ตอนที่ 194 ปรมาจารย์เต๋าน้อยพร้อมด้วยใบรับรอง (2)
“นี่…” หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญถึงถ้อยคำก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ศิษย์รู้สึกว่า การจะปลอมตัวเป็นผู้ใดนั้น ไม่ควรเป็นเพียงรูปกาย กลิ่นอายผิวเผินภายนอกเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงสายตา อารมณ์ อุปนิสัย ท่าทาง คำพูด การกระทำ และแม้แต่คำพูดที่มักกล่าวเป็นประจำก็ต้องทำให้แตกต่างออกไป เป็นการสร้างเอกลักษณ์และลักษณะให้ตัวตนของตัวปลอมเป็นที่จดจำเพื่อดึงดูดสายตาของศัตรูที่แข็งแกร่ง และเมื่อนั้น ศัตรูย่อมจะจดจำได้ ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์ใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์แปลงร่างเป็นหญิงชราและเรียกตัวเองว่าหญิงชรา เมื่อครู่ ศิษย์ได้ซ่อนร่างและกลิ่นอายลมปราณของตัวเองแล้วออกไปต่อสู้กับศัตรู ศิษย์ใช้ตัวตนของท่านปรมาจารย์เต๋าน้อยเสวียนตู ดังนั้นศิษย์จึงทำให้ตัวเองดูมั่นใจมากขึ้น ให้คำพูดและการกระทำดูเหมาะสม เหมือนกับเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ให้ดูหยิ่งยโสเล็กน้อย และขาดประสบการณ์สักหน่อย…” ทันใดนั้น ก็ดูท่าว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจะรู้แจ้ง เขามองไปที่หลี่ฉางโซ่วแล้วยิ้ม
“ข้ายังไม่ละเอียดเท่าเจ้า แต่หลังจากนี้ต่อไป ต้องเอาความคิดที่ละเอียดรอบคอบเยี่ยงนี้ไปใช้ในการหยั่งรู้เต๋าอันยิ่งใหญ่และเข้าใจธรรมชาติให้มากขึ้น อย่าได้มีเล่ห์เหลี่ยมคิดร้าย ไม่เช่นนั้น ท่านอาจารย์จะไม่ชอบ”
หลี่ฉางโซ่วมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมขณะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ศิษย์ขอน้อมรับและจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงก่นด่าสองสามคำดังขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายภายนอก
“อย่าให้พวกกบฏเหล่านี้หนีไปได้!”
“เผ่ามังกรกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หยุดพวกมันเอาไว้!”
ด้วยการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของปรมาจารย์เต๋าน้อยเสวียนตูและการที่เขาสังหารเซียนจินได้’อย่างง่ายดาย’ ทำให้พวกกบฏเผ่าทะเลลบล้างค่ายกลออกไปแล้วถอยทัพกลับไปในทะเลลึกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ กลุ่มของแม่ทัพทะเล ผู้คุ้มกัน และสาวใช้ที่ซ่อนตัวอยู่ในระหว่างการต่อสู้ที่วุ่นวายก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์และรีบไปหาอ๋าวอี่ที่มุมหนึ่งของเมือง
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว บรรดาแม่ทัพ เสนาบดี เหล่าผู้คุ้มกัน และสาวใช้ของเผ่าทะเลที่หลบซ่อนตัวอยู่ในระหว่างการต่อสู้ที่วุ่นวาย ก็ปรากฏกายขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์และรีบตรงไปหาอ๋าวอี่ซึ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของเมือง “อารักขาองค์ชาย! อารักขาองค์ชาย!”
“ฝ่าบาทอ๋าวอี่ พวกกระหม่อมมาช้า!” หลี่ฉางโซ่วเก็บตุ๊กตากระดาษมนุษย์ทั้งสี่กลับคืนมา และกวาดสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของอ๋าวอี่ในยามนี้ แต่แล้ว จู่ๆ เขาก็มีสีหน้า… แปลกไปเล็กน้อย…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยิ้มบางพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เราไปกันเถิด”
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของอ๋าวอี่ ไม่รู้ว่าจะขอให้ท่านอยู่ต่อไปอีกสักพักหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ปีศาจร้ายเหลี่ยมจัดนัก ศิษย์กังวลว่า ในเวลานี้จะมีคนทรยศเป็นสายให้พวกกบฏอยู่ที่นี่ขอรับ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงพยักหน้ารับพร้อมกล่าวว่า “ได้สิ”
ในขณะนั้น แม้ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะยินยอม แต่ก็ได้ให้คำถามอีกข้อหนึ่งเพื่อทดสอบหลี่ฉางโซ่วว่า หลี่ฉางโซ่วคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตอบโต้ต่อไปได้อย่างไร
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและใคร่ครวญถ้อยคำ เขากล่าวได้เพียงว่าเขาจะรอดูสถานการณ์ว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป แล้วค่อยตัดสินใจลงมือตอบโต้ไปตามนั้น และจะดูปฏิกิริยาที่แท้จริงของเผ่ามังกร ซึ่งในสถานการณ์ขั้นนี้ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
หากเผ่ามังกรเดาได้ว่า มีศาลสวรรค์ กำลังคอยช่วยเหลือและเกิดความประทับใจที่ดีต่อศาลสวรรค์ เช่นนั้นก็ปล่อยให้ดำเนินไปตามวิถีของมัน
แต่หากทำให้พวกเขาระแวงศาลสวรรค์ เขาก็สามารถอาศัยอ๋าวอี่เป็นตัวกลาง และวิธีการอื่น ๆ เพื่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกำจัดความระแวดระวังดังกล่าว…
คราวนี้เป็นสำนักบำเพ็ญประจิมที่ลงมือเคลื่อนไหวในขณะที่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมาช่วยขัดขวาง และทำลายแผนการของสำนักบำเพ็ญประจิมได้สำเร็จโดยที่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินไร้การสูญเสียใดๆ
นี่ล้วนเป็นเพราะการทุ่มเทความคิดอย่างมากของหลี่ฉางโซ่วจนทำให้ศาลสวรรค์รับรู้ถึงการดำรงอยู่และสนใจตัวตนของเขา หากทำให้เผ่ามังกรมองศาลสวรรค์ด้วยความรู้สึกดีและเป็นมิตรมากขึ้น เช่นนั้น ก็นับว่าศาลสวรรค์ได้รับผลประโยชน์เล็กน้อยแล้ว… “ฉางโซ่ว” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวชี้แนะว่า “หากเจ้าทำได้ดี ข้าเชื่อว่า เต๋าสวรรค์จะมอบบุญเป็นการตอบแทนให้เจ้ามากมายอย่างแน่นอน หากเจ้ามีบุญคุ้มกาย วิถีบำเพ็ญเพียรของเจ้าย่อมจะปลอดภัยยิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้ายังต้องตั้งใจทุ่มเทในเรื่องนี้ให้มากขึ้น แล้วเต๋าสวรรค์จะมอบบุญให้เจ้าเพิ่มขึ้น”
กล่าวจบ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็หยิบจี้หยกออกมาจากกระเป๋าหน้าอกของเขาก่อนจะกำมันแน่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจี้หยกก็ค่อยๆ ละลาย แล้วกลายเป็นแผ่นหยกสีเขียว ซึ่งมีตัวอักขระหนาหนักขนาดใหญ่ห้าตัวที่ดู มีชีวิตชีวา ทรงพลัง และวิจิตรงดงามดุจหงส์ร่อนมังกรรำ จารึกเอาไว้ที่ด้านหน้า อักขระเหล่านั้นคือ คำว่า ปรมาจารย์เต๋าน้อยเสวียนตู!”
ด้านหลังมีอักขระเป็นคำว่า ‘สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน’ และ ‘ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่’
สิ่งสำคัญที่สุดคือ แผ่นหยกนี้ มีเสี้ยวอักขระเต๋าของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูอยู่ด้วย
“หากสำนักบำเพ็ญประจิมสร้างปัญหาให้เจ้า เจ้าก็นำสิ่งนี้ออกไปให้พวกเขาดู” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวอย่างใจเย็นว่า “สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของเรามีคนไม่มาก อันที่จริงมีเพียงท่านอาจารย์ของข้าและข้าเท่านั้นที่รับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เจ้าไม่ต้องกลัวสำนักบำเพ็ญประจิม เมื่อเจ้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน ข้าจะพาเจ้าไปหาเหล่าจวิน[1]ที่วังดุสิตก่อน เมื่อถึงยามนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เย่อหยิ่งและหุนหันพลันแล่นไป แต่จงอดทนและให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ให้คงความสงบและนิ่งเฉยเป็นสำคัญอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นคำสอนของท่านอาจารย์ที่มีให้แก่บรรดาศิษย์ทุกคนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน”
หลี่ฉางโซ่วถือแผ่นหยกนั้นเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างและรู้สึกสบายใจขึ้นมาก จากนั้นจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ศิษย์จะไม่มีวันลืมคำสั่งสอนของท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ในวันนี้แม้แต่เพียงครึ่งคำอย่างแน่นอนขอรับ!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยกย่องหลี่ฉางโซ่วซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางยกมือขึ้นตบแขนของหลี่ฉางโซ่วในขณะที่ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดีและพึงพอใจ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องคำรามของมังกรดังขึ้นมาจากทะเล และมีมังกรครามหลายสิบตัวพุ่งลงไปในทะเลและว่ายตรงมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยความเร็วสูง
“ไปกันเถิด” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูโบกแขนเสื้อ จากนั้น ร่างของทั้งหลี่ฉางโซ่วและตัวของเขาเองก็กลายเป็นกลุ่มควันสองสาย พุ่งหายไปในทะเล
ตั้งแต่ต้นจนจบ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูไม่ได้เปิดเผยที่อยู่ที่นี่ของเขาแต่อย่างใดเลย
และบัดนี้ ชื่อของปรมาจารย์เต๋าน้อยเสวียนตูนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นชื่อที่แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกบรรพกาลด้วยเช่นกัน…
เมื่อปรมาจารย์เผ่ามังกรรีบรุดมาที่นี่ พวกเขาต่างก็จ้องตากันอย่างตะลึงงันในทันใด ขณะที่เห็นสถานที่แห่งนี้…
ผู้อาวุโสหัวมังกรกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าองค์ชายรองกำลังลำบากและเกรงว่าอาจจะมีการต่อสู้จลาจลวุ่นวายเกิดขึ้นที่นี่หรอกหรือ? แล้วนี่หรือ เหตุใด เหตุใด… ถึงเป็นเช่นนี้?”
“รีบไปหาองค์ชายรองเดี๋ยวนี้!”
“เอ่อ เราไม่ได้รบกวนพวกเขาใช่หรือไม่?”
“เฮ้! รีบวางข่ายอาคมด่วน! นี่เป็นพฤติกรรมบัดสีเยี่ยงใดกันของเผ่าทะเล!?! พวกเขาจะสอนเรื่องเลวร้ายให้ฝ่าบาท ไฉนพวกเขาถึงพาฝ่าบาทมาให้เสียคนเช่นนี้!?!”
ทันใดนั้น เหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรก็ได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกำลังไล่ล่ากองทัพกบฏที่หลบหนีไป ส่วนอีกกลุ่ม…ไปอารักขาองค์ชายรองของพวกเขา
ในครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่อาจแม้แต่จะอำลาปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ หลังจากล่องลอยอยู่ในท้องทะเลแล้ว เขาก็มาปรากฏตัวขึ้นใกล้กับจิ่วอู่และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ในขณะนี้ เขาอยู่ห่างจากตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่กำลังนั่งทำสมาธิไปเพียงไม่ถึงหนึ่งพันลี้
บัดนี้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จากไปแล้ว
หลี่ฉางโซ่ถอนหายใจเบาๆ แล้วมองดูแผ่นหยกในมือพร้อมด้วยรอยยิ้มสงบ
ได้ยันต์ช่วยชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว!
การสูญเสียจานเวทค่ายกลขนาดเล็กห้าสิบหกแผ่นไปนั้นนับว่าคุ้มค่าจริงๆ อืม แล้วข้าจะไปตามหาเผ่ามังกรผู้มั่งคั่งเพื่อให้พวกเขาชดใช้ในภายหลัง เช่นนั้นย่อมเป็นกำไรอย่างเดียวล้วนๆ…
สิ่งที่หลี่ฉางโซ่วไม่รู้ก็คือว่า ความจริงแล้ว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จากไปด้วยสาเหตุอื่น
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กลับมายังวังดุสิตแห่งศาลสวรรค์และไปยังที่ซึ่งไท่ซ่างเหล่าจวินเข้าปิดด่านอยู่เพื่อถามเหล่าจวินว่า มีพลังเวทสามสิบหกแห่งเทียนกังหรือไม่
ไท่ซ่างเหล่าจวินเป็นผู้อาวุโสสูงสุดเพียงใด? เขาสูงส่งขนาดเป็นร่างอวตารของจอมปราชญ์เทพหรือเทียบเท่าขึ้นเป็นกึ่งร่างจริงของจอมปราชญ์เทพ จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เก็บคัมภีร์พลังเวทระดับเหล่าเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเอาไว้
เพราะมันเป็นระดับต่ำเกินไป…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูโค้งคำนับและกล่าวคำอำลาก่อนจะแอบไปที่หอพระสูตรเต๋าของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและสำนักบำเพ็ญเซียนระดับใหญ่อื่นๆ อีกหลายแห่งเพื่อค้นหามันอย่างระมัดระวัง
‘มันเป็นเพียงพลังเวทสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ซึ่งช่วยให้เสี่ยวฉางโซ่วสามารถเล่นกลอุบายมากมาย ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าสหายผู้นี้จะสนุกได้มากมายเพียงใดเมื่อได้เรียนรู้เวท เช่น โยนถั่วเป็นทหาร เปลี่ยนหินเป็นเกราะ และเซียนสร้างเมฆ!’
ฮ่าๆๆ…
หลี่ฉางโซ่วผู้ซึ่งพยายามใช้ร่างจริงของเขาเข้าแทนที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ในขณะที่ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย เขาก็จามออกมาอย่างลึกลับ เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด และเริ่มวิเคราะห์ว่าเหตุใดถึงมีอาการเช่นนี้ เขากังวลว่าตัวตนของเขาในฐานะศิษย์ของสำนักตู้เซียนจะถูกเปิดเผยเสียแล้ว…
ครึ่งวันต่อมา ในวังที่งดงามหรูหรา กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยปะการังทุกหนทุกแห่ง และฟองสบู่ลอยเป็นฟองไปทั่ว
บนเตียงนอน ในขณะนี้ อ๋าวอี่ลืมตาขึ้นพร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววสับสน
เพดานที่ไม่คุ้นเคย…
กลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคย…
สตรีไม่คุ้นเคย…หือ? !
…………………………………………………………….
[1] หมายถึงไท่ซ่างเหล่าจวินหรือบรรพชนไท่ชิง ท่านอาจารย์ของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู