ตอนที่ 352 ในที่สุดก็หย่าแล้ว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 352 ในที่สุดก็หย่าแล้ว

ทั้งสามเดินทางไปที่สำนักกิจการพลเรือน

หลินม่ายเห็นว่าที่นี่ยังมีส่วนงานเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสด้วย คู่รักที่มาจดทะเบียนสมรสกันต่างยิ้มแย้มแจ่มใส สายตาที่มองสบกันช่างดูอ่อนโยนและเขินอายอยู่อบอวล

ส่วนคู่สามีภรรยาที่มาจดทะเบียนหย่านั้นแทบมองหน้ากันไม่ติด คำพูดคำจาไม่ลงรอยกัน แถมยังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พอถึงคิวของเถาจืออวิ๋นกับหม่าเทาที่ส่วนงานจดทะเบียนหย่า เจ้าพนักงานที่เห็นว่าเถาจืออวิ๋นแต่งตัวดีเป็นพิเศษ จึงคิดว่าพวกเขามารับบริการผิดช่อง

เขาชี้ไปยังช่องบริการด้านข้างด้วยความเป็นมิตร “กรุณาต่อแถวรับทะเบียนสมรสที่ช่องถัดไปครับ”

เถาจืออวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างคนมีวุฒิภาวะ “เปล่าค่ะ ฉันมาจดทะเบียนหย่า อยากตัดผู้ชายที่นอกใจฉันในระหว่างแต่งงานออกไปจากชีวิตค่ะ”

หม่าเทาอยากแก้ต่างให้ตัวเอง แต่เถาจืออวิ๋นกลับวางมือลงบนสะโพกของเขา พูดเสียงเข้ม “ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ? หรือจะให้ฉันไปเรียกผู้หญิงที่เป็นชู้กับคุณมาเป็นพยานดี?”

ทันทีที่หม่าเทาได้ยินแบบนั้นก็หุบปากฉับ

เขาแสดงความยินยอมโดยไม่พูดอะไรอีก สายตาดูถูกเหยียดหยามหันมามองเขาจากทุกทิศทุกทาง จนอดรู้สึกไม่ได้ว่าคนทั้งโลกกำลังมุ่งร้ายต่อเขาอย่างชัดแจ้ง

ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที เถาจืออวิ๋นกับหม่าเทาก็จดทะเบียนหย่าเสร็จสิ้น โดยที่ต่างคนต่างได้รับใบหย่าคนละหนึ่งใบ

หลินม่ายหันไปเยาะเย้ยถากถางหม่าเทาด้วยรอยยิ้มแสยะ “เอาล่ะ ต่อจากนี้นายกับพี่เถาก็ต่างคนต่างมีความสุขซะทีนะ จากนี้จะไม่มีใครกล่าวหานายว่าเล่นชู้ไม่เลือกหน้าอีก นายจะไปมีความสัมพันธ์กับใครก็เชิญเลย”

หม่าเทาโกรธมากจนนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีเข้ม แต่เขากลับทำอะไรสาวสวยที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย

ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากัน เขาเป็นฝ่ายถูกหลินม่ายกดให้จมดินทุกครั้งไป ทำอะไรไม่ได้นอกจากกล้ำกลืนความโกรธ

เขาไม่อยากอยู่ต่อให้หลินม่ายหัวเราะเยาะอีก จึงตั้งท่าจะจากไปพร้อมกับใบหย่าในมือ

หลินม่ายไล่ตามเขาไปด้านนอกสำนักกิจการพลเรือนแล้วคว้าคอเสื้อเขาไว้ “ตอนนี้นายกับพี่เถาหย่าขาดจากกันแล้ว นายจะย้ายออกจากบ้านของหล่อนเมื่อไหร่?”

ย้ายออกเหรอ? ไม่มีทาง!

หม่าเทาพูดพลางแสดงสีหน้าอับจนปัญญา “ฉันก็อยากย้ายออกอยู่หรอก แต่แม่ฉันไม่ยอมย้ายไปไหน ฉันเลยทำอะไรไม่ได้”

หลินม่ายตอบกลับอย่างเย็นชา “นายคิดจะใช้แม่เป็นเกราะกำบังใช่ไหม”

เธอหันหน้ากลับไปเรียกเถาจืออวิ๋น “พี่เถา สงสัยเราคงต้องไปตามหาชู้รักของเขาแล้วล่ะค่ะ!”

เถาจืออวิ๋นตอบรับเสียงดังอย่างกระตือรือร้น

หม่าเทาตื่นตระหนกมากจนสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมทันตาเห็น “ฉัน… ฉันจะบอกให้แม่รีบย้ายออกทันทีที่กลับไป!”

หลินม่ายยื่นคำขาด “ถ้าพวกนายไม่ย้ายออกไปจากบ้านของพี่เถาภายในสามวัน ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแน่!”

หลังจากปล่อยหม่าเทากลับไปแล้ว หลินม่ายก็หันกลับไปเรียกเถาจืออวิ๋นให้กลับบ้านด้วยกัน แต่ก็เห็นว่าหล่อนนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นโดยหันหลังให้ เดาไม่ยากว่ากำลังร้องไห้

หลินม่ายเกลียดที่เหล็กไม่ยอมกลายเป็นเหล็กกล้า ยังจะมัวอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม!

เธอเดินไปยืนอยู่ข้างหลังเถาจืออวิ๋นแล้วพูดเตือนสติ “ไม่ต้องคิดถึงผู้ชายแบบนั้นแล้ว พี่ไม่เห็นเหรอว่าตอนที่จดทะเบียนหย่า เขาไม่ได้แสดงสีหน้ารู้สึกผิดหรือเสียใจเลยด้วยซ้ำ? พี่กับเขาคบกันมาตั้งหลายปี เขายังไม่เห็นจะสนใจพี่เลย ทำไมพี่ต้องสนใจเขาด้วย!”

“ใครบอกว่าฉันสนใจ?” เถาจืออวิ๋นหยิบอิฐก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้นดินตรงหน้าสำนักกิจการพลเรือน ก่อนจะชูให้หลินม่ายดู “ฉันกำลังขุดเอาอิฐก้อนนี้ไปทุบหัวไอ้สารเลวหม่าเทาอยู่ต่างหาก ถ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างวันนี้ฉันคงอัดอั้นใจตายแน่”

หลินม่ายเข้าใจความรู้สึกนั้นดี

ผู้หญิงคนหนึ่งอุตส่าห์ทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อรักใครสักคน แต่คนที่รักกลับทำร้ายเธอไม่รู้จบ ไม่ว่าใครก็รู้สึกแค้นใจกันทั้งนั้น

หลินม่ายตั้งท่าจะก้มลงหยิบอิฐด้วย “ฉันเอาด้วย คนเลวนั่นสมควรโดนสั่งสอนซะบ้าง”

พูดจบ เธอก็รวบชายกระโปรงพร้อมซับในขึ้นแล้วย่อตัวลง

เธอไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ตัวเองอีกต่อไป เหยียดมือเรียวข้างหนึ่งไปหยิบอิฐอีกก้อน

เถาจืออวิ๋นรีบดึงแขนเธอไว้ “เธออย่ายุ่งเรื่องนี้เลย ฉันจัดการเองได้”

“ไม่! ฉันเองก็อยากฟาดหัวใครสักคนอยู่พอดี” หลินม่ายไม่ฟังคำห้ามปราม

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเอาแต่นั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นโดยไม่ลุกขึ้นเสียที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนักกิจการพลเรือนจึงเดินเข้ามาเมียงมองด้วยความสงสัย จากนั้นก็ตะโกนลั่น “คุณกำลังขโมยอิฐอยู่เหรอ!”

หลินม่ายพูดจาติดขัด “ฉันไม่ได้ขโมย แค่ยืม ใช้เสร็จเมื่อไหร่จะรีบเอามาวางคืนให้”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจริงจังกับการรักษาทรัพย์สิน “ผมไม่เชื่อว่าคุณยืมแล้วจะเอากลับมาคืนหรอกนะ!”

ว่าแล้วก็กระชากก้อนอิฐจากมือเธออย่างโหดเหี้ยม

เถาจืออวิ๋นเห็นว่าสายตาของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหมือนจะจ้องมองมาที่อิฐในมือตัวเอง พอเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เลยลากหลินม่ายออกไป

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี ต้องรู้จักนิสัยอีกฝ่ายอยู่แล้ว

เถาจืออวิ๋นพาหลินม่ายไปซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็ก ๆ ที่หม่าเทามักจะใช้เดินกลับบ้านเป็นประจำ

รอให้หม่าเทาเดินผ่านหน้าไปแล้ว เถาจืออวิ๋นก็ถอดรองเท้า วิ่งออกจากที่ซ่อนโดยไร้สุ้มเสียง ทุบอิฐเข้าที่ท้ายทอยของเขาโดยแรง ก่อนจะหันกลับไปฉุดหลินม่ายแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวสองคนวิ่งหนีไปไกลจากจุดเดิมภายในชั่วลมหายใจเดียว เถาจืออวิ๋นโยนอิฐเปื้อนเลือดลงในแม่น้ำ โอบไหล่หลินม่ายไว้แล้วระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง

ขณะที่หัวเราะน้ำตาก็รินไหล เป็นการระบายความเจ็บปวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หลังจากหัวเราะจนพอใจ หล่อนก็หันไปกอดหลินม่ายไว้แน่น แล้วพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณนะม่ายจื่อ รอให้ฉันย้ายกลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่ จะชวนเธอกับคุณหมอฟางน้องเขยของฉันไปกินมื้อเย็นด้วยกัน”

หลินม่ายแก้ไขคำพูดของอีกฝ่าย “น้องเขยในอนาคตต่างหาก…”

เถาจืออวิ๋นปล่อยมือ ก่อนจะโบกมือพัลวัน “เธอกับคุณหมอฟางต้องแต่งงานกันไม่ช้าก็เร็ว ถึงเขาจะเป็นว่าที่น้องเขย แต่ก็ต้องกลายเป็นน้องเขยของฉันสักวันไม่ใช่เหรอ?”

ขณะที่พูดแบบนั้น ท้องของหล่อนก็ส่งเสียงโครกครากสองครั้งติด

หลินม่ายหัวเราะ “พี่หิวตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวันเนี่ยนะ?”

“พอคิดว่าวันนี้จะไปจดทะเบียนหย่า ฉันก็ตั้งตาคอยตั้งแต่เช้า ถึงกับลืมกินข้าวมื้อเช้า ตอนกลางวันเลยไม่มีอะไรตกถึงท้อง ไม่แปลกหรอกที่จะหิว พวกเราไปกินบะหมี่กันดีไหม?” เถาจืออวิ๋นเสนอ

หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอาสิ”

ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ริมถนน

ร้านบะหมี่ร้านนี้เปิดโดยสามีภรรยาชาวมุสลิม แต่ไม่มีบะหมี่เนื้อ มีแต่บะหมี่เนื้อแกะและบะหมี่มังสวิรัติ

เจ้าของร้านตัวเล็ก ผิวขาวผ่อง รูปร่างบอบบาง แต่ก็สวยงามตามแบบฉบับของหล่อน

ขณะที่เธอพูด คิ้วและดวงตาก็โค้งตามรอยยิ้ม ถามหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นว่าพวกเธอสนใจกินบะหมี่เนื้อแกะไหม

สาวสวยทั้งสองไม่เคยกินบะหมี่เนื้อแกะมาก่อน จึงตอบรับพร้อมกัน “เอาค่ะ”

ไม่ใช่แค่ตอบรับ แต่ยังสั่งชามใหญ่อีกด้วย

เจ้าของร้านสาวสวยยกบะหมี่เนื้อแกะที่เพิ่งทำเสร็จใหม่สองชามมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว

บะหมี่ของร้านนี้อร่อยมาก แทบไม่ได้กลิ่นคาวของเครื่องใน อีกทั้งตับแกะ หัวใจ และเลือดยังนุ่มละมุนมาก

เครื่องในแกะกับผ้าขี้ริ้วเหนียวสู้ฟันในระดับหนึ่ง น้ำซุปกลมกล่อม

หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นถึงกับเหงื่อโซมหลังจากกินเสร็จ

หลังกินเสร็จ เถาจืออวิ๋นถามหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “เป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงไหม?”

หลินม่ายพยักหน้าหงึกหงัก “แน่นอนอยู่แล้ว!”

หลังออกจากร้านบะหมี่ เถาจืออวิ๋นว่าจะบอกข่าวดีเรื่องการหย่าร้างของตัวเองให้พ่อแม่ได้รับทราบ

หล่อนตามหลินม่ายไปที่ตลาดสด วางแผนว่าจะซื้ออาหารตุ๋นติดไปสักถุงแล้วไปรับฉีฉีจากบ้านพ่อแม่

หลินม่ายจัดแผงสำหรับขายอาหารตุ๋นซึ่งใช้สูตรลับเฉพาะของตัวเองไว้ในตลาดสดด้วย

เถาจืออวิ๋นเคยซื้อไปกินครั้งหนึ่ง พบว่ารสชาติดีทีเดียว

เมื่อสองสาวมาถึงตลาดผักก็เห็นว่าหน้าแผงขายอาหารตุ๋นและเหลียงไช่(1)มีคนรอต่อแถวซื้อยาวเหยียด

เถาจืออวิ๋นแอบกังวล “ลูกค้าต่อแถวซื้อเยอะแยะเลย คงเหลือไม่ถึงฉันแน่ ๆ”

หลินม่ายหันไปขยิบตาให้ “ที่นี่คือตลาดของฉันนะ ตราบใดที่มันยังไม่หมด ไม่ว่ายังไงก็สามารถซื้อได้”

เธอหันไปโบกมือเรียกลูกน้องของเฉินเฟิงที่สวมผ้ากันเปื้อนประจำโซนผัก

สหายน้องชายรีบวิ่งเข้ามาหา “ผู้จัดการหลิน มีอะไรเหรอครับ?”

หลินม่ายใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปทางแผงขายอาหารตุ๋นกับเหลียงไช่ ก่อนจะสั่งด้วยเสียงกระซิบ “นายช่วยไปเลือกอาหารตุ๋นที่ดีที่สุดมาให้ฉันสักสองถุง น้ำหนักถุงละหนึ่งชั่ง แล้วก็เต้าหู้แท่งเปรี้ยวเผ็ด ยำสาหร่าย แล้วก็ถั่วลิสงต้มเครื่องเทศ สามอย่างนี้ก็เอาถุงละหนึ่งชั่ง เวลาตักก็มองซ้ายมองขวาด้วย ระวังอย่าให้ลูกค้าเห็นเชียว”

สหายน้องชายตอบรับ จากนั้นก็หันหลังกลับเดินไปที่แผงขายอาหารตุ๋นและเหลียงไช่

เถาจืออวิ๋นรั้งเขาไว้เสียก่อน “อย่าไปฟังม่ายจื่อ เอาทุกอย่างถุงละครึ่งชั่งก็พอแล้ว”

สหายน้องชายชะงักกึก หันกลับไปมองหลินม่ายเพื่อรอคำสั่งจากเธอ

เถาจืออวิ๋นหันไปพูดกับหลินม่าย “กับข้าวทุกอย่างเอาแค่อย่างละครึ่งชั่งก็พอแล้ว บ้านพ่อแม่ฉันไม่มีตู้เย็นเหมือนบ้านเธอ ถ้ากินไม่หมดจะเก็บใส่ตู้เย็นก็ไม่ได้”

หลินม่ายจึงพยักหน้าให้สหายน้องชาย “งั้นเอาอย่างละครึ่งชั่งก็พอ”

เถาจืออวิ๋นมองตามแผ่นหลังของสหายน้องชายที่เพิ่งหันหลังเดินจากไป ก่อนจะพูดกับหลินม่ายด้วยความละอายใจเล็กน้อย “เพราะฉัน เธอเลยต้องละเมิดกฎ”

เธอรู้ดีว่าตลาดสดฝูตัวตัวของหลินม่ายมีกฎข้อบังคับว่า พนักงานภายในจะไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อสินค้าใด ๆ ที่เข้าขั้นขาดตลาดเป็นการส่วนตัว

ถ้าอยากซื้อ ก็ต้องต่อแถวซื้อเช่นเดียวกันกับลูกค้าคนอื่น ๆ

สาเหตุที่ตั้งกฎนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ความเป็นธรรมกับลูกค้า พวกเขาจะได้ไม่บ่นว่าหาซื้อของที่ขาดตลาดไม่ได้

หลินม่ายยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก”

ไม่นานนัก สหายน้องชายก็เดินกลับมาหาพวกเธอพร้อมกับถุงใส่อาหารตุ๋นและเหลียงไช่หลายถุง

เขายื่นถุงพวกนั้นให้หลินม่าย “ผมตักอาหารให้ตามที่คุณสั่งแล้วครับ เนื้อหมู หูหมู และตับหมูตุ๋นขายหมดแล้ว เหลือแค่ไส้ตุ๋นกับหนังหมูตุ๋นแค่สองอย่าง แล้วก็ของเจอย่างเต้าหู้ตุ๋น ผมเลยจัดการตักไส้ตุ๋นกับหนังหมูมาครึ่งชั่ง เต้าหู้ตุ๋นอีกครึ่งชั่ง”

“แค่นั้นก็พอแล้ว” หลินม่ายส่งต่อถุงอาหารตุ๋นและเหลียงไช่ให้เถาจืออวิ๋น ไม่ลืมถามเขาว่า “ลูกค้าไม่เห็นแน่ใช่ไหม?”

สหายน้องชายส่ายหน้า “ไม่ครับ ผมระวังตัวมาก”

หลินม่ายโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาไปได้

เถาจืออวิ๋นตั้งท่าจะควักเงินจ่ายให้หลินม่าย แต่หลินม่ายเหลือบมองเธอ “พี่ยังจะเกรงใจฉันอีกเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันแค่แกล้งทำเป็นเกรงใจเท่านั้นเอง” จากนั้นก็ไม่คิดยื่นเงินให้อีก

หลินม่ายแวะซื้อซี่โครงหมูสองชิ้น ปลาตะเพียนแบบเป็น ๆ อีกไม่กี่ตัว รวมถึงผักและผลไม้อีกหลายอย่าง จากนั้นก็เดินออกจากตลาดสดไปพร้อมกับเถาจืออวิ๋น แล้วแยกทางกันที่ประตูตลาด

……………………………………………………………………………………………………………….

เหลียงไช่ หรือเหลียงช่าย – ยำผักสดเรียกน้ำย่อยสไตล์จีน มักใส่น้ำมันงา น้ำมันพริกด้วย

สารจากผู้แปล

มันคงแค้นมากอะ ถึงกับหาอิฐไปดักตีหัวผู้ชายสารเลวนี่เลย แต่ยินดีกับจืออวิ๋นด้วยค่ะ หลุดพ้นจากมารผจญเสียที

ไหหม่า(海馬)