ตอนที่ 196 ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในทะเลลึก (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 196 ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในทะเลลึก (2)
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและพยักหน้า จากนั้นถอนหายใจเบาๆ และแนะนำว่า “ไปปลอบโยนองค์หญิงเผ่าเงือกก่อนเถิด ในเวลานี้ นางคงจะอับอายและทำอะไรไม่ถูกอย่างที่สุด เจ้าต้องเอาใจปลอบประโลมนาง หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะฟังเหล่าเซียนแสดงธรรมต่อ หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเผ่ามังกร อย่าลืมติดต่อข้าทันที เผ่ามังกรให้ความช่วยเหลือสำนักเทพทะเลทักษิณอย่างมาก แม้จะมีปรมาจารย์ในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินไม่มากนัก แต่ข้าก็ยังสามารถเชิญปรมาจารย์สักคนมาช่วยได้ ”

อ๋าวอี่ตกตะลึง และรีบโค้งคารวะเต๋าให้อีกครั้งก่อนจะหันศีรษะกลับแล้วออกจากความฝันไป

ก่อนจะออกจากความฝัน เขาก็ได้ยินศิษย์พี่เจ้าสำนักของเขาพึมพำเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจ …

“อา ข้าจะไปเอาวัตถุดิบในการปรับแต่งค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขาได้จากที่ใดกัน?”

ทันใดนั้น ดวงตาของอ๋าวอี่ก็เปล่งประกายขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ในใจ!

ในสถานที่จัดงานประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า ณ มุมหนึ่งในบริเวณที่นั่งของสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วลืมตาขึ้น ดวงตาของเขามีร่องรอยของความอับจนหนทางพร้อมด้วยความรู้สึกผิดต่ออ๋าวอี่เล็กน้อย แต่เขาก็ไร้หนทางอื่น เพราะอ๋าวอี่เป็นคนสำคัญในเรื่องที่เผ่ามังกรจะเข้าสู่สวรรค์ และเป็นที่แน่ชัดว่า ชีวิตและความปลอดภัยของเขาย่อมจะส่งผลกระทบต่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ต่อไป

รองเจ้าสำนักของข้าผู้นี้…

ในภายภาคหน้า ข้าควรจะเตือนเขาให้มากขึ้นกว่านี้เพื่อไม่ให้ไปถูกผู้ใดขายแล้วยังไปช่วยเขานับเงินอีก

เวลานี้ อ๋าวอี่จะต้องกำลังนับสมบัติให้ข้า ‘ศิษย์พี่เจ้าสำนัก’ ของเขา…

ในขณะเดียวกัน ในห้องนอนลับในวังของเมืองใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในทะเลลึกแห่งทะเลบูรพา

ค่ายกลเวทสมบัติ ข้าจะขอให้พระมารดาส่งของไปให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักสักหลายสิบกล่องในภายหลัง

อ๋าวอี่คิดเช่นนี้ แล้วก็พยายามตื่นขึ้นมาจากความฝันก่อนจะหันความสนใจไปที่เตียงนี้และวังแห่งนี้…แขนซ้ายของเขายังมีเส้นผมยาวสีฟ้าน้ำทะเลสองสามเส้นพัวพันอยู่ ครั้นเมื่อนึกถึงคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่ว อ๋าวอี่จึงลืมตาขึ้นและพยายามทำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดขณะกล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้า…”

“อา!”

ในขณะนั้น องค์หญิงน้อยแห่งเผ่าเงือกแกล้งทำเป็นหลับ นางดึงผ้าห่มขึ้นทันทีและไม่กล้าเงยหน้าให้อ๋าวอี่เห็น ทำให้อ๋าวอี่รู้สึกเสียสูญไปเล็กน้อย

หานจื่อหรือ?

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างจากทางด้านข้างขณะครุ่นคิดถึงชื่อนั้นอย่างถี่ถ้วน

เมื่อเขากลับมา ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย เขานำสัตว์ป่าสองสามตัวกลับมาให้สงหลิงลี่จัดการแปรรูปพวกมัน ในขณะนั้น สงหลิงลี่ก็กำลังแอบแทะพวกมัน

หลี่ฉางโซ่วเคยสังเกตเห็นชื่อหานจื่อมาก่อน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เขารู้สึกว่า นางค่อนข้างคล้ายกับเทพที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งในรายนามทะเบียนเทพ หานจื่อเซียน

ขณะที่อยู่บนสะพานกับเจตจำนงวิญญาณของอ๋าวอี่นั้น เมื่อได้ยินอ๋าวอี่พูดถึงชื่อ ‘หานจื่อ’ หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกเช่นนี้ในใจ

หรือหานจื่อจะเป็น ‘หานจื่อเซียน’ จริงๆ?

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยคิดถึงความเป็นไปได้นั้นมาก่อนหน้านี้ แต่ระดับฐานพลังปราณของหานจื่อต่ำเกินไป นางเป็นเพียงเซียนเสิ่นเท่านั้น แล้วจะไปมีมิตรภาพที่ดีกับเทพธิดาซานเซียวได้อย่างไร? หลี่ฉางโซ่วย่อมจำเซียนหานจื่อที่มีชื่อเสียงได้อย่างแน่นอน นางยังเป็นเทพธิดาตัวร้ายมาก…

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเขาสามารถยืนยันได้ว่า หานจื่อคือ ‘หานจื่อเซียน เขาก็จะแอบสังเกตดูเส้นทางการเติบโตของหานจื่ออย่างลับๆ และหยั่งรู้ถึงเวลาที่มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพจะมาถึงได้คร่าวๆ

แน่นอน หลี่ฉางโซ่วได้พิจารณาถึงปัญหานั้นมานานแล้ว วิธีการหยั่งรู้ที่แม่นยำที่สุดคือการดูว่าราชวงศ์ซางที่ยิ่งใหญ่จะมาปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์แห่งดินแดนเทวะทักษิณเมื่อใด

จนกระทั่งถึงช่วงปลายราชวงศ์ซางที่พระเจ้าโจ้วถูกราชวงศ์โจวโค่นล้ม แต่มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพนั้น น่าจะสอดคล้องกับช่วงที่สองกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์ ‘พระเจ้าอู่รุกพระเจ้าโจวรับ’ แค่กๆ ‘พระเจ้าอู่เอาชนะพระเจ้าโจว’

จริงๆ แล้ว พระเจ้าโจวเป็นชื่อในแง่ไม่ดีนักที่คนรุ่นหลังๆ ตั้งให้ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซางซึ่งชื่นชอบเพียงต๋าจี่คนเดียวเท่านั้น เขาเป็นโอรสลูกรักคนเดียวของจักรพรรดิที่รู้จักกันในชื่อซิน และเป็นที่รู้จักในนามจักรพรรดิซินเมื่อขึ้นครองราชย์ เรียกขานพระนามว่า ตี้ซิน

กลับไปพูดคุยที่หัวข้อหลักได้แล้ว

หากหานจื่อคือ หานจื่อเซียนจริงๆ คราวนี้ที่อ๋าวอี่เลิกชมชอบหานจื่ออย่างสิ้นเชิง เพราะกระทำผิดพลาดกับองค์หญิงเงือกน้อย ก็คงจะเป็นเรื่องดีเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่าในครั้งนี้ เขาใช้ประโยชน์จากอ๋าวอี่มากเกินไป…

ต่อไป ค่อยคิดหาทางทดแทนรองเจ้าสำนักผู้แสนซื่อสัตย์และเที่ยงตรงคนนี้ก็แล้วกัน

ในขณะนี้ สำนักเทพทะเลทักษิณนั้นถือว่ามีบุญเครื่องสักการะบูชามากมายอยู่แล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจมอบบุญให้กับเผ่ามังกรมากขึ้นได้

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนความคิดเหล่านี้ เพื่อไปคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป หลังจากเรื่องนี้ และวิเคราะห์การกระทำที่เป็นไปได้ต่อไปของสำนักบำเพ็ญประจิม

หลี่ฉางโซ่วยังคงจัดเรียงความเป็นไปได้ของการพัฒนาเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตและวิเคราะห์ว่า สำนักบำเพ็ญประจิมจะทำอะไรต่อไป

เมื่อพิจารณาจาก ‘วิธีการฝึกมังกร’ ที่สำนักบำเพ็ญประจิมเปิดเผยให้เห็นในเวลานี้ ดังนั้น ก็น่าจะเป็นการยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าทะเลและเผ่ามังกรให้ร้าวฉาน ทำให้ทั้งสองเผ่าแตกแยกกัน

แม้ว่ามังกรจะเป็นยักษ์ใหญ่ในสมัยโบราณ แต่ก็มีอันตรายทั้งภายในและภายนอกซ่อนอยู่มากมาย

และอันตรายที่ซ่อนอยู่ที่ใหญ่ที่สุดอาจกลายเป็นระเบิดร้ายแรงถึงชีวิตต่อเผ่ามังกร

น่าเสียดายที่ในตอนนี้ เขาไม่อาจเตือนเผ่ามังกรได้

ข้าจะให้เผ่ามังกรต่อสู้กับสำนักบำเพ็ญประจิม และชาวประมงศาลสวรรค์ก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ เราจะทำให้สำนักบำเพ็ญประจิมที่แข็งแกร่งต้องอ่อนกำลังลงไปชั่วคราว และยับยั้งความทะเยอทะยานของสำนักบำเพ็ญประจิมลงได้

นั่นคือสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วต้องทำ

นอกจากนี้เขายังไม่อาจบอกอ๋าวอี่ได้โดยตรงว่า ให้เขาระวังกองทหารเซียนมังกรวารีที่เผ่ามังกรได้ทุ่มเทความพยายามในการดูแลฝึกฝนอย่างระมัดระวังมานานหลายปีนับไม่ถ้วน

เพราะนั่นย่อมจะส่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามได้ ทำให้ผู้คนคิดว่าเทพแห่งท้องทะเลทำไม่ดีมีเจตนาร้ายแอบแฝง แม้ว่าแท้จริงแล้ว เขาจะเห็นแก่ตัวชั่วร้ายอยู่เล็กน้อยจริง ๆ ก็ตาม…

มังกรวารีเหล่านี้ถือเป็นครึ่งมังกร พวกเขาพร่ำบ่นก่นด่าเผ่ามังกรมากมายด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ พวกเขาตกเป็นทาสของเผ่ามังกร และถูกเผ่ามังกรในฐานะชนชั้นสูงใช้เป็นเหมือนทหารรับใช้ในการต่อสู้หลักมานับไม่ถ้วน

เผ่ามังกร ไม่ค่อยดูแลทหารพวกนี้เท่าใดนัก พวกเขาไม่รักษา ‘มนุษย์เครื่องมือเวท’ ของเผ่าให้ดี ถึงขั้นทำรุนแรงไปบ้าง จนถูกตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลจากความเย่อหยิ่งของเผ่ามังกร

หากอยากจะใช้มนุษย์เครื่องมือเวทให้เก่งกาจ ก็ต้องทำดี ดูแลมนุษย์เครื่องมือเวทนั้นให้ดีเสียก่อน

แน่นอนว่า ยกเว้นศิษย์น้องหญิงตัวอันตราย…

ขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่า ในขณะนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่า ผู้ที่ได้รับการรู้แจ้งอยู่ภายในข่ายอาคม กำลังค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและหันมามองหลี่ฉางโซ่ว

จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็ตื่นตกใจในทันที!

การทะยานขึ้นสู่เซียนเสร็จสิ้นสุดแล้วหรือ?

เร็วมาก?

ทันใดนั้น เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วก็กระแอมไอออกมาสองสามครั้งพลางโบกมือเบา ๆ แล้วข่ายอาคมรอบกาย โหย่วฉินเสวียนหย่าก็สลายหายไปอย่างกะทันหัน

จากนั้น นางก็หมุนตัวหันกลับมามองหลี่ฉางโซ่วทันที ใบหน้างดงามเย็นชาของนางดูเบิกบานใจเต็มที่ “ฉาง…”

“ศิษย์หลานเสวียนหย่า เจ้าช่างโชคดีจริงๆ!” “ศิษย์หลานเสวียนหย่า เจ้าทะลวงด่านไปถึงขั้นเซียนเสิ่นระดับต้นได้แล้วจริงๆ!”

“โอกาสทะยานขึ้นสู่เซียนนี้ ทำให้ข้าอิจฉานัก!”

ทันใดนั้น เหล่าเซียนและศิษย์ของสำนักตู้เซียนก็เข้ามาล้อมรอบกายนาง แต่หลี่ฉางโซ่วยังคงสงบและเริ่มแสร้งทำเป็นมีความรู้สึกตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างเพื่อกันไม่ให้โหย่วฉินเสวียนหย่าเข้ามาใกล้ได้

เขากำลังเตรียมที่จะทะลวงสู่คืนกลับเต๋าวิถีขั้นหกเช่นกัน…

อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซวเพิ่งเริ่ม ‘ฝ่าทะลวง’ ไปได้เพียงสองวัน และทันใดนั้น เขาก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ ดูเหมือนว่า จะมีอักขระเต๋าลึกลับ ต้องการดึงเขาเข้าสู่ความฝัน

ความรู้สึกนั้นค่อนข้างคุ้นเคย…

…………………………………………………………