับและสาวเท้าเตรียมเดินออกไป
แต่ทว่าเจียงซื่อคว้ามือของนางเอาไว้
ดวงตาของเจียงอีสั่นไหว นางส่งยิ้มให้เจียงซื่อพลางบอก “น้องสี่ ข้าฝันถึงเจ้าด้วยหรือนี่…”
เจียงซื่อบีบมือของนางแรงขึ้น “พี่ใหญ่ ตื่นเถิดนะ พี่มิได้ฝันไป ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง!”
ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะไม่ปล่อยให้พี่ใหญ่ต้องถูกคนรังแกอีกต่อไป
“จริงหรือ”
เจียงซื่อผงกหัวรับ “เรื่องที่จูจื่ออวี้และคุณหนูชุยแอบนัดพบกันเป็นเรื่องจริง เรื่องที่จูจื่ออวี้ยอมรับว่าเขาทั้งคู่ชอบพอกันเป็นเรื่องจริง เรื่องที่จูจื่ออวี้ขอให้ท่านพ่ออนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกันก็เป็นเรื่องจริง พี่มิได้ฝันไป เราทุกคนไม่ได้อยู่ในความฝัน พี่ใหญ่ลองดูว่าที่ข้าพูดจริงหรือไม่”
ดวงตาของนางกลับมาสุกใส แต่เมื่อความสุกใสจางหายไปแล้วจึงหลงเหลือเพียงความเจ็บปวดรวดร้าวและความตกใจ
ทว่าด้านเจียงซื่อกลับเบาใจ
นางมิได้หวั่นต่อความเศร้าโศก ชาตินี้นางยังมิได้ออกเรือน นางก็จะอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เอง เพราะนางเชื่อว่า จะช้าหรือเร็วพี่สาวของนางก็จะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้
“อีเอ๋อร์ เจ้ามานี่” เจียงอันเฉิงออกปาก
เจียงซื่อเดินไปพร้อมกับเจียงอี
ใบหน้าของเจียงอันเฉิงสงบเงียบ ทว่าดวงตากลับมีเปลวไฟลุกโชน เขาหันไปหาลูกสาวคนโตพลางบอก “มายืนข้างหลังพ่อ”
เจียงอีติดจะงุนงงทว่าเดินไปตามคำสั่ง ใจของนางเหมือนจะแตกสลาย เหลือเพียงความว่างเปล่ากลวงโบ๋และความเจ็บปวดเกินทนทาน
เจียงอันเฉิงหันไปหาจูจื่ออวี้ “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าเจ้าทำให้ข้าผิดหวัง?”
จูจื่ออวี้อยู่ในท่าทีนอบน้อม น้ำเสียงรู้สึกผิดจากใจจริง “เป็นเพราะข้าผิดเอง แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็ไม่อยากทำผิดต่อคุณหนูชุยด้วยอีกคน ขอท่านพ่อตาช่วยทำตามคำขอของข้าด้วยเถิด…”
“ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายไอ้คนชั่ว!” เจียงจั้นพุ่งตัวเข้าไปชก
เมื่อเห็นจูจื่ออวี้ถูกต่อยหลายต่อหลายครั้ง เจียงซื่อจึงเข้าไปห้าม “พี่รอง ข้าว่ารอฟังท่านพ่อก่อนจะดีกว่า การลงไม้ลงมือมิอาจแก้ปัญหาได้หรอกเจ้าค่ะ”
เจียงจั้นชักหมัดกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เจียงอันเฉิงหัวเราะพรืด “ทำตามคำขอ? ข้าอยู่มาสี่สิบปี เมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์เสมอมา ทว่าข้ามิรู้เลยว่าการจะทำตามคำขอของสัตว์เดรัจฉานต้องทำอย่างไร”
จูจื่ออวี้ไม่คิดว่าวาจาหยาบคายเช่นนี้จะหลุดออกจากปากเจียงอันเฉิง สีหน้าของเขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป
แม้สองสามีภรรยาจูเส้าชิงจะรักบุตรชายเพียงใด แต่ทั้งคู่ก็เป็นคนเคร่งครัดในขนบธรรมเนียม ต่างก็ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชายที่แสนน่าภาคภูมิใจจะก่อเรื่องเช่นนี้ ทำให้ในขณะนั้นไร้ซึ่งคำทัดทานจากทั้งสอง
เสียงหัวเราะของเจียงอันเฉิงดังก้องไปทั่วห้อง ในเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและความโกรธแค้น ทำให้คนฟังรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขากำลังถูกหินขนาดมหึมากดทับเอาไว้
เมื่อเสียงหัวเราะนั้นหยุดลง เจียงอันเฉิงก็หันไปมองจูจื่ออวี้ด้วยสายตาดูถูก “บุตรสาวของข้าอยู่ในร่องในรอยเสมอมา ไฉนถึงมาอยู่กินกับเดรัจฉานเยี่ยงเจ้าได้ วางใจเสียเถิด ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางอยู่ในถ้ำสัตว์ร้ายนี้อีกต่อไป ข้ามิได้ตั้งใจจะทำตามคำขอของเจ้า เพียงแต่ว่าคนมิอาจอยู่ร่วมกับสัตว์!”
เจียงจั้นปรบมือ “ท่านพ่อพูดถูกอย่างยิ่ง!”
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าบิดาโหดร้ายกับเขาเกินไป ทว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า บิดาโหดร้ายกับผู้อื่นยิ่งกว่า
จูเส้าชิงปาดเหงื่อบนหน้าผากครั้งแล้วครั้งเล่า “ชิ่งจยา[1] เป็นเพราะไอ้ลูกตัวดีประมาทเลินเล่อเท่านั้น ทว่าเราเองก็มิควรให้เรื่องบานปลายเช่นนี้”
“ประมาทเลินเล่อ? ข้าไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” เจียงซื่อกล่าวค้านด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จูเส้าชิงขมวดคิ้วและหันไปมองนาง ภายในใจของเขาเริ่มปะทุ “คุณหนูเจียง เจ้ายังเด็กนัก อย่าเพิ่งเข้ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่จะดีกว่า”
ยอมรื้อถอนวัดยังดีกว่าล่มงานวิวาห์ คนอย่างพวกเขาจะยอมตกเป็นขี้ปากเพราะเรื่องหย่าร้างได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น จากยศศักดิ์ของคุณหนูใหญ่ชุยแล้ว ต่อให้ทั้งคู่หย่าร้างกันจริง นางก็ไม่มีทางมาแต่งงานกับบุรุษมือสองอย่างแน่นอน
ลูกชายเขาช่างเลินเล่อเสียจริง!
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็ผุดยิ้มเย็นเยียบ “ใต้เท้าจูพูดผิดแล้วกระมัง จูจื่ออวี้อายุอานามมากกว่าข้าไม่เท่าไหร่ยังวางแผนลอบฆ่าภรรยา และนัดพบสตรีสูงศักดิ์ที่ยังไม่ออกเรือนอย่างลับๆ ได้เลยนะเจ้าคะ”
จูเส้าชิงสูดลมหายใจเข้าปอด “วางแผนลอบฆ่าภรรยาอะไรกัน เจ้าอย่าพูดมั่วๆ!”
เจียงซื่อเบะปาก “ใต้เท้าจูคงจะลืมไปแล้วว่า ไม่นานมานี้ ขณะที่พี่สาวของข้าไปที่วัดไป๋อวิ๋นเกิดอุบัติเหตุม้าพยศจนนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตัวคนขับรถม้านั่นก็ยังหาไม่พบ การที่ข้าจะสงสัยเช่นนี้ก็เพราะมีเหตุผลเพียงพอว่าจูจื่ออวี้คือผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง!”
เมื่อเจียงซื่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ใบหน้าของเจียงอันเฉิงก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
เดิมทีเพราะเห็นแก่เยียนเยียนผู้เป็นหลานสาว เขาจึงคิดเพียงว่าแค่หย่ากันไปก็เพียงพอ แต่ในเมื่อจูจื่ออวี้วางแผนจะทำร้ายลูกสาวคนโตเช่นนี้ เขาคงปล่อยสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ไปง่ายๆ ไม่ได้อีกแล้ว!
เขาต้องการให้จูจื่ออวี้พังยับเยิน อย่าได้คิดว่าชีวิตนี้จะได้เป็นใหญ่เป็นโตได้อีกเลย!
“พวกเรากลับ!” เจียงอันเฉิงหันหลังกลับ
เจียงอียังคงไม่ขยับตัว
เจียงอันเฉิงหยุดชะงักพลางหันไปมองที่บุตรสาวคนโต
ใบหน้าของนางในยามนี้ขาวซีดเสียยิ่งกว่าสีของกระดาษ มือภายใต้แขนเสื้อกำแน่น ความเจ็บปวดจากปลายเล็บส่งผ่านไปถึงหัวใจ
ทว่านางกลับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะความรู้สึกเหล่านี้ไม่อาจถมช่องว่างภายในจิตใจให้เต็มได้
เจียงซื่อเริ่มร้อนใจ
หากชีวิตของจูจื่ออวี้พังยับเยินและเขายืนกรานที่จะแต่งงานใหม่ นางจะทำอย่างไรหากพี่ใหญ่ยังดึงดันจะอยู่กับชายผู้นี้ต่อ
สองสามีภรรยาจูเส้าชิงมองหน้ากันและรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
หากลูกสะใภ้ไม่ยอมไป ทุกอย่างก็จะกลับเข้าที่เข้าทาง
“อีเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไร” เจียงอันเฉิงถามด้วยใบหน้าย่ำแย่ไม่แพ้กัน
เมื่อต้องเผชิญหน้าผู้เป็นบิดา น้ำตาที่อุตส่าห์ข่มกลั้นเอาไว้ของนางก็พรั่งพรูออกมาทันที นางตอบแผ่วเบา “ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่านพ่อ”
เจียงอันเฉิงอดยิ้มไม่ได้ “ดี งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”
แต่แล้วเจียงอีก็ก้มหน้าพลางถาม “แล้วเยียนเยียนล่ะเจ้าคะ”
ในเมื่อเขาขอให้บิดาของนางทำตามคำขอแล้ว นางก็ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีกแล้ว แต่เยียนเยียนลูกสาวของนางเล่า?
เยียนเยียนเพิ่งจะสามขวบปีเท่านั้น จะอยู่ห่างจากผู้เป็นมารดาได้อย่างไร
ครั้นนึกถึงลูกสาว เจียงอีก็รู้สึกว่ามีมีดคมกริบปักลงมากลางหัวใจของนาง
ในทันใดนั้น องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็เอ่ยปากออกมาในที่สุด “ฟังทุกท่านกล่าวมามากมายเช่นนี้แล้ว ข้ายังมิได้ฟังความเห็นจากลูกสาวข้าเลย หมิงเย่ว์ เจ้าและจูจื่ออวี้ชอบพอกันงั้นหรือ แล้วถ้าเขาไม่แต่งงานกับเจ้าเล่า”
ทั้งหมดหันไปมองชุยหมิงเย่ว์เป็นตาเดียว
ชุยหมิงเย่ว์เม้มปาก ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมา
————————-
[1] ชิ่งจยา คำที่บิดามารดาใช้เรียกบิดามารดาของลูกเขยหรือลูกสะใภ้ตน