ตอนที่ 249

Great Doctor Ling Ran

“หลิงรันนายรับผิดชอบการเย็บแผลล่ะกันนะหลังจากรักษาเสร็จ” หมอเรย์ยอมรับตามคำขอของผู้ป่วยและมอบหมายงานให้หลิงรันทำต่อจากเขา

หมอเนย์เองก็ไม่ต้องการที่จะขัดใจหญิงสาวไฮโซคนนี้ที่สวมเสื้อเชิ้ตชาแนลที่บินมาที่โรงพยาบาลหยุนหัวด้วยเฮลิคอปเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้มีอำนาจที่จะโต้เถียงกับเธอเนื่องจากมันจะทำให้ทางโรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียงรวมถึงเขาด้วย

หลิงรันเองก็พยักหน้าตอบตกลงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะการเย็บแผลนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาและมันก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้รับมอบหมายหน้าที่นี้

“ฉันชื่อเทียนฉีฉันได้ชื่อนี้มาเพราะฉันเป็นลูกคนที่เจ็ดซึ่งพ่อแม่ของฉันได้ดูหมอดู และหมอดูจึงให้ชื่อนี้มามันจะทำให้ชีวิตของฉันเรียบง่าย โดยคำว่า ฉี ของฉันสะกดเป็น ฉี ไม่ใช่ ชี นะ ” เทียนฉีจื้อปากขณะที่เธอพูดริมฝีปากของเธอนั้นทาด้วยลิปสีแดงและมันทำให้เธอดูมีเสน่ห์ เธอขยับตัวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะถามว่า “คุณคือหลิงรันหรือใช่ไหม? ชื่อของคุณสะกดยังไงนะ?”

“หออิมอหลิง รออะนอรัน” หลิงรันตอบเธอด้วยสีหน้าที่เย็นชา

เทียนฉีรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองไปที่ใบหน้าของหลิงรันในขณะที่เธอนอนอยู่บนเปลหาม ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นนั่งแล้วพูดกวีขึ้นมาหนึ่งบท ” ที่มุมกำแพงมีต้นพลัมบางต้นเติบโตเพียงลำพังกับดอกสีขาวเย็น ๆ [1] ” ดินแดนนี้มีวีรบุรุษมากมาย แต่มันยากที่จะรู้เกี่ยวกับพวกมัน ‘ วลีนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องจริง “

หลิงรันไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขามองไปที่เทียนฉี เนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับกวีที่เธอพูดออกมาแต่หนึ่งประโยคในกวีที่เธอพูดนั้นมาจากหวังอาชิ ในขณะที่อีกประโยคเขียนโดยหลี่ไป๋ มันคือบทกวีของจีนที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่หลิงรันจะรู้จักกวีเหล่านี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนอื่นจะเข้าใจบทกวีที่เทียนฉีพูดออกมาเช่นกัน นอกจากนี้ก็มีคนน้อยมากที่อ่านกวีนิพนธ์จีนโบราณอยู่ทุกวันนี้ รวมไปถึงมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้หญิงที่ดูทันสมัยเช่นนี้จะยอมมาเสียเวลาอ่านกวีนิพนธ์จีนโบราณเช่นนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามหลิงรันก็เคยเห็นหญิงสาวหลายคนที่รักการท่องบทกวี เขาจึงยิ้มและพูดว่า “ผู้คนมักจะพูดว่า ‘จงไปหาฉันที่ยอดของภูเขา‘ [2] เมื่อพวกเขาต้องการพูดถึงชื่อของฉัน”

เทียนฉีปิดปากเธอในขณะที่เธอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “‘จงไปหาฉันที่ยอดของภูเขา‘อย่างงั้นหรอ คุณพยายามจะอธิบายว่าคุณดูเป็นวีรบุรุษมากขึ้น ถ้าคุณใช้มันเพื่ออธิบายผู้อื่นมันจะแปลกมากในกวีต่อ ‘เพียงลำพังกับดอกสีขาวเย็น ๆ ‘ ฟังดูดีกว่า หมอลิงคุณดูเหมือนคุณจะไม่สามารถเข้าถึงมันได้”

หลิงรันตกตะลึงกับสิ่งที่ เทียนฉีเพิ่งพูดไปเนื่องเขาเคยถูกชมอยู่ตลอดเวลาและผู้คนมักจะใช้หลายวิธีในการใช้บทกวีจีนเพื่อยกย่องเขาเช่นกัน แต่กวีใหม่ที่เทียนฉีเสนอมามัน…ไม่เหมือนใครและเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

“คุณเห็นไหมว่ากวีที่ฉันเลือกนั้นเหมาะสมสำหรับคนอื่นเท่านั้น แต่มันไม่เหมาะสำหรับคุณเลยที่จะใช้กวีเหล่านี้เพื่ออธิบายตัวตนของคุณใช่มั้ย” เทียนฉีมีความต้องการที่จะสนทนาในบทกวีของจีนต่อไป

หมอเรย์ถึงกับพูดไม่ออก แต่เขารู้สึกกังวลเมื่อเขาได้ยินการสนทนาระหว่างเทียนฉีกับหลิงรัน

เมื่อเห็นเช่นนั้นหมอเรย์เขาทนฟังไม่ได้อีกต่อไป

มันทำให้หมอเรย์นึกถึงเวลาที่เขาจีบภรรยาของเขา เขาไม่ได้ใช้เทคนิคเยอะเหมือนกับเทียนฉี

หมอเรย์จึงกับมาคิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง ทั้งหลิงรันและเขาเป็นแพทย์เขาอาจคิดว่าชื่อของเทียนฉีนั้นอาจแปลก แต่เธอไม่ได้อธิบายว่าทำไมเธอถึงได้ชื่อนี้ แต่หลังจากหลิงรันบอกชื่อของเขาแล้วเขาก็ได้รับคำอธิบายมากมายในทางกลับกัน จากนั้นก็มีการโต้ตอบกันอย่างมากมายระหว่างพวกเขาและพวกเขามีพื้นฐานจากบทกวีจีนเช่นกัน มันเกิดอะไรขึ้น?

หมอเรย์จำได้ว่าเขาอายุน้อยกว่า เมื่อก่อนเขาต้องการใช้ความสามารถของเขาเพื่อจีบหญิงเช่นกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังจากนั้นคือเขาต้องกินบะหมี่ถ้วยเพื่อประหยัดเงิน และเอาเงินเหล่านั้นไปขอแฟนของเขาแต่งงาน

การซื้อกระเป๋ากุชชี่ในสมัยนั้นมันมีค้าใช้จ่ายที่มหาศาลซึ่งมันพอๆกับเงินเดือนของเขาเลยในเวลานั้น จากนั้นหมอเรย์ก็มองไปที่ หลิงรันอย่างขุ่นเคืองและคิดว่า ‘เด็ก ๆเช่น หลิงรันไม่เห็นมีอะไรดีเลย หมอนั้นยังไม่มีงานทำด้วยซ้ำ แล้วเขาจะทำให้ผู้หญิงในเสื้อชาแนลคุยกับเขาด้วยบทกวีจีนได้อย่างไร เขาทำมันได้อย่างไร? ‘

“ย้ายเตียงสองเตียงออกไปและให้เธอนอนตรงนี้” หมอเรย์ไม่ต้องการคิดเรื่องเหล่านี้ต่อไปอีกแล้ว เมื่อเตียงอยู่ในตำแหน่งเขาขอให้พนักงานพาเทียนฉีไปที่ห้องปฏิบัติการ เตียงของเธอมีพื้นที่เทียบเท่ากับสองเตียงซึ่งหมายความว่าเธอจะนอนได้อย่างสะดวกสบาย

เมื่อเทียบกับหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลในห้องพักฟื้นเตียงของผู้ป่วยคนอื่นดูน่ารักไปเลย แต่เตียงเหล่านั้นก็มีชุดอุปกรณ์ที่ครบถ้วนเช่นกัน

หมอเรย์ไม่ได้หวังที่จะกลายเป็นคนดังจากเคสปัจจุบันที่เขาพึงได้รับมา เพราะเคสนี้อาจจะเป็นเคสที่เด็กสาวคนนี้ทานอาหารมากจนเกินไปจนปวดท้องก็เป็นไปซึ่งมันไม่ได้เป็นเคสที่หวือหวาขนาดนั้นและไม่มีอะไรที่ดึงดูดหมอเรย์ได้อีกแล้ว

แล้วถ้าเธอมีรูปร่างที่ดีและใบหน้าที่สวยล่ะ แต่หลังจากที่พึงผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดมา…เธอไม่แม้แต่จะมองหมอเรย์

หมอเรย์เปิดรายการตรวจและบอกว่า “ให้แผนกศัลยกรรมทั่วไปทำคำปรึกษาทางการแพทย์มาเพราะตอนนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุด”

ซึ่งถ้าเขาพบว่ามันเป็นเพียงโรคทั่วไป พวกเขาคงจะไม่ได้รับการชื่นชมใด แม้ว่าพวกเขาจะทำการรักษาจนเสร็จแต่อย่างไรก็ดีถ้าพวกเขาไม่รักษาผู้ป่วยในตอนนี้พวกเขาคงจะต้องลงโทษอย่างหนักจากโรงพยาบาลแน่ๆ

หมอเรย์เตรียมแบบฟอร์มการปรึกษาทันทีเพราะเขาต้องการให้หมอจากแผนกศัลยกรรมทั่วไปแบกรับผลที่ตามมาพร้อมกับเขา

ไม่มีอะไรที่น่าภาคภูมิใจในการรัษาเด็กผู้หญิงที่อาจจะกินอาหารมากเกินไปจนท้องอืด

แต่หากเขาพลาดโรคแปลก ๆไป เขาก็จะได้ลากแผนกศัลยกรรมทั่วไปทั้งหมดลงไปสู่ความผิดพลาดในครั้งนี้และพวกเขาเน่าอยู่ในนั้นด้วยกันกับหมอเรย์ที่ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ

ซึ่งผู้อำนวยการที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พอใจกับข้อตกลงของหมอเรย์เช่นกัน

เนื่องจากแผนกฉุกเฉินได้ตัดสินใจที่จะให้คำปรึกษาร่วมด้วย พวกเขาจึงเริ่มดำเนินการตรวจเทียนฉี

แม้ว่าจะไม่มีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่พวกเขาสามารถทำการรักษาฉุกเฉินเช่นเดียวกับในภาพยนตร์ให้กับผู้อำนวยการได้เห็น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายขนาดนั้น

เนื่องจากผู้อำนวยการมีตำแหน่งสูงในโรงพยาบาล พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือคิดเกี่ยวกับวิธีที่แพทย์ของแผนกศัลยกรรมทั่วไป ดังนั้นทางแผนกฉุกเฉินจะต้องแบ่งปันความผิดชอบครั้งนี้เช่นกัน แม้ว่าผู้อำนวยการเหล่านี้จะเห็นหรือคิดเกี่ยวกับมันพวกเขาก็จะแกล้งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แพทย์อาวุโสซึ่งอยู่ในวัยสี่สิบก็เดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น

แพทย์ที่เป็นหัวหน้าแพทย์และรองหัวหน้าแพทย์ที่มาจากแผนกฉุกเฉิจะรู้สึกเขินอาย ในความเป็นจริงที่ปรึกษาที่ได้รับเชิญจากแผนกฉุกเฉินมักจะเป็นแพทย์ประจำบ้าน บางครั้งพวกเขาจะส่งแพทย์ที่ไม่เคยผ่าตัดใด ๆ มาในเวลานั้น และแพทย์อาวุโสที่ซึ่งกำลังจะได้รับการประเมินสำหรับการได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าแพทย์มักจะไม่ใช้เวลาในการใปรึกษาหารือที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรเพื่อพยายามยืดเวลาให้นานที่สุดก่อนวินิจฉัยเคสต่างๆ

มันเหมือนกับว่ากองทัพจะระดมกองกำลังอยู่ในตอนนี้ มันอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาที่จะเข้าเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนของศัตรู ถ้าพวกเขาไม่มีกองทหารม้าและหน่วยลาดตระเวณอยู่ข้างหน้าในตอนนี้

ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันนั้นก็เหมือนกัน แพทย์อาวุโสที่มาพร้อมกับความหวังในการจะโชว์ทักษะของเขาทั้งหมดเพื่อให้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในโรงพยาบาลและผจะสามารถดึงดูดผู้ป่วยให้มารักษากับเขาได้ แต่หลังจากที่เขาถามหมอเรย์ซ้ำ ๆ เกี่ยวกับผู้ป่วยใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและมันก็เป็นสีเหลืองหมักที่แสดงถึงความสิ้นหวัง กับสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ในตอนแรก

“อย่างงั้นไปตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์ก่อนล่ะกัน” แพทย์จากแผนกศัลยกรรมทั่วไปพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

เขาเป็นหมอจากแผนกศัลยกรรมทั่วไปที่เชียวชาญด้านพยาธิวิทยาและเชียวชาญในการตรวจอุจจาระ หากผู้ป่วยที่มีอาการป่วยจากการรับประทานอาหาร สาเหตุส่วนอาจจะเกิดจากท้องอืดอและอาหารไม่ย่อยกลายเป็นอุจจาร ะดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ในความเชี่ยวชาญของเขา หากอาหารเริ่มมีรูปร่างคล้ายอุจจาระพวกเขาก็จะสวนทวารออกมารวจแต่อย่างไรก็ดีแผนกศัลยกรรมทั่วไป ก็ไม่ได้เชียวชาญเรื่องพวกนี้ทุกคน …

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพูดอะไรเพิ่มเติม

แพทย์ที่อยู่บริเวณนั้นมองไปที่หมอเรย์ด้วยใบหน้าที่มืดมนและถามว่า “คุณนำเธอไปสแกนแล้วหรือยัง?”

จริงๆแล้วเขาต้องการถามว่า “ทำไมคุณถึงเลือกแผนกเราให้มาให้คำปรึกษาร่วม ?”

หมอเรย์ยิ้มขึ้นมา “อัลตร้าซาวด์เปิดอยู่ แต่เรายังไม่ได้พาเธอไปแสกนเลย”

“อย่างงั้นก็พาเธอไปแสกน” แพทย์อาวุโสที่จากแผนกศัลยกรรมทั่วไปถอนหายใจก่อนที่เขาจะขอให้ใครสักคนนำเครื่องสแกนอัลตร้าซาวด์แบบพกพามาให้พวกเขา

ในขณะนั้นผู้ช่วยของเทียนฉีพุ่งตัวออกมาและพูดอย่างสุภาพ “เราขอให้หมอผู้หญิงเป็นคนทำอัลตราซาวด์ได้หรือไม่?“

“เพราะมันต้องมีการเปิดหน้าท้อง ในการทำอัลตร้าซาวด์ไม่ใช่รึยังไง” แพทย์จากแผนกศัลยกรรมทั่วไปหยักคิ้วก่อนที่จะเครื่องอัลตร้าซาวด์ลง “ฉันต้องอัลตร้าซาวด์ด้วยตัวเองก่อนที่จะวินิจฉันใดๆได้ … ” เขากล่าว

“แค่ให้หมอหญิงทำอัลตร้าซาวด์ให้แล้วคุณก็วิเคราะห์ผลลัพธ์สุดท้ายได้ไม่ใช่หรือยัง ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับการอ่าน อัลตร้าซาวด์เราสามารถติดต่อแพทย์ส่วนตัวของเราได้และให้เขาดูก่อนที่เราจะแจ้งให้คุณทราบผลลัพธ์ของการแสกน ” ผู้ช่วยของเทียนฉีเธอนั้นผู้หญิงที่มีความสามารถ เธอมีอายุสามสิบปีแต่จากรูปลักษณ์ของเธอเธอดูเหมือนผู้หญิงที่เนียบมาก ท่าทางของเธอดูดุดันมากจนเธอสามารถควบคุมแพทย์จากแผนกศัลยกรรมทั่วไปไว้โดยใช้คำพูดไม่กี่คำเท่านั้น

“อย่างงั้นเดียวผมจะหาหมอหญิงมาให้คุณล่ะกัน” แพทย์ชายจากแผนกศัลยกรรมทั่วไปในตอนนั้นก็ถอยออกไปทั้งหมด

“ขอบคุณ” เทียนฉีตอบอย่างสุภาพ หมอชายจากแผนกศัลยกรรมทั่วไปบางคนรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำอัลตร้าซาวด์ให้กับเธอ

“อย่างงั้นฉันทำการเย็บแผลให้คุณก่อนล่ะกัน” หลิงรันไม่ต้องการให้เวลานั้นเสียเปล่าไป เขาต้องการทำงานให้เสร็จและกลับบ้าน

เทียนฉีจึงยกนิ้วของเธอให้หลิงรัน และดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขที่หลิงรันจะเย็บแผลให้เธอ

เธอมีนิ้วที่ยาวและเรียงตัวสวยมาก ข้อนิ้วของเธอดูเท่ากัน แต่มีรอยแตกเล็ก ๆ บนนิ้วชี้ซ้ายของเธอและผิวหนังก็มีรอยฉีกเล็กน้อย

หลิงรันจับปลายนิ้วของเธอและพลิกมันเบา ๆ

“ คุณช่วยเย็บแผลให้ดีด้วยและขออย่าให้มีรอยแผลเป็นใดๆทิ้งไว้ด้วย ” ผู้ช่วยหญิงพูดอย่างเป็นห่วง

เทียนฉียกศีรษะของเธอแล้วพูดว่า “พี่สาวต้ามั่นใจในตัวของหมอหลิงเถอะ”

ผู้ช่วยหญิงเข้ายืนตรงและทำท่าทางรับทราบก่อนที่เธอจะเดินถอยหลังไป จากนั้นเธอก็เดินออกไปจากห้องปฏิบัติการทันทีเพื่อตามหาผู้อำนวยการของโรงพยาบาลหยุนหัว

ไม่นานหลังจากนั้นกลุ่มของเจ้าหน้าโรงพยาบาลหยุนหัวรวมถึงผู้อำหนวยการฮวงและผู้อำนวยการฝ่ายหลี่ และผู้อำนวยการบางส่วนของแผนกก็เข้ามาเยี่ยมเธอ

หลิงรันเองก็ไม่ได้สนใจพวกเขา เขาก็ตั้งใจเย็บแผลของเทียนฉีต่อไป

เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนมายืนมุงดูเขาทำการผ่าตัด

สำหรับเขานั้นมีหลายวิธีที่จะเย็บนิ้วของเธอ

เทียนฉีมองไปที่หน้าที่จริงจังของหลิงรัน เมื่อเธอเห็นว่าเขาดูนิ่งมาก เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เธอรู้สึกมีความสุขมาก ในความคิดของเธอเธอทำให้เธอนึกถึงคำชมทั้งหมดที่ชาวจีนโบราณใช้ต่อสุภาพบุรุษที่ดูดี: ผู้ชายร่าเริงหล่อเหลาและสง่างามและมีความสามารถเช่นนี้ …

“มันจบแล้ว.” หลิงรันตรวจรอยประสานเล็กน้อยก่อนที่เขาจะออกจากจุดนั้นและให้คนอื่นสวมเสื้อให้ จากนั้นเขาก็หันไปทางด้านซ้าย และเขยิบตัวออกไป