ตอนที่ 302 เกินกำหนดแล้ว
หลังจากหลินเว่ยเว่ยทำให้องค์ชายเจ็ดเสด็จจากไปพร้อมความโมโหแล้ว นางก็กลับมาหามารดาที่รีบยกมือตีสองสามครั้งทันที “เจ้านี่นะ ! จะเล่นก็ไม่ดูสถานการณ์ ไม่ดูฐานะของอีกฝ่ายบ้าง ถ้าองค์ชายเจ็ดลงโทษเจ้าฐานดูหมิ่นเบื้องสูงขึ้นมาจริง ๆ เจ้าจะให้แม่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ? ”
“องค์ชายเจ็ดไม่ใช่ผู้ที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงราษฎร พระองค์ก็แค่ข่มขู่ข้าเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ! ” แต่แล้วทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เกิดความรู้สึกน้อยใจ นางเข้าไปกอดแขนมารดาแล้วมุ่ยปากพลางกล่าวว่า “องค์ชายเจ็ดตรัสว่าข้าไม่คู่ควรกับบัณฑิตน้อย ข้าแย่ถึงเพียงนั้นจริงหรือเจ้าคะ ? ”
เมื่อนางเฝิงได้ยินแล้วก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด “เหลวไหล ! เว่ยเว่ยของบ้านเราฉลาด ใจดี เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ขยันอดทน แล้วหานเอ๋อร์มีสิ่งใดบ้าง ? มีแค่หน้าตาดี จะมีประโยชน์อันใด ? ”
เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก
ท่านแม่ขอรับ ท่านปลอบใจคนอื่นแต่กลับมาทำร้ายบุตรแท้ ๆ เสียได้ ! การที่ข้าหน้าตาดีถือเป็นความผิดของข้าหรือ ?
ป้ากุ้ยฮวาก็เข้ามาพูดปลอบ “เสี่ยวเว่ย อย่าไปฟังถ้อยคำเหลวไหลของผู้อื่น พวกเขาเข้าใจเจ้าเหมือนพวกเราเสียที่ไหนกันเล่า ? ในสายตาของข้า เห็นเจ้ากับบัณฑิตเจียงเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกแน่นอน ! ”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ! พี่รองเก่งกาจที่สุดของที่สุดในใจข้า ! ” เจ้าหนูน้อยเพิ่งกล่าวจบ สหายของเขาก็เริ่มออกความเห็นตามมาทันที บรรยายกาศที่เงียบเหงาเมื่อครู่จึงกลับมาคึกคักอีกครา
องค์ชายเจ็ดยังเสด็จออกไปไม่ไกลนัก พระองค์จึงหันกลับมาทอดพระเนตร พอเด็กคนนั้นแสดงสีหน้าเสียใจก็มีคนเข้ามาล้อมรอบนางไม่น้อย ดูท่าทางแล้วกำลังปลอบใจนางอยู่…เด็กปากร้ายมีคนรักมากมายใช้ได้ !
เมื่อถึงเวลารับอาหารบรรเทาทุกข์ของหมู่บ้านฉือหลี่โกว คนที่ต่อแถวอยู่ทางนั้นก็ตะโกนเรียกเสียงดัง พวกผู้ชาย ผู้หญิง เด็กและคนแก่ชาวฉือหลี่โกวจึงพากันไปต่อแถว การแจกจ่ายยังยึดตามหลักผู้ใหญ่ได้ข้าวสาร 20 ชั่ง ส่วนเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบจะถูกลดลงมาครึ่งหนึ่ง
เสี่ยวร่างต่อแถวด้วยความรู้สึกประหม่า แม้ทะเบียนบ้านของตนจะย้ายมาอยู่ในตระกูลหลินแล้ว ทว่ายังอยู่ในฐานะบ่าวรับใช้ จึงไม่รู้ว่าจะได้รับข้าวสารเหมือนคนอื่นหรือเปล่า
ในที่สุดก็มาถึงคราวบ้านตระกูลหลิน เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยซึ่งรับหน้าที่ชั่งน้ำหนักข้าวสารก็ทราบมาว่าตระกูลหลินแห่งหมู่บ้านฉือหลี่โกวเคยช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อเอาไว้ เมื่อครู่องค์ชายเจ็ดยังเสด็จเข้าไปสนทนากับคนตระกูลหลินอย่าง ‘สนิทสนม’ จึงเป็นธรรมดาที่ตอนชั่งข้าวสารจะมีความผ่อนปรนกว่าบ้านอื่นมาก
“บ้านตระกูลหลิน 6 คน ทั้งหมด 120 ชั่ง ! ” ตอนเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยชั่งน้ำหนัก ของส่วนใหญ่เป็นข้าวสารชั้นดี ธัญพืชหยาบก็เลือกเป็นข้าวโพด หลังชั่งน้ำหนักเสร็จแล้วยังเติมข้าวสารเพิ่มลงในกระสอบอีกครึ่งถัง
หลินเว่ยเว่ยเห็นกับตาตัวเอง นางจึงยัดห่อกระดาษน้ำมันใส่มือเจ้าหนูน้อยแล้วกระซิบบอกเขาสองสามประโยค เจ้าหนูน้อยจึงรีบเบียดตัวเข้าไปแล้วยื่นห่อกระดาษใส่มือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยทันที “พี่ชายลำบากแล้ว นี่เป็นของที่บ้านข้าทำเอง พี่ชายอย่ารังเกียจเลยขอรับ ! ”
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคิดว่าเป็นอาหารแห้งที่เด็กน้อยพกติดตัวมากินจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง เขาก็แกะห่อกระดาษออกดู ทันใดนั้นจึงพบว่าด้านในเป็นเนื้อหมูป่าแผ่นที่มีราคาถึงชั่งละ 1 ตำลึง เขาลองชั่งน้ำหนักด้วยมือ อย่างน้อยมันก็มีน้ำหนักประมาณครึ่งชั่งได้เลย !
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยรีบหันไปมองโดยรอบ จากนั้นก็หยิบเนื้อแผ่นออกมาประมาณสองสามแผ่นแล้วกินคู่กับอาหารกลางวันที่ตนนำมาด้วยอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนที่เหลือนั้นเขาห่อกลับตามเดิมอย่างระมัดระวังเพื่อนำกลับไปแบ่งปันให้น้องชายและน้องสาวที่บ้านได้ลองชิม เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยในเขตเริ่นอัน ไฉนเลยจะมีเงินเหลือซื้ออาหารของคนรวยเหล่านี้ ?
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยมองไปทางคนบ้านตระกูลหลิน พวกนางมารับข้าวสารร้อยกว่าชั่งแต่นำเกวียนมาถึง 4 คัน เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อช่วยชาวบ้านคนอื่นขนข้าว มองบรรยากาศของชาวบ้านฉือหลี่โกวแล้วคนทั้งหมู่บ้านมีความสุขสนุกสนาน พอหันไปมองหมู่บ้านอื่น หลังได้รับข้าวสารแล้วก็ทั้งดีใจและหวาดกลัว แทบอยากจะซ่อนข้าวสารไม่ให้คนอื่นเห็น…ช่างแตกต่าง ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน !
หลังจากชาวบ้านฉือหลี่โกวรับข้าวสารเสร็จแล้ว ผู้ที่ไม่มีเกวียนหรือรถลากช่วยขน ถ้าไม่ใช้ร่วมกับบ้านอื่นก็มาวางบนเกวียนบ้านตระกูลหลิน หลินเว่ยเว่ยเห็นเกวียนทั้ง 4 คันของบ้านตนยังไม่เต็ม นางจึงถามบ้านสองสามหลังที่ได้ข้าวสารไม่มากสักเท่าไรว่า “ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อข้าวสารราคาถูก พวกท่านจะไปด้วยกันหรือไม่ ? ”
หลายสิบครอบครัวต้องการที่จะเข้าเมืองไปดูราคาข้าว แต่ในเมืองมีกฎใหม่คือต้องใช้ทะเบียนบ้านเพื่อผ่านเข้าเมืองและในหนึ่งครอบครัวจะเข้าได้มากสุดแค่ 2 คนเท่านั้น
เจ้าหนูน้อยได้สิทธิ์เข้าเมืองกับพี่รอง เขาจึงหันไปอวดสหายด้วยความดีใจ ครอบครัวอื่นเข้าเมืองเพื่อซื้อข้าวและขนข้าวจึงเป็นธรรมดาที่จะพาเด็กเล็กไปด้วยไม่ได้ พวกวังตงเฉียงจึงได้แต่อิจฉา
เจ้าหนูน้อยตบกระเป๋าเงินของตน “ข้าเอาเงินติดตัวไปด้วย ประเดี๋ยวจะซื้อซาลาเปาไส้เนื้อให้พวกเจ้า มันอร่อยมากเลย ! ”
เสี่ยวร่างไม่เคยได้เข้าเมืองมาก่อน ตอนที่อยู่ใกล้ตัวเมืองที่สุดก็คือตอนที่เขามาเป็นขอทานอยู่แถวหน้าประตูเมือง ได้แต่นั่งมองเด็กคนอื่นถูกผู้ใหญ่ในบ้านพาเข้าไปเดินเล่นในเมืองตาปริบ ๆ ไฉนเลยขอทานอย่างเขาจะมีสิทธิ์เข้าเมือง ?
หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นแววตาเศร้าหมองของเด็กน้อยจึงก้มหน้าถาม “เสี่ยวร่างอยากไปด้วยกันหรือไม่ ? ”
เสี่ยวร่างกัดริมฝีปากแล้วหันไปมองเจ้าหนูน้อยที่สัญญาว่าจะซื้อซาลาเปาไส้เนื้อให้ทุกคนจึงส่ายหน้าเบา ๆ “บ่าวไม่ไปขอรับ ให้นายน้อยไปเถิด ! ”
“บ้านของบัณฑิตน้อยมี 2 สิทธิ์ น้าเฝิงไม่ไป ดังนั้นยังไปได้อีกคน ! ” หลินเว่ยเว่ยลูบผมนุ่ม ๆ ของเจ้าตัวน้อยแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ไปได้หรือขอรับ ? บ่าวก็เข้าเมืองได้หรือ ? ” ทันใดนั้นดวงตาของเสี่ยวร่างก็ทอประกาย
หลินเว่ยเว่ยยิ้มและพยักหน้า “แน่นอน ถ้าเจ้าไม่ไป เช่นนั้นสิทธิ์ก็จะไม่เสียเปล่าหรือ ? ”
เจ้าหนูน้อยจึงรีบวิ่งเข้ามาจับมือเสี่ยวร่าง จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “เยี่ยมไปเลย เสี่ยวร่างก็เข้าเมืองได้ ! พวกเราไปซื้อถังหูลู่แล้วก็ของอร่อยเยอะ ๆ เลย ! ”
“รู้จักแต่กิน ! ” หลินเว่ยเว่ยตีศีรษะเจ้าหนูน้อยเบา ๆ
เจ้าหนูน้อยก้มมองเจ้าดำที่กำลังเดินวนรอบเท้าไปมา “ไปกันเถิด ! เข้าไปในตัวเมืองด้วยกัน ! ”
เข้าเมืองก็ต้องต่อแถวและยังต้องตรวจสอบทะเบียนบ้านอย่างเข้มงวด พอเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเห็นทะเบียนบ้านเป็นตระกูลหลินแห่งหมู่บ้านฉือหลี่โกว เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจทั้งสี่คนและยังมีลูกหมาอีกหนึ่งตัว
เจ้าหนูน้อยทำหน้าตาจริงจังเพราะกลัวว่าตนจะถูกคัดออก เจ้าหน้าที่เห็นเขามีหน้าตาน่ารักน่าชังจึงแกล้งหยอกว่า “พวกเจ้ามีจำนวนเกินกว่ากำหนดแล้ว”
เจ้าหนูน้อยรีบนับคนรอบตัวแล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “ไม่เกิน ทะเบียนบ้าน 2 ใบเข้าได้บ้านละ 2 คนก็ครบพอดีขอรับ ! ”
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองชี้ไปยังเจ้าดำที่อยู่ข้างเท้าของเขา “ใครบอกว่าพอดี นี่ไม่ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งหรอกหรือ ? ”
เจ้าหนูน้อยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นี่เป็นลูกหมาที่บ้านเราเลี้ยง ไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้าน…”
“ไม่อยู่ในทะเบียนบ้าน ? เช่นนั้นก็จัดการง่ายกว่าเดิม ! ไม่อยู่ในทะเบียนบ้านย่อมไม่สามารถปล่อยให้เข้าเมืองได้ ! ” เจ้าหน้าที่กลั้นหัวเราะแล้วทำหน้าไม่เห็นแก่ใครทั้งนั้น
เจ้าหนูน้อยรีบหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่รอง แต่ก็เห็นนางไม่มีทีท่าจะกล่าวสิ่งใดออกมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีคนพาไก่เข้าเมืองจึงรีบถามเจ้าหน้าที่ว่า “ไก่พวกนั้นก็ไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้าน เหตุใดพวกเขานำเข้าไปได้ แต่พวกเราไม่ได้ขอรับ ? ”
“พวกเขาเข้าเมืองไปขายไก่ หรือว่า…เจ้าจะขายลูกหมา ? ” เจ้าหน้าที่ประหลาดใจในความเฉลียวฉลาดของเขาจึงมองพร้อมรอยยิ้ม
เจ้าหนูน้อยหัวไวจึงรีบก้มตัวไปอุ้มเจ้าดำขึ้นมา “ใช่ขอรับ พวกเราจะเข้าเมืองไปขายลูกหมา ตอนนี้เข้าเมืองได้แล้วหรือยัง ? ”