บทที่ 350 ความแตกต่างระหว่างอ้อมกอดของเด็กชายและอ้อมกอดของชายหนุ่ม

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ในเมืองไห่หลิน เมื่อหันจื่ออี้กลับมาที่เมืองบันเทิงนั้น ฟู่สีเกอและคนอื่น ๆ กำลังเล่นเกมอยู่ และเขายังคงเล่นกับเฉียวโยวโยว และฮั่วเหมียวเหมี่ยวก็เล่นอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ฮั่วชิงชิงนั่งเงียบและยิ้มเป็นครั้งคราว ตามที่ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเล่าให้ฟังนั้นอาการดีกว่าตอนที่อยู่ที่บ้านมาก

เมื่อเห็นหันจื่ออี้เข้ามา ฟู่สีเกอยิ้มและทักทายเขา: “คุณชายหัน มาเร็ว ๆ นี่ขาดคุณคนเดียวแล้ว!”

หันจื่ออี้พยักหน้าและนั่งลง เขาเล่นกับทุกคนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นแล้วพูดว่า: “ชิงชิง ออกไปเดินเล่นด้วยกันไหม?”

ฮั่วชิงชิงรู้สึกประหลาดใจ: “ฉันเหรอ?”

หันจื่ออี้พยักหน้าโดยไม่อธิบายให้ทุกคนฟัง เขาก้าวไปข้างหน้า: “ไปกันเถอะ”

“โอ้” ฮั่วชิงชิงพยักหน้าและเดินตามหันจื่ออี้ออกไป: “พี่หันคะ พี่หาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

หันจื่ออี้พาเธอไปที่ป่าสนด้านนอก เนื่องจากเป็นฤดูหนาวและเพิ่งมีหิมะตกไปได้ไม่นาน ต้นไม้ในป่าสนนั้นเมื่ออยู่ใต้แสงแดดมันก็ขาวโพลนไปทั่วบริเวณนั้น

ทันใดนั้นหันจื่ออี้เหมือนกำลังเล่นกลอยู่ยังไงอย่างงั้นแหละ เขาได้เอาถุงขนมออกมาแล้วยื่นให้กับฮั่วชิงชิง: “ได้โปรดกินมันเถอะ”

ฮั่วชิงชิงหยิบมันขึ้นมาและเห็นว่ามันเป็นเค้กน้ำตาลที่ตัวเธอชอบกินอย่างมาก เธอเคยซื้อมันตอนที่อยู่กับหันจื่ออี้ แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะจำมันได้

แม้ว่าเธอจะอายุ 26 ปีแล้ว แต่เพราะเธอป่วยเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่หลายปี จิตใจของเธอจึงยังคงยึดติดอยู่กับอดีต

เธอรับมันไปอย่างมีความสุข: “ขอบคุณค่ะ!” หลังจากกล่าวจบเธอถามอีกครั้ง: “คุณซื้อมันตอนไหนคะ?”

“ระหว่างทางกลับมาจากไซต์งานก่อสร้าง” เมื่อหันจื่ออี้นึกถึงคำพูดที่สนทนากับคนขับรถคนนั้นแล้ว เขาก็หรี่ตาเพื่อปกปิดความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเอาไว้ภายในจิตใจ

“พี่หันคะ ทำไมพี่ถึงเรียกฉันออกมาคนเดียวล่ะ?” ฮั่วชิงชิงพูดขณะกินเค้กน้ำตาลไปด้วย

“ผมดูออกว่าคุณไม่ค่อยมีความสุข ดังนั้นผมจึงชวนคุณออกมาเดินเล่นด้วยกัน” หันจื่ออี้พูดอย่างเป็นธรรมชาติ

ฮั่วชิงชิงเหมือนหายใจไม่ออก

ใช่ เธอไม่มีความสุข

ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันอยู่บ้าน ฉันไม่เห็นฟู่สีเกอ ดังนั้นฉันจึงไม่มีความสุข

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นฟู่สีเกอแล้ว เขากลับหัวเราะมีความสุขกับผู้หญิงอีกคน ดังนั้นเธอจึงยิ่งไม่มีความสุข

เธอเก็บซ่อนความรู้สึกโศกเศร้าไว้ในใจเพียงคนเดียว รู้ทั้งรู้ว่าแบบนี้มันไม่ดี รู้ทั้งว่ารู้ถึงแม้จะโศกเศร้าเสียใจยังไงก็ไร้ประโยชน์ รู้ทั้งรู้ว่าในระยะเวลาที่เธอไม่อยู่หลายปีนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟู่สีเกอได้จบลงไปตั้งนานแล้ว

แต่ในใจเข้าใจเรื่องหนึ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วกลับต้องยอมรับความจริงอีกเรื่องหนึ่ง

สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือต้องไม่ไปรบกวนชีวิตของเขา และซ่อนเก็บอาการเจ็บปวดทั้งหมดของตัวเองไว้ในหัวใจ ก็เหมือนกับนกกระจอกเทศตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ

บรรยากาศเริ่มอึมครึมเล็กน้อย จนกระทั่งหันจื่ออี้พูดขึ้นว่า:”ไปกันเถอะ ผมจะถ่ายรูปให้คุณเอง”

ข้อเสนอนั้นเร็วเกินไป ฮั่วชิงชิงตกตะลึงเล็กน้อย: “ถ่ายรูป?”

“สาว ๆอย่างพวกคุณล้วนชอบถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ?” ในขณะที่หันจื่ออี้พูดอยู่นั้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา: “ก่อนหน้านี้ผมเคยเรียนการถ่ายภาพและการตกแต่งภาพมาบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่มีเลนส์ แต่โทรศัพท์มือถือสมัยนี้คุณภาพรูปออกมาสวยใช้ได้และ รายละเอียดของภาพก็ไม่เลว”

“ดีค่ะ” ฮั่วชิงชิงพยักหน้า

อันที่จริง ช่วงนี้เธอกำลังปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว

ไม่มีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและมุมมองที่เรียบง่ายเหมือนในอดีตวัยเยาว์อีกต่อไปแล้ว และในช่วงที่เธอเป็นเจ้านิทราอยู่นั้น เธอได้แปลงโฉมเป็นผู้หญิงที่มีความงามระดับมาตรฐานคนหนึ่งแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เธอมองตัวเองในกระจก เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองคนแปลกหน้าอีกคนอยู่ยังไงอย่างงั้นแหละ

ในเวลานี้ หันจื่ออี้ได้หยิบกล้องขึ้นมาแล้วพูดกับเธอว่า: “เอาล่ะ ถ่ายจากมุมนี้แล้วกัน!”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาได้ถ่ายไปหลายรูปแล้ว เขาได้ถ่ายรูปตอนที่เธอกำลังนิ่งเงียบ กำลังโศกเศร้า และกำลังลังเลใจ เขาถ่ายภาพทั้งหมดของเธอไว้ในอัลบั้มแล้ว

“ดำเนินการต่อ”

ฮั่วชิงชิงไม่รู้ว่ามันถูกขับเคลื่อนโดยหันจื่ออี้หรือเปล่า ฮั่วชิงชิงค่อย ๆ ลืมเรื่องที่กำลังโศกเศร้าอยู่ และเธอก็แสดงสีหน้าท่าทางที่เกินจริงอย่างตื่นเต้นมากมาย ทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของหันจื่ออี้แล้ว

ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรง และหิมะบนต้นสนที่อยู่เหนือหัวของเขาก็ปลิวตกลงไปที่ท้ายทอยของฮั่วชิงชิง

เธอร้อง ‘โอ๊ย’ พร้อมกับสะดุ้งตกใจ และภายในสองวินาที ก็มีผ้าพันคอขนสัตว์พันอยู่ที่คอของเธอ บนผ้าพันคอผืนนั้นยังมีอุณหภูมิของผู้ชายอยู่ หัวใจของเธอสั่นเทาและเธอต้องการหลบหลีกโดยสัญชาตญาณ

แต่มีกิ่งไม้ติดอยู่ใต้เท้าของฮั่วชิงชิง ซึ่งฮั่วชิงชิงมองไม่เห็น เมื่อเธอเหยียบโดนกิ่งไม้นั้น ทำให้เธอเท้าแพลงและทรงตัวไม่ได้กำลังจะล้มลงไป

แต่อย่างไรก็ตาม เธอกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด และร่างกายก็ถูกดึงออกมาอย่างแรง แล้วล้อมรอบด้วยความอบอุ่น

ฮั่วชิงชิงตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ แม้จะตกอยู่ในภวังค์

นานแล้วที่ไม่เคยได้สัมผัสการโอบกอดเช่นนี้? น่าจะมีแปดหรือเก้าปีแล้วมั้ง?

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเธอแล้ว ดูเหมือนพึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

แค่เวลานั้นฟู่สีเกอยังเด็กมาก แม้ว่าเขาจะสูงอยู่แล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างเด็กผู้ชายกับชายหนุ่มนั้น ในความทรงจำไหล่และหน้าอกของเขานั้นแคบและบางกว่าของหันจื่ออี้ในขณะนี้

แต่อย่างไรก็ตาม มันทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก

ในขณะนี้ เสียงของหันจื่ออี้ดังขึ้นเหนือหัวของเธอ: “ชิงชิง คุณโอเคไหม?”

ความมึนงงทั้งหมดถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงในทันที ฮั่วชิงชิงก็ตระหนักได้ว่าเธอยังคงอยู่ในอ้อมแขนของหันจื่ออี้อยู่ เธอรีบยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกำลังจะบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร เธอก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าเล็กน้อย

หันจื่ออี้เห็นเธอขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน ดังนั้นเขาจึงรีบถามว่า: “เท้าแพลงหรือเปล่า?”

ฮั่วชิงชิงขยับสักครู่: “อืม ก็รู้สึกเจ็บนิดหน่อย”

หันจื่ออี้นั่งยอง ๆ มองสำรวจที่ข้อเท้าของเธอ และเห็นว่าไม่มีอาการบวม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจ: “ในฤดูหนาวเท้าจะแพลงได้ง่าย เรากลับไปทายากันเถอะ”

พูดจบ เขาก็ย่อตัวหันหลังให้เธอ: “ขึ้นมาสิ”

เมื่อฮั่วชิงชิงเห็นว่าเขากำลังจะแบกตัวเอง เธอรีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว: “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉันสามารถเดินไปเองได้ค่ะ”

“แม้ว่าจะเป็นเพียงอาการเท้าแพลงเล็กน้อย แต่เราเดินกันออกมาไกลขนาดนี้แล้ว หากคุณยังฝืนเดินกลับไปอีก อาการบาดเจ็บของคุณอาจจะรุนแรงมากกว่านี้ก็เป็นได้” หันจื่ออี้กล่าวว่า: “บางที พรุ่งนี้คุณอาจเดินด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว”

เมื่อฮั่วชิงชิงฟังแล้วก็รู้สึกลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเธอค่อย ๆ แขยงเท้าเดินไปข้าง ๆหันจื่ออี้ แล้วขี่หลังของเขา

เขาค่อย ๆแบกเธอยืนขึ้น และเดินก้าวไปบนหิมะทีละก้าว

สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นเงียบสงบ ฮั่วชิงชิงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองคน และเสียงรองเท้าหนังของหันจื่ออี้ที่เหยียบบนหิมะเท่านั้น

เนื่องจากอุณหภูมิติดลบ ดังนั้น ลมหายใจของทั้งสองจึงเหมือนกับหมอกยังไงอย่างงั้นแหละ ทำให้ใบหน้าของพวกเขาดูเลือนรางเล็กน้อย

ในขณะเดียวกันฮั่วชิงชิงก็จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อเธอปีนภูเขาด้วยกันกับฟู่สีเกอ และเมื่อเธอเดินลงจากภูเขาอยู่นั้น เท้าของเธอก็แพลง จากนั้นฟู่สีเกอก็แบกเธอไว้บนหลังของเขาและเดินไปตามทางระยะไกลแบบนี้เช่นกัน

เนื่องจากหันจื่ออี้ไม่เห็นใบหน้าของเธอ ดังนั้นอารมณ์ของเธอก็ไม่สามารถควบคุมได้ชั่วขณะหนึ่ง และน้ำตามันก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เด็กชายคนนั้นคนที่บอกว่าจะปกป้องและดูแลเธอตลอดไป และเด็กชายที่บอกว่าจะแต่งงานกับเธอเมื่อเธออายุ 20 ปี ในที่สุดก็ไม่เห็นแล้ว……

หันจื่ออี้รู้สึกว่าร่างกายของหญิงสาวสั่นเทาไม่หยุด และทันใดนั้นก็รับรู้ได้ว่าฮั่วชิงชิงต้องร้องไห้อีกแล้ว เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงแบกเธออยู่อย่างนั้น และเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าตั้งแต่เขาได้รู้จักกับหลานเสี่ยวถาง ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยร้องไห้ เหมือนเธอจะร้องไห้แค่ครั้งเดียวนั้นก็คือตอนที่คุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของเธอพูดรุนแรงกับเธอ เขาไปหาเธอและเห็นว่าเธอนั่งร้องไห้อยู่ที่ลานหน้าประตูบ้านของเธอ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเขามาเธอก็รีบปาดน้ำตาทันที เธอยิ้มให้เขาและบอกว่าเธอไม่เป็นไร

เมื่อเห็นอาคารที่อยู่ข้างหน้าเขา หันจื่ออี้ก็หยุดชะงัก

เพราะถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่เกิดกับคุณพ่อและคุณแม่ของเขาเมื่อเจ็ดปีก่อน เขาและหลานเสี่ยวถางจะแยกจากกันได้อย่างไร?

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตระกูลฮั่ว ……

หันจื่ออี้แบกฮั่วชิงชิงไว้บนหลังของเขาเดินไปถึงที่ทางเดิน และฮั่วชิงชิงยืนกรานที่จะลงคนเดียว ดังนั้นด้วยการช่วยเหลือจากเขา เธอจึงค่อย ๆเดินเข้าไปในห้องอย่างช้า ๆ

ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นและเห็นฮั่วชิงชิงเดินเข้ามา เธออดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “พี่คะ เกิดอะไรขึ้นกับพี่คะ?”

“มันเป็นความผิดของผมเอง พาเธอออกไปเดินเล่นไม่ระวังจนทำให้เท้าแพลง” หันจื่ออี้กล่าว

“ไม่เกี่ยวกับพี่หันหรอก ฉันไม่ระวังเอง” ฮั่วชิงชิงโบกมืออย่างรวดเร็ว: “เหมียวเหมี่ยว พี่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอกนะ”

ฟู่สีเกอลุกขึ้นและไปหาพนักงานเสิร์ฟเพื่อขอน้ำมันทาเท้าแพลง ขณะที่เขากำลังจะช่วยทายาให้ฮั่วชิงชิงอยู่นั้น หันจื่ออี้ก็เข้ามาและพูดว่า: “เดี๋ยวผมทาเองดีกว่า”

ฟู่สีเกอพยักหน้าแล้วยื่นน้ำมันให้หันจื่ออี้

เมื่อฮั่วชิงชิงเห็นฟู่สีเกอยินยอมให้หันจื่ออี้ทายาให้เธออย่างง่ายดาย เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอไม่ได้แสดงออกมา แต่ยิ้มให้หันจื่ออี้: “ค่ะ พี่หัน ขอบคุณค่ะ”

หลังจากเที่ยวเล่นกันได้ครึ่งค่อนวัน ทุกคนก็เหนื่อยล้ากันพอสมควร พนักงานเสิร์ฟที่เมืองบันเทิงได้ขอความคิดเห็นจากหลาย ๆ คนและในที่สุดก็สั่งหม้อไฟจิ่วกงเกอเพิ่ม

หม้อไฟนี้มีทั้งหมดเก้ารสชาติ มีทั้งรสเผ็ดและไม่เผ็ด ถือว่าเอาใจรสชาติของทุกคน

เฉียวโยวโยวชอบทานอาหารรสเผ็ด แต่รสชาติเผ็ดหม้อไฟจิ่วกงเกอนั้นเธอก็ไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นในขณะที่พูดว่าหอมอยู่นั้น เธอก็ได้เช็ดน้ำตาและน้ำมูกของเธอเพราะรสชาติที่เผ็ดจัด

ฟู่สีเกอที่นั่งอยู่ข้าง ๆก็รู้สึกตลกพร้อมยื่นกระดาษทิชชู่ให้กับเธอ: “เจ้าโยวเด็กโง่ ถ้าคนอื่นไม่รู้คงคิดว่าผมรังแกคุณ ถึงได้ให้คุณทานรสชาติเผ็ดจัดขนาดนี้ ”

“คุณเตือนฉันแล้ว” เฉียวโยวโยวหรี่ตา คีบผ้าขี้ริ้วรสเผ็ดจัดหนึ่งชิ้นแล้วยื่นให้กับเขา: “เสื่อฤดูร้อน คุณเคยบอกว่าตัวเองก็สามารถทานเผ็ดได้เช่นกันนี่?” มาเดี๋ยวฉันป้อนคุณเอง!”

ฟู่สีเกอทานเผ็ดได้น้อยกว่าเฉียวโยวโยว เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็รีบหลบทันที

“เจ้าขี้ขลาด–” ในขณะที่เฉียวโยวโยวพูดอยู่นั้นเธอก็จั๊กจี้ฟู่สีเกอไปด้วย หลังจากที่ฟู่สีเกอหมดเรี่ยวแรงก็ถูกเธอป้อนผ้าขี้ริ้วรสเผ็ดจัดชิ้นนั้นได้สำเร็จ

“อ้า เจ้าโยวเด็กโง่ นี่คุณคิดจะวางแผนลอบฆ่าสามีของตัวเองเหรอ!” ฟู่สีเกอเผ็ดจนร้องตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง แล้วเขารีบไปดื่มน้ำเย็นทันที

เมื่อเห็นความสนิทสนมของทั้งสองคนแล้ว ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เธอไม่ทานอาหารรสเผ็ด แต่เธอคีบเต้าหู้น้ำมันพริกขึ้นมาชิ้นหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้น เธอก็สำลักจนไอและน้ำตาไหลไม่หยุด

อีกด้านหนึ่ง ฟู่สีเกอยังคงต่อสู้กับเฉียวโยวโยว และฮั่วเหมียวเหมี่ยวเป็นนักชิมและกำลังทานอย่างเมามัน มีเพียงหันจื่ออี้ที่ยื่นกระดาษทิชชู่ให้เธอหนึ่งแผ่น: “ชิงชิง ร่างกายของคุณเพิ่งฟื้นตัว อย่าทานรสจัดเกินไป”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้าและไอสองสามครั้งก่อนที่เธอจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ในเวลานี้ ฟู่สีเกอต่อสู้กับเฉียวโยวโยวสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเห็นดวงตาของฮั่วชิงชิงแดงก่ำ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างประหม่าว่า: “ชิงชิง คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

ฮั่วชิงชิงส่ายหัวและยิ้มให้ฟู่สีเกอ: “ไม่เป็นไร ฉันแค่สำลัก”

“โอ้ เวลาทานอะไรคุณต้องระวังหน่อยนะ” ในขณะที่ฟู่สีเกอพูดอยู่นั้น เขาก็เติมน้ำให้กับฮั่วชิงชิงจนเต็มแก้ว: “ดื่มน้ำหน่อยเผื่อมันจะดีขึ้น”

ฮั่วชิงชิงจิบนิดหนึ่งและคิดว่าฟู่สีเกอยังคงห่วงใยเธอ แต่ความห่วงใยแบบนั้นเป็นเพียงความห่วงใยระหว่างเพื่อนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

เธอดื่มน้ำสองสามจิบและรู้สึกดีขึ้น เมื่อเห็นว่าฟู่สีเกอกำลังคุยกับหันจื่ออี้ เธอก็จ้องมองไปที่ไวน์ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว……