ตอนที่ 355 เอ้อระเหยลอยชาย

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 355 เอ้อระเหยลอยชาย

ตอนที่ 355 เอ้อระเหยลอยชาย

ก่อนรุ่งสาง ซูเถามาที่ห้องนั่งเล่นด้วยความสะลึมสะลือ ก่อนจะเห็นสือจื่อจิ้นนั่งอยู่บนโซฟา กำลังเงยหน้าขึ้นดูทีวีด้วยความเพลิดเพลิน

เขากำลังดูรายการแสดงหุ่นกระบอกโบราณไม่ทราบปีทางทีวี

โดยมีเสวี่ยเตานอนคว่ำหน้าและหาวอยู่ใต้โซฟา

ด้านหลังโซฟาเป็นเฮยจือหม่าที่กำลังงีบหลับอยู่

หลิงอวี่ที่ตัวสีดำสนิทยืนอยู่บนที่วางแขนโซฟา ซึ่งผ่านไปสักพัก สือจื่อจิ้นก็สั่งให้มันเปิดเสียงทีวีขึ้นเล็กน้อย

ส่วนล่าเจียวก็เล่นอยู่กับลูกข้างโต๊ะกาแฟ

แม้แต่ไป๋จือหม่าก็ไม่ได้เกิดอาการกระวนกระวายอีกต่อไป มันแค่นอนกระดิกหางไปมาอยู่ไม่ไกล

โดยรอบเปี่ยมไปด้วยความสงบสุข

ยกเว้นหลินฟางจือที่ตกตะลึง

“…พลตรี?”

สือจื่อจิ้นไม่แม้แต่ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์

“อรุณสวัสดิ์ ฟางจือ”

“…คุณกำลังทำอะไร?”

ตงหยางบอกว่าพลตรีสือกำลังรักษาบาดแผลของเขาไม่ใช่เหรอ…ทำไมเขาถึงมาดูทีวีที่นี่?

พลตรีสือดูทีวีเป็นด้วยเหรอ?

ดวงตาของหลินฟางจือเต็มไปด้วยความสับสน

“ฉันมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยที่นี่” สือจื่อจิ้น

“…?” หลินฟางจือ

ซูเถาจ้องไปที่สือจื่อจิ้น

“คุณพูดกับเขาดี ๆ เดี๋ยวเขาก็ต้องออกไปทำงานแล้ว วันนี้เขางานยุ่งมาก อย่ารอช้าเลย”

ทันใดนั้นสือจื่อจิ้นก็เห็นใจเขา “เหนื่อยหน่อยนะ ตีห้าก็ต้องตื่นไปทำงานแล้วเหรอ นายออกไปทำงานก่อนไป กลับมาตอนเย็นเราค่อยคุยกัน ฉันว่างทุกคืน ไม่ต้องห่วง”

หลินฟางจือออกไปแบบนี้ ถ้าซูเถาไม่หยุดอีกฝ่าย เขาคงโทรไปแจ้งที่กองบัญชาการตงหยาง เพื่อรายงานว่ามีคนแอบอ้างเป็นท่านพลตรีเพื่อหลอกลวงซูเถา

หลังจากฟางจือไปแล้ว สือจื่อจิ้นก็ถามว่า “ช่วงนี้พวกคุณยุ่งมากเหรอ ผมนึกว่าคุณยุ่งอยู่คนเดียวเสียอีก ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าฟางจือที่อายุยังน้อยต้องตื่นตีห้าไปทำงานทุกวัน”

ในขณะที่ซูเถาล้างหน้าแปรงฟัน เธอก็บอกว่า “นั่นก็เป็นเพราะต้องรีบเข้าควบรวมตงหยาง ตอนนี้ฟางจือรับผิดชอบในด้านธุรกิจการขนส่งเสบียง ส่วนฉันเป็นกำลังหลักในการหาผลึกนิวเคลียส เฮ้อ ช่างเป็นงานที่หนักจริง ๆ”

หลังจากพูดจบเธอก็เปลี่ยนเรื่อง

“เมื่อก่อนคุณก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่ค่อยมีเวลากินและเวลานอน แต่ตอนนี้คุณกลับมีชุดความคิดที่ว่าการตื่นไปทำงานตั้งแต่ตีห้าเป็นเรื่องที่หนักหนา ความคิดคุณเปลี่ยนไปมากนะ”

สือจื่อจิ้นลอยตัวไปหยุดข้างหญิงสาว เขาพิงประตูห้องน้ำและพูดออกมาว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าความสุขในตอนนี้มันเป็นยังไง”

ซูเถายกขาขึ้นและเตะเขาจนเป็นกลุ่มควัน

ใช้เวลาไม่นานก่อนที่แสงรุ่งอรุณจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สือจื่อจิ้นมองดูเวลาและถอนหายใจ

“ผมต้องกลับแล้ว เจอกันคืนพรุ่งนี้ อย่าลืมช่วยผมหาพวกภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ด้วยนะ แต่ถ้าคุณยุ่งจนไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร อีกเรื่องหนึ่ง ผมฝากคุณไปบอกเสิ่นเวิ่นเฉิงและทีมด้วย เรื่องการวิจัยของโบนวิงส์ ผมว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับโรคและความเจ็บปวดของมนุษย์”

หลังจากพูด เขาก็หายไปในทันที และแสงยามเช้านอกหน้าต่างก็สาดส่องเข้ามาในห้องนั่งเล่น

ซูเถาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่หลังเก้าโมงเช้าก็มุ่งหน้าไปที่ฐานการทดลองเพื่อนำคำพูดของสือจื่อจิ้นไปแจ้งกับเสิ่นเวิ่นเฉิงและทีม

“เหมือนผมพอจะเข้าใจแล้ว!” เมื่อเสิ่นเวิ่นเฉิงได้ยินเข้าก็ต้องตกตะลึง

หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็วิ่งตรงไปที่ห้องทดลอง

ผู้ช่วยขอโทษซูเถาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หัวหน้าของเราเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้า ดังนั้นในช่วงเวลาที่เข้าตื่นเต้นหรือคิดอะไรออกเขาอาจจะไม่ทันได้บอกลาเถ้าแก่ซู”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเสิ่นมีตำแหน่งทางวิชาชีพไหมคะ? เหมือนกับนักวิชาการเฉียวไหม” ซูเถาโบกมือพัลวัน

“คุณเสิ่นของเรามีชะตากรรมมากมาย อันที่จริงเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการวิจัยทางชีวภาพฉางจิง ชื่อเสียงของเขาถูกแพร่ไปในวงกว้างในฐานะอัจฉริยะ แต่ต่อมาเขาถูกใส่ร้ายในข้อหาฉ้อฉลทางวิชาการ เขาเลยละทิ้งฉางจิงด้วยความโกรธ และไปอาศัยอยู่ในเหอคัง และเขาก็ได้รับการชื่นชมจากคุณจี้ ดังนั้นเขาจึงได้ทำการวิจัยต่อไปได้” ผู้ช่วยยิ้มขมขื่น

“แต่ตอนนี้เราได้พบกับเถ้าแก่ซูแล้ว เราและคุณเสิ่นรู้สึกโชคดีมาก พวกเราไม่สนใจเรื่องตำแหน่งและเกียรติยศในอาชีพมากขนาดนั้นหรอกครับ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้ช่วยของเขายังคงตื่นเต้นเล็กน้อย

“หากเราสามารถหาทิศทางของการวิจัยวัคซีนได้ ทั้งคุณเสิ่นและเถาหยางจะเป็นผู้มีส่วนสนับสนุนเพื่อมนุษยชาติ และนั่นคือเกียรติของผู้ชนะที่แท้จริง”

ซูเถาไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นว่าพวกเขาจะสามารถหาทิศทางของการวิจัยวัคซีนได้ เพราะวันสิ้นโลกนี้ผ่านมาเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ทำการวิจัยและทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่พวกเขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

แต่เธอโชคดีแค่ไหนที่สามารถรับผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ย่อท้อต่อการวิจัยวัคซีน

แต่ความกระตือรือร้นและจิตวิญญาณแบบนี้ยังคงต้องได้รับการส่งเสริม หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจประจำวันของเธอในเช้าวันนั้น เธอยังขอให้ชายชรากู้ช่วยสอนความรู้ด้านการจัดการธุรกิจเป็นเวลานาน จากนั้นก็ไปหาหม่าต้าเพ่าเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในฐานการทดลอง

หม่าต้าเพ่าไม่ได้ตอบเธอโดยตรง แต่ถามอย่างลังเล “เถ้าแก่ คุณยังติดต่อกับซ่งเยว่ปินหรือเปล่า”

“คุณมีเรื่องอะไรพูดออกมาตรง ๆ ได้เลยค่ะ”

หม่าต่าเพ่าพูดออกมาอย่างยากลำบาก “เห็นเขาบอกว่าเขาติดต่อคุณไม่ได้ เขาบอกว่าคุณบล็อคเขา เขาก็เลยมาบอกผม เขาฝากผมมาบอกคุณว่าวันนี้คุณนายเวินกำลังออกเดินทางมาที่เถาหยาง โดยพวกเขานั่งเครื่องบินส่วนตัวมา และจะถึงพรุ่งนี้เช้า ซ่งเยว่ปินหวังว่าคุณจะต้อนรับทางฝ่ายนั้นด้วยทัศนคติที่ดี ถ้าทางเถาหยางมีท่าทีที่ดี พวกเขาก็จะดีกับเถาหยางเช่นเดียวกัน เขาไม่อยากให้คุณเสียผลประโยชน์ก้อนโตเพียงเพราะเรื่องแค่นี้”

หลังจากพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อว่า “เถ้าแก่ บอกความจริงผมที คุณแตกหักกับเขาแล้วเหรอ”

“มันจบลงแล้ว” ใบหน้าของซูเถาดูไม่ค่อยดีนัก

“เฮ้! ตัดขาดกับเขาก็ดี! ผมน่ะหายใจไม่ทั่วท้องจริง ๆ เถ้าแก่ ผมจะบอกคุณให้นะ ว่าคนแซ่ซ่งนี้ไม่น่าคบหาจริง ๆ เขาเหมือนจะเป็นคนมีสัจจะนะ แต่เมื่อเขาเห็นผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างโดยไม่ได้สนใจพวกพ้อง” หม่าต้าเพ่าตบต้นขาตนเอง

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น” ซูเถาถามอย่างสงสัย

“ซ่งเยว่ปินและทีมของเขาประสบปัญหา หัวหน้าทีมอื่นบางคนที่เขารู้จักพยายามช่วยเขานะ แต่โชคร้ายที่ชายคนนี้กลับหักหลังและไปรายงานต่อหัวหน้าสวี่ฉาง โดยบอกว่าทีมเหล่านี้มีการละเมิด ทีมอื่น ๆ จึงถูกตัดเส้นทางขนส่งออกไป พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อสร้างที่ว่างให้กับทีมของตัวเอง”

ซูเถาตัวแข็งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีความประหลาดใจใหญ่หลวงในใจของเธอ

หม่าต้าเพ่าส่ายหัวอย่างแรง “เถ้าแก่ คนคนนี้คบหาไม่ได้จริง ๆ ทีมเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่มีการละเมิด แม้จะมีปัญหา แต่มันก็เป็นแค่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้ว่าพวกเขาจะละเมิดกฎจริง ๆ ทีมเหล่านี้ก็ได้ช่วยซ่งเยว่ปินไว้ไม่น้อย บางคนให้ยืมเงิน บางคนให้ยืมวัตถุสิ่งของ และบางคนให้ยืมสถานที่ เขาควรเหรอที่จะปฏิบัติต่อผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และผู้ที่ช่วยเหลือกันมาตลอดอย่างนี้”

“ก่อนหน้านี้ผมไม่กล้าพูดเพราะผมเห็นว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซ่งเยว่ปิน ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ไป มันจะดูเหมือนว่าผมกำลังหว่านความขัดแย้ง ผมหายใจไม่ทั่วท้องจริง ๆ”

ซูเถาเงียบ

เธอพอจะเดาได้ว่าซ่งเยว่ปินมีแผนสองอย่าง อย่างแรก เขาใช้เสียวหั่วเยี่ยนเป็นการเบิกทางในการเปิดเส้นทางทางเหนือ และหากเขาไม่สามารถทำได้สำเร็จก็จะดึงขบวนอื่นลงมา ทำการใส่ร้ายต่าง ๆ เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับตัวเอง

เขาอาจกลัวจริง ๆ ว่าเธอจะไม่เล่นไพ่ตามเขา ไม่เพียงแต่เธอจะไม่ขายเสียวหั่วเยี่ยน แต่เธอยังเปิดโปงเขากับคุณนายเวินอีกด้วย

จู่ ๆ ซูเถาก็ลดความไม่พอใจของตนเองลง และตระหนักว่าเธอกับซ่งเยว่ปินไม่ควรคบค้ากันต่อ ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเป็นเพื่อนหรือไม่ก็ตาม ที่ผ่านมาให้ถือว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายในวันสิ้นโลกแล้วกัน

“วันหลังคุณมีเรื่องอะไรก็พูดกับฉันได้เสมอ ฉันจะเชื่อคนนอกมากกว่าพวกคุณได้ยังไง จริงไหม” เธอตบไหล่หม่าต้าเพ่า