ตอนที่ 599 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (6) / ตอนที่ 600 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (7)
ตอนที่ 599 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (6)
หลังจากได้ยินคำพูดของหนิงซิน อิ่นเหยียนก็สามารถหายใจได้โล่งขึ้นเล็กน้อย เขาพยุงหนิงซินที่ยังอ่อนแออยู่อย่างระมัดระวัง พวกเขายืนอยู่ในกลุ่มคนอย่างเชื่อฟัง
“สตรีผู้นั้นเป็นใคร” หนิงซินถาม มองดูจวินอู๋เสียที่ยืนอยู่ข้างๆ หลงฉี
ใบหน้าอันงดงามสมบูรณ์แบบจนไม่มีใครเทียบได้ของจวินอู๋เสียเตะตาหนิงซินทันทีที่เห็น
หนิงซินนั้นมีความภาคภูมิใจในความงดงามของตัวเองอยู่เสมอ แต่นางกลับรู้สึกต่ำต้อยทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าจวินอู๋เสีย
ทั้งหน้าตาและความสง่างาม นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าจวินอู๋เสียเหนือกว่านางทั้งสองด้าน!
อิ่นเหยียนส่ายหัว เขาไม่เคยพบจวินอู๋เสียมาก่อน
“คนผู้นี้คือรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว หนิงรุ่ย” ฟ่านฉีแนะนำหนิงรุ่ยด้วยเสียงหัวเราะเจื่อนๆ เขาดึงสหายร่วมรุ่นของเขาออกมาจากกลุ่มคนให้มาอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสียกับหลงฉี และพูดกับหนิงรุ่ยว่า “นี่คือแขกผู้มีเกียรติของเรา ท่านนี้คือท่านแม่ทัพเอกหลงฉีแห่งกองทัพรุ่ยหลิน ส่วนนี่คือคุณหนูใหญ่แห่งจวนหลินอ๋อง จวินอู๋เสีย”
หนิงรุ่ยแอบตกใจ เขารีบซ่อนแววตาประหลาดใจเอาไว้ขณะที่ทักทายแขกทั้งสอง
การแนะนำอย่างเป็นทางการของฟ่านฉี ทำให้ดวงตาของคนผู้หนึ่งเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก
ตอนที่ฟ่านจิ่นถูกเรียกตัวมา เขาเพิ่งฟื้นจากอาการเมาค้างและยังคงมึนงงอยู่มาก เขาแทบจะไม่ได้สติขณะที่ถูกลากตัวมาที่นี่ ก่อนที่เขาจะคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น หูของเขาก็ได้ยินคำว่า ‘คุณหนูใหญ่แห่งจวนหลินอ๋อง จวินอู๋เสีย’ นั่นทำให้เขาสะดุ้งตกใจ ฟ่านจิ่นเงยหน้าขึ้นทันทีเพื่อมองดูเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ หลงฉีให้ชัดๆ
เพียงแค่มองเท่านั้น ฟ่านจิ่นก็พบว่าเขาไม่สามารถละสายตาไปจากนางได้เลย
พระอาทิตย์กำลังฉายแสงอยู่เหนือศีรษะเด็กสาวที่งดงามจนน่าเหลือเชื่อ แสงอ่อนๆ ของมันทำให้ร่างนั้นดูเหมือนกับจะถูกห่อหุ้มไปด้วยลำแสงสีทอง เส้นผมยาวสลวยของนางดำขลับราวกับสีน้ำหมึก และผมของนางก็ถูกถักเอาไว้ด้วยแถบผ้าไหมหลากสีพร้อมด้วยพู่อันหรูหราห้อยอยู่ที่ด้านหลัง ผิวของนางขาวราวกับหิมะ และผิวพรรณเปล่งปลั่งที่เจือด้วยสีชมพูจางๆ บนใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามนั้น เขาแทบจะรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่เข้าไม่ถึงซึ่งทำให้ผู้คนพากันถอยห่าง
การมองโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงครั้งเดียวนั้น ทำให้ฟ่านจิ่นไม่สามารถลบภาพที่น่าหลงใหลนี้ออกไปจากใจได้ ในอนาคตแม้ว่าจะผ่านไปนานแล้ว เขาก็ไม่สามารถลบภาพที่เขาเห็นในวันนี้ได้เลย
นั่นคือจวินอู๋เสีย…
ฟ่านจิ่นใจสั่น ดวงหน้านั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่ความเย็นชาราวกับน้ำแข็งในดวงตาคู่นั้นเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับเขามาก
เขารู้ว่าจวินอู๋เสียเป็นเด็กผู้หญิง แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหน้าตาที่แท้จริงของนางนั้นจะงดงามมากถึงเพียงนี้!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนจากกองทัพรุ่ยหลินถึงได้เมินเฉยกับความงามของหนิงซิน เมื่ออยู่ต่อหน้าจวินอู๋เสีย ความงามของหนิงซินก็เป็นเพียงดอกไม้เหี่ยวเฉาที่ตกลงสู่พื้น ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง
ฟ่านจิ่นยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ตรงนั้น เขาไม่สามารถฟื้นจากอาการตกใจได้ชั่วคราว
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้ว เราได้ปรึกษากันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งใดที่จำเป็นพวกเราก็ได้ทำลงไปแล้วเช่นกัน ไม่ทราบว่าคุณหนูจวินพอใจหรือไม่” ฟ่านฉีพูดอย่างระมัดระวัง เขามองจวินอู๋เสียอย่างกระวนกระวาย เด็กสาวคนนี้อายุน้อยกว่าบุตรชายทั้งสองคนของเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็ทำให้ฟ่านฉีตึงเครียดได้
“ข้าขอถามสักคำ ทางสำนักศึกษาได้ลงมือทำสิ่งใดอย่างนั้นหรือ” จวินอู๋เสียถามนิ่งๆ
“แค่กๆ…ศิษย์ที่มีความผิดทุกคนกับหัวหน้าของพวกเขาลู่เว่ยเจี๋ย ถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัวไปแล้ว และไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาอีก ข้าได้แจ้งสำนักศึกษาอื่นๆ อย่างเป็นทางการแล้ว และเขียนถึงอุปนิสัยของพวกเขาไปแล้วด้วย ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะได้รับบทเรียนที่ดี” ฟ่านฉีรายงานอย่างจริงใจ
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง นางยิ้มเยาะที่มุมปาก
“และนั่นคือสิ่งที่อาจารย์ใหญ่เห็นสมควรแล้วอย่างนั้นหรือ”
ฟ่านฉีกลืนน้ำลายดังอึก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
จวินอู๋เสียหัวเราะเย็นชาแล้วพูดว่า “ศิษย์จากสำนักศึกษาของท่านพยายามสังหารคนจากกองทัพรุ่ยหลินและยอดเขาเทียมเมฆา สำนักศึกษาอันมีชื่อเสียงโด่งดังของท่าน ให้สัญญากับเราว่าพวกท่านจะนำศิษย์กลับมาจัดการตามความเหมาะสมและให้สัญญาว่าพวกเราจะพอใจกับมัน แต่ตอนนี้ทางสำนักศึกษากลับผิดคำพูด ท่านอยากจะเดาดูหรือไม่ว่าข้าพอใจรึเปล่า!”
น้ำเสียงของจวินอู๋เสียยามพูดคุยปกตินั้นมักจะเย็นชาอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ความเย็นยะเยือกในน้ำเสียงของนางกลับยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ตอนที่ 600 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (7)
“พวกเราทำอะไรให้ท่านรู้สึกว่าเราผิดคำพูดอย่างนั้นหรือ” ฟ่านฉีเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเขาอีกครั้ง
ดวงตาคมกริบของจวินอู๋เสียกวาดมองฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่โดยไม่ตอบอะไรฟ่านฉีสักคำ และสายตาของนางก็ไปหยุดลงที่คนผู้หนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์มากมาย
“หลงฉี”
“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับคุณหนู”
“ไป”
“ขอรับ!”
เสียงของหลงฉียังไม่ทันจะหายไป ร่างสูงตระหง่านของเขาก็พุ่งไปราวกับพายุหมุนและไปหยุดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ และด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า หลงฉีก็คว้าร่างของคนสองคนออกมาและเคลื่อนตัวกลับไปยืนตรงหน้าจวินอู๋เสียอีกครั้ง!
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของทั้งสองคนดังขึ้นทันที พวกเขาพบว่าตัวเองถูกโยนลงมานอนแทบเท้าจวินอู๋เสีย และเริ่มตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ทั้งสองคนที่ถูกโยนลงกับพื้นราวกับตุ๊กตาที่ขาดวิ่น ก็คือหนิงซินและอิ่นเหยียน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะถูกหลงฉีดึงตัวออกมาจากฝูงชนด้วยตัวเอง และถูกโยนลงกับพื้นอย่างเสื่อมเสียเกียรติเช่นนี้ภายใต้สายตาของศิษย์ทุกคน
เมื่อหนิงรุ่ยเห็นบุตรีของเขาถูกปฏิบัติเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและก้าวออกมาในทันที
“คุณหนูจวิน นี่มันหมายความว่าอย่างไร!”
จวินอู๋เสียแสยะยิ้มและพูดว่า “หมายความว่าอย่างไรงั้นรึ นี่ยังไม่ชัดอีกหรือ พวกท่านบางคนตัดสินใจกันเอาเองว่าจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยการขับไล่ศิษย์บางคนออกใช่หรือไม่ และพวกท่านก็ยังซ่อนตัวบงการที่แท้จริงเอาไว้ด้วย นี่มันอะไร! พวกท่านคิดจริงๆ หรือว่าแค่เพราะกองทัพรุ่ยหลินของเรามาจากรัฐชีที่ห่างไกล แล้วจะสามารถปัดเรื่องทั้งหมดนั้นทิ้งไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น!”
ขณะที่พูด จวินอู๋เสียก็ก้มลงกระชากผมของหนิงซินขึ้นมา
ความเจ็บปวดที่บริเวณหนังศีรษะ ทำให้หนิงซินกรีดร้องและคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร อิ่นเหยียนที่อยู่ข้างๆ นางร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว พร้อมกับขดตัวเพื่อทำให้ตัวเองเล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ น้ำมูกน้ำตาของเขาไหลลงมาเต็มใบหน้า
“หยุดนะ!” เมื่อเห็นบุตรีเพียงคนเดียวของเขาถูกจวินอู๋เสียข่มเหงเช่นนั้น ดวงตาของหนิงรุ่ยก็ลุกเป็นไฟ
“หยุดรึ” จวินอู๋เสียหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเคยให้โอกาสพวกท่านทุกคนไปแล้ว ถ้าพวกท่านจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม ข้าก็คงไม่ถ่อมาตามเรื่องเองแบบนี้ แต่นี่มันชัดเจนแล้วว่ามีแต่ผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้นที่ถูกลงโทษ ส่วนผู้บงการอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงนั้นกลับยังคงหลบซ่อนตัวอยู่เพื่อปิดบังความจริง ต้องให้ข้าเตือนความจำหรือไม่ว่าคนร้ายสองคนที่เจตนาล่อสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติเข้ามาเพื่อพยายามฆ่าคนของกองทัพรุ่ยหลินและคนของยอดเขาเทียมเมฆา ก็คือสองคนที่อยู่ตรงนี้ นี่คือคำตอบที่พวกท่านให้กับเราอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของจวินอู๋เสีย ก็เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้นจากฝูงชนที่อยู่โดยรอบ
สิ่งที่ลู่เว่ยเจี๋ยพูดตอนที่เขาจากไป ได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ในหัวใจของศิษย์ทุกคน และทุกสิ่งที่จวินอู๋เสียพูดในวันนี้ก็เป็นการยืนยันถึงความผิดของหนิงซินและอิ่นเหยียนว่าเป็นความจริง!
อิ่นเหยียนและหนิงซินอยู่ในกลุ่มเดียวกับลู่เว่ยเจี๋ยในระหว่างงานล่าวิญญาณ ในขณะที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัวกันหมด มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่ ทำให้เรื่องน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก
“คุณหนูจวินท่านคงเข้าใจผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสองคนนี้เลย เป็นลู่เว่ยเจี๋ยที่เป็นคนทำทั้งหมด” หนิงรุ่ยพูด พยายามระงับความโกรธที่ท่วมท้นอยู่ภายในอกอย่างเต็มที่
หนิงซินจับศีรษะของตัวเองไว้และตัวสั่นราวกับลูกนก นางรีบเออออตามหนิงรุ่ยทันที
“เป็นลู่เว่ยเจี๋ย! ลู่เว่ยเจี๋ยเป็นคนทำทั้งหมด! ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย!”
“โอ้” จวินอู๋เสียกระชากผมนางอย่างแรงอีกครั้ง หนิงซินกรีดร้องเสียงดัง นางไม่อาจจะพูดอะไรได้อีก
“ถ้าข้าจำไม่ผิด หญิงสาวนางนี้คงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่านรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาเฟิงหัวกระมัง และคนที่กลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นนั่นก็คงจะเป็นสหายของนาง คำอธิบายที่ทางสำนักศึกษาเฟิงหัวกำลังบอกเราอาจจะฟังดูดีและน่าพอใจ แต่แท้จริงแล้วพวกท่านกำลังใช้อำนาจและตำแหน่งของพวกท่านเพื่อประโยชน์ส่วนตนใช่หรือไม่ หนานกงซวี่ ลากสังขารอันน่าสมเพชของเจ้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
จวินอู๋เสียออกคำสั่งเสียงดังลั่น
กระทั่งหนานกงซวี่ก็ยังตกใจ เขารีบก้าวออกมาทันที
“เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้นดีนี่ เล่าให้รองอาจารย์ใหญ่ของเจ้าฟังหน่อยเป็นไร ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” จวินอู๋เสียแสยะยิ้มชั่วร้าย