บทที่ 351 เธอก็เหมือนกับเด็กขี้แยคนหนึ่ง

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ว่ากันว่าหลังจากดื่มจนเมาแล้วก็จะไม่รู้สึกทรมานใจอีก ฮั่วชิงชิงโตขนาดนี้แล้ว นอกจากดื่มตอนสมัยเรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายตอนนั้นแล้วเธอก็ไม่เคยดื่มเหล้าอีกเลย

เวลานี้สายตาของเธอจ้องไปที่ขวดไวน์อยู่พักหนึ่งโดยที่ไม่อาจละสายตา เธออยากรู้รสชาติของการดื่มจนเมานั้นมันจะเหมือนกับที่คนอื่นพูดเอาไว้หรือเปล่าว่ามันสามารถจะช่วยบรรเทาความโศกเศร้าได้

ดังนั้น เธอจึงแอบเทหนึ่งแก้วให้ตัวเองในขณะที่ทุกคนไม่ได้สนใจ

แม้ว่าไวน์แดงระดับแอลกอฮอล์จะไม่สูง แต่ก็ทำให้เมาได้ ไม่ถึงห้านาทีหลังจากที่ฮั่วชิงชิงดื่มไวน์แดงจนหมดแก้วเหมือนกำลังดื่มเครื่องดื่มยังไงอย่างงั้นแหละ ดื่มเข้าไปไม่ถึงห้านาทีเธอก็รู้สึกเวียนหัว

เสียงการสนทนาที่อยู่ข้าง ๆ เธอค่อย ๆ ห่างออกไป และใบหน้าของฟู่สีเกอที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เริ่มเลือนรางเล็กน้อย ฮั่วชิงชิงนวดหัวของเธอเบา ๆ พยายามอยากให้ได้สติคืนมามากกว่านี้ แต่เธอไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วมันจะเมาได้ขนาดนี้ ในเวลานี้เธอรู้สึกต้านไม่ไหวแล้วจึงนอนฟุบหลับไปบนโต๊ะ

ไม่นานนัก หันจื่ออี้ที่อยู่ข้าง ๆเธอพบว่าเธอมีอาการผิดปกติไป และพูดพร้อมกับฟู่สีเกอว่า:”ชิงชิง เกิดอะไรขึ้น?”

ฮั่วชิงชิงโบกมือแต่กลับไม่พูดอะไร

ฟู่สีเกอลุกขึ้นและเดินไปพร้อมกับเฉียวโยวโยวอ เขาสูดดมอยู่ครู่หนึ่ง: “ชิงชิง คุณเมาเหรอ?”

ฮั่วชิงชิงกัดริมฝีปากของเธอและพยายามหาคำแก้ตัว แต่ก็เวียนหัวอย่างรุนแรงและพูดไม่ออก ทำราวกับว่าเธอเหมือนเด็กน้อยที่ทำผิดยังไงอย่างงั้นแหละ

ฟู่สีเกอรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วพูดว่า: “คุณหัน คุณรู้ไหมว่าถ้าหากชิงชิงดื่มเหล้าแล้วจะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายของเธอหรือไม่?”

“ไม่น่าจะมีนะครับ” หันจื่ออี้มองดูดีกรีขวดไวน์นั้น: “ไวน์นั้นมีแอลกอฮอล์ต่ำมาก แต่จะค่อยๆ ระเหยไปตามการไหลเวียนของเลือด เอาแบบนี้ดีไหมครับให้ผมพาเธอไปพักผ่อนก่อน จากนั้นให้พนักงานเสิร์ฟนำน้ำซุปสร่างเมามาเสิร์ฟให้เธอหนึ่งถ้วย?”

ฟู่สีเกอพยักหน้า: “ตกลง ผมจะให้พนักงานเสิร์ฟเตรียมเดี๋ยวนี้”

หันจื่ออี้อุ้มฮั่วชิงชิงขึ้นและไปที่โรงแรมในศูนย์รวมความบันเทิง เขาวางเธอลง: “ชิงชิง คุณไม่ต้องกังวล อีกสักครู่คุณดื่มน้ำซุปสร่างเมาก็จะรู้สึกดีขึ้น”

ฮั่วชิงชิงเวียนหัวรุนแรงมาก แต่เธอยังคงมีสติอยู่บ้าง เธอพยักหน้า: “ค่ะ สร้างปัญหาให้พวกคุณเดือดร้อนอีกแล้ว”

หันจื่ออี้เทน้ำให้เธอดื่มก่อน หลังจากนั้นไม่นานฟู่สีเกอก็มาพร้อมกับน้ำซุปสร่างเมา

เขาวางชามไว้บนหัวเตียงและพูดกับฮั่วชิงชิงว่า: “ชิงชิง มา ดื่มเถอะ ดื่มแล้วจะรู้สึกดีขึ้น”

ฮั่วชิงชิงต้องการนั่งด้วยตนเอง แต่ร่างกายของเธอไม่มีเรี่ยวแรง ฟู่สีเกอที่อยู่ด้านข้างตาไวรีบเข้าไปพยุงเธอไว้ และรีบพยุงให้เธอนั่งอยู่บนหัวเตียง และนำหมอนหนุนหลังให้กับเธอ

เขายังคงห่วงใยและดูแลผู้อื่นเหมือนเช่นเดิม……ฮั่วชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองฟู่สีเกอ

เขายิ้มให้เธอ: “ไม่เป็นไร นอนสักพักก็จะดีขึ้นแล้ว แต่คราวหน้าอย่าลองดื่มเหล้ามั่ว ๆอีกนะ……”

หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น โดยกำลังคิดอยู่ในใจว่าคำพูดที่พูดกันว่าความมึนเมาสามารถคลายความเศร้าโศกได้นั้นล้วนหลอกลวงทั้งเพ และดูเหมือนจะมีน้ำตาอยู่ในดวงตาของเธอ ฮั่วชิงชิงรีบก้มศีรษะของเธออย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นมือไปรับซุปสร่างเมาจากมือฟู่สีเกอและดื่มมันจนหมด

หันจื่ออี้ยื่นทิชชู่ให้ฮั่วชิงชิง เธอรีบนำมาเช็ดปากของเธอทันที เมื่อเห็นฟู่สีเกอยังคงอยู่ที่นั่น มือของเธอจับกระดาษทิชชู่ด้วยอาการที่สั่นเทา และน้ำเสียงของเธอก็สั่นเครือ: “สีเกอ พวกคุณกลับไปได้แล้ว ฉันอยากนอนแล้ว”

“ชิงชิง คุณอยู่คนเดียวได้เหรอ?” ฟู่สีเกอรู้สึกกังวลเล็กน้อย

“พี่คะ เอาแบบนี้ดีไหมคะให้หนูอยู่กับเพื่อนพี่ดีไหมคะ?” ฮั่วเหมียวเหมี่ยวกล่าว

“ไม่ต้องแล้ว ฉันง่วงแล้ว” ฮั่วชิงชิงทำท่าง่วงหงาวหาวนอน แกล้งทำเป็นเหมือนกำลังจะหลับ

“เอาล่ะ ชิงชิง คุณดูแลตัวเองด้วย ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจตรงไหน โทรหาพวกเราได้ทุกเวลา” ฟู่สีเกอกล่าว

“อืม”

ทุกคนออกไปจนหมดแล้ว และห้องก็เงียบลงทันที อารมณ์ที่เศร้าโศกของฮั่วชิงชิงภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นั้น จู่ ๆ ก็ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป เธอซุกเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มและร้องไห้ออกมาไม่หยุด

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากร้องไห้ไปไม่นาน ก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู อีกฝ่ายเคาะประตูไปสองครั้งแล้วพูดว่า: “ชิงชิง คุณหลับแล้วหรือยัง?”

หลังจากที่หันจื่ออี้เดินออกไปแล้ว เขาก็พบว่าโทรศัพท์มือถือของเขาลืมไว้ในห้องของฮั่วชิงชิง ดังนั้นเขาจึงย้อนกลับมาเอาโทรศัพท์

เมื่อฮั่วชิงชิงได้ยินเสียงของหันจื่ออี้ เธอก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฮั่วชิงชิง เมื่อทุกคนจากไปพวกเขาจึงปิดประตูเฉย ๆและตั้งใจไม่ล็อคประตู ดังนั้นทันทีที่หันจื่ออี้หมุนลูกบิด เขาก็เดินเข้าไปในห้องทันที

“ขอโทษที ผมลืมมือถือ” ในขณะที่หันจื่ออี้พูดอยู่นั้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าม่านไม่ได้ปิด เขาจึงปิดมันอีกครั้ง แต่เมื่อเขาหันหลังกลับมา เขาก็ได้ยินฮั่วชิงชิงกำลังร้องไห้

เขาอดไม่ได้ที่จะเดินไปหาเธอข้างเตียง

ในใต้แสงไฟสลัว เขายังเห็นได้ชัดเจนว่ามีรอยน้ำตาที่แก้มของเธอ

ราวกับว่าเธอถูกสร้างมาจากน้ำ ยกเว้นตอนที่เธอหลับ ทุกครั้งที่เขาเห็นเธอ ดูเหมือนเธอจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา

หันจื่ออี้ยื่นกระดาษทิชชู่ให้ฮั่วชิงชิง อย่างเงียบ ๆ อยากเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่เธอก็เงยหน้าขึ้นมาก่อน

ดวงตาของเธอแดงก่ำ และจ้องมองมาที่เขา แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด

ริมฝีปากของเธอเปิดออก และใช้เวลานานกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้: “พี่หันคะ พวกเขาล้วนโกหกฉัน ฉันดื่มจนเมาแล้วกลับรู้สึกว่ายิ่งโศกเศร้ามากขึ้น”

หันจื่ออี้ตะลึงงัน ในขณะนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บปวดแทนผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง

ในขณะนี้ฮั่วชิงชิงต้องการหาคนคุยด้วยสักคนเพื่อระบายความอัดอั้นในใจของเธอ ดังนั้นเมื่อเผชิญกับความเงียบของหันจื่ออี้ เธอจึงไม่สนใจแต่กลับพูดต่อว่า :“ฉันไร้ประโยชน์มากไหม? ฉันไม่ได้อายุ 18 ปีแล้ว ตอนนี้ฉันอายุ 26 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นควรจะทำอย่างไรดี……”

“เรียนรู้ที่จะลืมมันซะเถอะ” หันจื่ออี้ถอนหายใจ

“โอเค” ฮั่วชิงชิงร้องไห้ไปด้วยพร้อมพูดว่า: “ฉันรู้ แต่ฉันก็กลับไม่รู้……”

“เวลาจะช่วยบรรเทาทุกอย่าง” หันจื่ออี้เช็ดน้ำตาให้กับฮั่วชิงชิงด้วยกระดาษทิชชู่ เขาก้มมองเธอ และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ: “คุณรู้อะไรไหม ผมอยากตั้งชื่อเล่นให้คุณจริง ๆ นั่นคือ–”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ จู่ ๆเขารู้สึกว่าไหล่ของเขาก็เกิดหนักอึ้ง และฮั่วชิงชิงก็พิงไหล่ของเขาแล้วร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด

“เด็กขี้แย” หันจื่ออี้พูดชื่อเล่นที่เขาตั้งให้กับเธอเมื่อกี้นี้แต่ยังไม่ได้พูดออกมา

แม้ว่าเธอจะอายุ 26 ปีแล้ว แต่เธอก็อายุน้อยกว่าเขาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากความว่างเปล่าเกือบเก้าปี จึงทำให้จิตใจของเธอคิดว่าตัวเองนั้นยังคงอายุสิบแปดเท่านั้น

เมื่อคิดแบบนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะอายุน้อยกว่าเขามาก

หันจื่ออี้ยื่นมือออกมาและตบที่ด้านหลังของฮั่วชิงชิงเบา ๆ: “ถ้าคุณรู้สึกโศกเศร้าก็ร้องไห้ออกมาเถอะ จงจำไว้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่าร้องไห้อีกต่อไป”

เพราะผลของแอลกอฮอล์ฮั่วชิงชิงจึงร้องไห้หนักมาก

เสื้อขนสัตว์ของหันจื่ออี้เปียกชุ่มเพราะเธอ จนกระทั่งฮั่วชิงชิงร้องไห้จนเสียงแหบ เธอร้องไห้เป็นเวลานานมาก และศีรษะของเธอก็ยิ่งเวียนหัวมากขึ้นเพราะขาดออกซิเจน

เธอเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่บวมและแดงก่ำ และมองไปที่หันจื่ออี้อย่างเลือนราง

ใบหน้าของเขาดูเลือนราง แต่เธอกลับรู้ว่าเขากำลังมองเธออยู่เช่นกัน

ชั่วขณะหนึ่ง ในสมองของฮั่วชิงชิงรู้สึกว่างเปล่า เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน เธอแค่เงยหน้าจ้องมองไปที่ชายผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างงุนงง: “สีเกอ สีเกอ?”

หันจื่ออี้จ้องมองเธอแล้วก็อยากรู้ว่าฮั่วชิงชิงไม่สามารถระบุได้ว่าเขาเป็นใครจริงหรือเปล่า เขากำลังจะพูดก็ได้ยินฮั่วชิงชิงพูดขึ้นก่อนว่า: “ฉันฝันเห็น ……”

ทันทีที่เธอพูดถึงนี่ ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้าน: “ความฝันนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน ฉันฝันว่าถูกชายขี้เมาผลักลงไปในแม่น้ำ และเกือบจมน้ำตาย จากนั้นต้องใช้เวลาเก้าปีกว่าถึงจะฟื้นคืนมา”

ขณะที่เธอพูดอยู่นั้น มือของเธอสั่นไม่หยุดและเอื้อมมือไปจับแก้มของหันจื่ออี้: “พวกเขาพูดว่า เก้าปีผ่านไปแล้ว ดังนั้นทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว คุณมีแฟนใหม่แล้ว และเพียงชั่วพริบตาตอนนี้ฉันกลับมีอายุ 26 ปีแล้ว……”

“สีเกอ นี่ไม่เป็นความจริงใช่ไหม?” ฮั่วชิงชิงดูเหมือนจะมีที่พึ่งสุดท้าย เธอกอดหันจื่ออี้พร้อมพูดว่า: “ความฝันนั้นเหมือนจริงมาก ฉันกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ฉันกลัวอย่างมาก……”

ริมฝีปากของหันจื่ออี้ขยับ เขาพยายามบอกความจริง แต่เมื่อเห็นความหวังในแววตาที่กำลังแตกสลายของฮั่วชิงชิง เขาไม่สามารถพูดได้ชั่วขณะ

“สีเกอ สีเกอ คุณไม่ต้องการฉันแล้วใช่ไหม?” ฮั่วชิงชิงพูดอีกครั้ง: “นั่นมันเป็นเพียงแค่ความฝันใช่ไหม?”

หันจื่ออี้ปิดตาของเขา: “อืม มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ล้วนไม่ใช่เรื่องจริง”

“ฉันรู้แล้ว! ฉันรู้แล้ว” ฮั่วชิงชิงยิ้มอย่างกะทันหัน รอยน้ำตายังคงห้อยอยู่บนขนตายาวของเธอ ผ่านไปสักพักเธอก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง: “สีเกอ ฉันสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหนิงเฉิงได้แล้วนะ ต่อไปนี้เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดีไหม?”

“ดี” หันจื่ออี้กล่าว

ฮั่วชิงชิงมีความสุขอย่างมาก เธอยืดร่างกายของเธอขึ้นและกอดคอของหันจื่ออี้แน่นแล้วโน้มตัวไปจูบเขาทันที

หันจื่ออี้ตกตะลึงจนลืมตาขึ้นมาทันใด และเห็นรอยน้ำตาที่แก้มของฮั่วชิงชิงที่ยังไม่แห้ง

เธอจูบเขาก่อนด้วยท่าทางที่งุ่มง่าม และดูเหมือนเธอจะทำเรื่องแบบนี้ไม่เป็นเลย

แขนของฮั่วชิงชิงที่อยู่บนไหล่ของหันจื่ออี้และเขากำลังจะดึงมือของเธอออกไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเธอเป็นคนที่เอามือออกก่อน: “คุณรู้อะไรไหมคะ ฉันพยายามอย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองที่คุณอาศัยอยู่ ในที่สุดฉันก็สอบเข้าได้! ฉันมีความสุขมากจริง ๆ! จากนี้ไปเราก็สามารถอยู่ด้วยกันทุกวันแล้วสินะ!”

คำพูดของเธอฟังดูเหมือนฟ้าร้อง ซึ่งจู่ ๆ มันก็เหมือนระเบิดขึ้นในหัวใจ

หันจื่ออี้อยู่ในความงุนงงและจำสิ่งที่หลานเสี่ยวถางเขียนถึงเขาก่อนหน้านี้

เหมือนกันทุกประการ

เขาจับแขนของฮั่วชิงชิงแน่น และน้ำเสียงของเขาสั่นเทาที่ตัวเองนั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้: “ผมรู้ คุณไม่ได้สนใจวิศวกรรมซอฟต์แวร์ตั้งแต่แรก ดังนั้นที่คุณเลือกเรียนเอกนี้เพราะผม……”

ฮั่วชิงชิงก็หมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง ขณะที่เธอหัวเราะไปด้วยและเธอก็กัดริมฝีปากของหันจื่ออี้ไปด้วย:“ใช่สิ เป็นเพราะคุณ”

ในตอนนี้ ดูเหมือนเธอจะกลับไปเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่มีความสุข มีชีวิตชีวาและขี้เล่นอีกครั้ง

เธอกัดเขาไปทีหนึ่ง และพบว่าเขาแข็งทื่อไปทั้งตัว ดังนั้นเธอจึงแลบลิ้นออกมาเลียปากของหันจื่ออี้อีกครั้ง เธอโอบกอดคอของหันจื่ออี้แน่น ก็เหมือนกับสาว ๆ ทั้งหลายที่กำลังมีความรักและถามแฟนหนุ่มของตัวเองว่า: “คุณรักฉันมากที่สุดใช่ไหม รักเพียงแค่ฉันคนเดียวและจูบฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น?”

“ใช่” หันจื่ออี้มองหน้าหญิงสาวในอ้อมแขนของเขา แต่กลับมองเธอเป็นผู้หญิงอีกคน: “เพียงแต่ว่าผมไม่เคยจูบคุณเลยสักครั้งเดียว?”

ดูเหมือนว่าเขากำลังหัวเราะ และดูเหมือนว่าเขากำลังโศกเศร้า แล้วในที่สุดเขาก็หลับตาลงจูบเธอ: “ถ้าเช่นนั้นแบบนี้ดีไหม?”

ฮั่วชิงชิงยิ้ม: “ดีมากค่ะ!”

ในขณะที่พูดอยู่นั้นเธอก็โน้มตัวเข้าไปหาเขา