ตอนที่ 190 วิธีการต่อสู้ธรรมดา (2)
ในลานเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วลืมตาขึ้นและโค้งคำนับให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก่อนจะยืนอยู่ข้างหลังเขาอีกครั้ง
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยังคงคิดถึงการกระทำของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่อยู่…
เขาเข้าใจในสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วสั่งให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กระทำ มันเป็นเพียงวิธีการจัดการกับวิญญาณที่เหลืออยู่เท่านั้น
มันก็แค่…
“ฉางโช่ว เจ้าทำได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ หรือว่าเจ้ามักจะต่อสู้กับผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง?”
หลี่ฉางโซ่วตอบอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์ฝึกบำเพ็ญบนภูเขาตลอดทั้งปี หาได้ไปมาที่ใดบ่อยๆ ไม่ขอรับ และก็ไม่เคยคิดจะสร้างความขุ่นเคืองกับผู้ใด แต่เป็นเพราะโลกบรรพกาลนั้นอันตราย หากศิษย์เดินไปรอบ ๆ และเข้าไปในเมืองเพื่อเก็บสมุนไพร ก็คงตกเป็นเป้าหมายของผู้ทรงพลังด้วยเช่นกัน ศิษย์จึงรู้สึกอย่างมากว่า การฝึกฝนย่อมทำให้สมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นเพื่อจะกำจัดศัตรูได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกลอบโจมตีและไม่ทิ้งปัญหาใดๆ เอาไว้ในอนาคต ศิษย์จึงมักจะฝึกวิธีการต่อสู้หลายขั้นตอนซ้ำๆ จนชิน แต่ความจริงแล้ว เมื่อครู่นี้ ยังรีบร้อนไปสักหน่อย จึงทำให้ข้ามขั้นตอนไปบ้างขอรับ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยิ้มและกล่าวว่า “หากเจ้าอยากพูดเรื่องนั้น ข้าก็สนใจอยู่ แล้วเจ้าข้าม ขั้นตอนใดไปบ้างเล่า?”
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดดูบางสิ่งที่ศิษย์กำลังคิดอยู่ขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วหยิบจานเวทค่ายกลขนาดเล็กออกมาและมีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สองสามตัวกำลังร้องไห้และบรรเลงเพลงเศร้า
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเงียบงัน…
แล้วตัดสินใจทันทีว่า เด็กคนนี้ต้องเป็นศิษย์น้องของข้า!
หลังจากนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์บอกว่า มันมาจาก ‘พระบัญชาของฝ่าบาท’? เหตุใดจึงไม่บอกตรงๆ ให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็น ‘ฝ่าบาท องค์เง็กเซียน’?
“ต้องขอบคุณที่ท่านเอ่ยถามศิษย์ขอรับ ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่… ศิษย์เพียงรู้สึกว่า หากกล่าวว่าเป็นองค์เง็กเซียนตรงๆ ก็จะทำให้เผ่ามังกรระวังตัว จึงคิดว่าย่อมจะดีกว่าหากใช้คำว่า ‘ฝ่าบาท’ เพื่อเปิดช่องให้เผ่ามังกรคาดเดาว่าเป็นผู้ใด อีกทั้งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่นี้ก็มีลักษณะเหมือนมนุษย์และมีกลิ่นอายลมปราณของมนุษย์ที่มีชีวิต เมื่อไม่มีผู้ทรงพลังสูงสุดเฉกเช่นท่านอยู่ที่นี่ จึงยากยิ่งนักที่จะมีผู้ใดรู้ว่า พวกมันเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ในโลกบรรพกาลนี้ นอกจากเผ่ามังกรแล้ว ก็มีน้อยคนนักที่ใช้คำว่า ‘ฝ่าบาท’ และนี่ย่อมจะช่วยให้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์เพียงพอและลดความระวังตัวกับองค์เง็กเซียนได้ขอรับ”
“อืม ตอบได้ดี” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูหรี่ตาแล้วหัวเราะ “ข้าประทับใจนัก”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก ศิษย์สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินต้องไม่ตื่นตูม ไม่เอะอะ
ในขณะนั้นบรรดาปรมาจารย์เผ่าทะเลที่ปกป้องอ๋าวอี่รีบมุ่งหน้าไปที่ปราการค่ายกลเวทที่ชายขอบเมือง
แต่เมืองเงือกนี้ถูกค่ายกลเวทห่อหุ้มเอาไว้หลายชั้น ทำให้ออกไปไม่ได้ และพวกเขาก็ไม่อาจเปิดปราการค่ายกลเวทได้ด้วยพลังของพวกเขา
หลี่ฉางโซ่วเข้าใจว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไม่รีบร้อนที่จะช่วยโจมตี ความจริงแล้ว หากพวกเขาสามารถรับมือและอยู่รอด รอจนกว่าปรมาจารย์เผ่ามังกรจะมาถึงได้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็จะไม่ปรากฏตัว
สัตว์ทะเลส่วนใหญ่มีสติปัญญาต่ำกว่าสิ่งมีชีวิตบนบก
และชนเผ่าทะเลส่วนใหญ่… กลัวความลำบากในขณะที่การยิ้มก็หาใช่วิธีแก้ปัญหาไม่
ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงพุ่งชน ไปข้างหน้าไม่หยุดจนเหล่าองครักษ์ที่คุ้มกันอ๋าวอี่อยู่รอบๆ ลดหายไปสิบกว่าคน ซึ่งทำให้หลี่ฉางโซ่วต้องส่ายศีรษะ…
เมื่อถึงยามคับขัน เผ่าทะเลกลับพึ่งพาไม่ได้ ช่างไร้ประโยชน์นัก
ครั้นกองทัพกบฏกลุ่มที่สองเข้าปิดล้อมพวกของอ๋าวอี่อีกครั้ง อ๋าวอี่ก็ยังคงคุ้มครององค์หญิงเงือกน้อยขณะที่มองไปรอบๆ อย่างเดือดดาล
นี่หาใช่เป็นเพราะ อ๋าวอี่ชื่นชมความงามขององค์หญิงน้อยผู้นี้ไม่
ทว่าในฐานะองค์ชายรองแห่งวังมังกร อ๋าวอี่จึงกลัวว่า หากมีอันใดเกิดขึ้นกับองค์หญิงน้อยแห่งเผ่าเงือก ก็จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าเงือกและเผ่ามังกร
ในยามนี้ ทั่วทั้งสี่คาบมหาสมุทรล้วนมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย และเผ่าเงือกก็เป็นพันธมิตรที่สำคัญของเผ่ามังกร หากให้เขากับองค์หญิงน้อยแต่งงานกันเพื่อให้เผ่ามังกรได้รับการสนับสนุนจากเผ่าเงือกอย่างเต็มที่และปราบปรามพวกกบฏได้ เขาก็จะยอมตกลงอย่างไม่ลังเลใจใดๆ เลย
เมื่อเห็นว่า อ๋าวอี่ประสบปัญหาและตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่ของหลี่ฉางโซ่วก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งเช่นกัน
แต่เมื่อตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่ลงมือจัดการเฉกเช่นในคราแรกอีก เหล่ากบฏกลุ่มเล็กๆ นี้ก็กลายเป็นเถ้าถ่านเหมือนเดิม…
ทว่าปัญหาวุ่นวายหาได้จบสิ้นเพียงแค่นั้น
เป้าหมายหลักของกลุ่มกบฏคือ มาจัดการอ๋าวอี่ ทว่าเมื่อพวกเขาล้มเหลว ไม่อาจโจมตีและเอาชนะอ๋าวอี่ได้ถึงสองครั้งติดต่อกัน ผู้ที่แอบอยู่เบื้องหลังในการส่งกองกำลังมาจึงต้องปรับความคิดของเขาทันที
ในวัง ขณะนี้ ผู้อาวุโสหัวมังกรกำลังต่อสู้อย่างเต็มกำลัง บางครั้ง เขาก็แปลงร่างเป็นมังกร และบางครั้งก็กลับมาเป็นร่างมนุษย์ ไม่เพียงแต่เขาจะถูกรุมล้อมโจมตีเท่านั้น แต่เขายังต้องเหนี่ยวรั้งพวกกบฏเซียนจินสองสามคนในกองทัพกบฏเอาไว้ให้มาต่อสู้กับเขาอีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้อาวุโสหัวมังกรเพียงต้องการจะยื้อเวลาเอาไว้ รอจนกว่าเหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรจะรีบรุดมาช่วย เช่นนั้นแล้ว ย่อมนับได้ว่าพวกเขาคว้าชัยในการต่อสู้ครั้งนี้ได้
ทว่า จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งในเหล่าเซียนจินสองสามคนในกองทัพกบฏนั้น แยกออกมาจากการโจมตีผู้อาวุโสหัวมังกรแล้วหันไปพุ่งโจมตีอ๋าวอี่แทน
ผู้อาวุโสหัวมังกรเดือดจัดฉับพลัน กลายร่างเป็นมังกรครามยาวพันจั้งจนทำให้พระราชวังแสนวิจิตรงดงามนั้นถล่มลงในทันที!
มังกรเฒ่าต้องการจะไล่ตามเซียนจินจากกองทัพกบฏผู้นั้นไปในทันที แต่ก็ถูกปรมาจารย์คนอื่น ๆ ในกองทัพกบฏใช้พลังเวทเข้าขัดขวางเขาเอาไว้!
ในเวลานั้น อ๋าวอี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเซียนจินที่พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจเบา ๆ ขณะที่ดวงตายังเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น จากนั้น เขาก็ผลักองค์หญิงเงือกน้อยในอ้อมแขนของเขาออกไปแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที!
เขากระตุ้นกฎ และตั้งมั่นสมาธิ!
อ๋าวอี่ต้องการประจันบานกับเซียนจินผู้นี้ให้แหลกลาญ!
ในลานบ้านยามนี้ แม้หลี่ฉางโซ่วอยากสบถด่ารองเจ้าสำนักของเขาที่เลือดร้อน แต่การพุ่งออกไปต่อสู้กับศัตรูที่เป็นถึงเซียนจินนั้น ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับอ๋าวอี่
นับได้ว่าเขาเป็นเจี้ยงไช่[1]…แค่กๆ เจี้ยงไฉ[2]
“ฉางโซ่ว” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เซียนจินผู้นั้นยังมีรากฐานไม่มั่นคงและไม่แข็งแกร่งนัก ดูเหมือนว่า จะอาศัยการยืมฐานพลังปราณมา เจ้าอาจลองดูว่าจะสามารถจัดการกับเขาได้หรือไม่”
ดูเหมือนว่าเซียนจินเช่นนี้ จะคล้ายกับผู้บำเพ็ญของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยที่โจมตีพวกเขาที่สำนักตู้เซียนในอดีต…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่น่าจะอยากทดสอบพลังของข้าว่ามีขีดจำกัดสูงสุดเพียงใด
หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์ยินดีจะลองดู แต่ขอให้ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่โปรดคอยระวังให้ศิษย์ด้วยขอรับ”
“ได้” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วชี้ไปที่หลี่ฉางโซ่ว
ทันใดนั้น ก็มีแสงเซียนก่อตัวขึ้นเป็นภาพเจดีย์บนหลังหลี่ฉางโซ่ว
จากนั้นก็มีอักขระเต๋าลึกลับเป็นดั่งเกราะปกป้องร่างปราณวิญญาณของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้โดยตรง แล้วหายเข้าไปในร่างของหลี่ฉางโซ่วอย่างรวดเร็ว…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นสมบัติสายป้องกันที่ล้ำค่า ข้าจะให้เจ้ายืมใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของเจดีย์วิจิตรเทียนตี้เสวียนหวงครึ่งชั่วยาม หากเจ้ามีสมบัติวิญญาณเซียนเทียนอยู่ในมือ เซียนต้าหลัวจินก็จะทำร้ายเจ้าไม่ได้ ”
หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่ดวงตาดูมีอารมณ์ซับซ้อนพร้อมกับแอบบ่นพึมพำในใจ
ไยแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้นเล่า!?!
ทำเหมือนเป็นของทดลองใช้เล่นๆ ! ทั้งที่เป็นสมบัติสายป้องกันแท้จริง!
กลับมาที่เรื่องจริงจังได้แล้ว
หลี่ฉางโซ่วควบคุมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่ให้รีบไปหาอ๋าวอี่ หญิงชรายับยั้งอ๋าวอี่เอาไว้ไม่ให้ไปจัดการกับศัตรูในทันทีขณะที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อีกสามตัวก็พุ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยอ๋าวอี่ต่อสู้ลุยแทน พวกมันแต่ละตัวล้วนนำค่ายกลขนาดเล็กพอๆ กับกระดานหมากรุกออกมา แล้วโยนมันออกไปที่ด้านหน้าทันที
ณ ลานที่อยู่ ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็เดินไปที่ด้านข้างของหลี่ฉางโซ่วด้วยความสงสัย แล้วเอียงศีรษะเพื่อดูการกระทำของเขา…
หลี่ฉางโซ่วเอามือลูบใบหน้า เพื่อปรับเปลี่ยนใบหน้าของเขาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหน้ากากบางๆ ชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแปลงร่างเป็นชายวัยกลางคน
เขาใช้วิธีแปลงร่างเพื่อปรับร่างกายและใบหน้าของเขาเพิ่มเติม
แน่นอนว่ามันจะยิ่งดีกว่า หากมีภาพลวงตาสักหน่อย
เขาเสร็จกระบวนการปรับเปลี่ยนรูปร่างและใบหน้าทั้งหมดนั้นในพริบตา จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ใช้มือซ้ายถือพู่กันพิพากษาจำลองเอาไว้และห้อยถุงเก็บสมบัติซึ่งบรรจุโอสถพิษระดับโอสถวิญญาณที่รู้จักกันในชื่อ โอสถเพลิงหัวใจจำนวนสองเม็ดเอาไว้ที่เอวในขณะที่มือขวาของเขาก็ถือยันต์สีทองสองแผ่นเอาไว้
บัดนี้ ถุงเก็บสมบัติสิบสองใบที่เย็บติดในแขนเสื้อของเขาได้เปิดออกเล็กน้อยแล้ว…
ในการจัดการ ‘เซียนจินปลอม’ เช่นนี้ ต่อให้เขามีหกเหลี่ยมกักโลหิตที่ทำให้เลือดไม่ลดลง ซึ่งสามารถรับรองความปลอดภัยของเขาได้ก็ตาม แต่มันก็รับมือได้ไม่ง่ายเลย เพราะคู่ต่อสู้อยู่ในขอบเขตนั้นและเป็นไปได้มากว่าจะมีผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินคอยควบคุมเซียนจินปลอมมาจากระยะไกล
เฮ้อ ข้าคิดว่าครั้งนี้… คงต้องเปิดเผยไพ่ตายมากกว่าหนึ่งในห้าส่วนในระหว่างการต่อสู้เสียแล้ว
………………………………………………………………
[1] ผักดอง เป็นสแลง หมายถึงผู้อ่อนด้อย อ่อนแอ
[2] ผู้เก่งกาจมีพรสวรรค์ หรืออัจฉริยะ