ในตระกูลเพอร์เซลล์ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหลานเสี่ยวถางนอนหลับสบายเป็นอย่างมาก และในตอนกลางคืนก็หาโอกาสติดต่อกับสือมูเฉิน
เธอยังติดตั้งซอฟต์แวร์วิดีโอ นอกจากไม่สามารถส่งเสียงใด ๆได้ แต่เธอสามารถเห็นหน้าสือมูเฉิน
เธอจะโชว์ท้องที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆให้เขาดูทุกวัน แล้วบอกเขาว่าในระหว่างวันนั้นตัวเองได้ทานอะไรไปบ้าง และทำอะไรไปบ้าง
เขาจะบอกเธอด้วยว่าเขาเตรียมการอะไรไว้บ้าง แล้ววันกำหนดเพื่อช่วยเธอในอีกสามวันข้างหน้า
ในวันนี้เนื่องจากเวลาที่นัดกับสือมูเฉินเหลืออีกเพียงแค่สิบชั่วโมงแล้ว หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
ในตอนเช้า เธอทานอาหารเช้าไปเล็กน้อย และตอนเที่ยงก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น และมีความรู้สึกว่าไม่อยากอาหารเลย
ช่วงพักเที่ยง เธอหลับตาพักผ่อนอยู่นานแต่ก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งเวลาบ่ายสามโมง คนใช้เดินเข้ามาและพูดว่าโอหยางจวิ้นกลับมาแล้ว
เมื่อวานก่อนได้ยินว่าโอหยางจวิ้นบอกว่าเขาจะไปแอฟริกาใต้แล้ว หลานเสี่ยวถางยังแอบสาปแช่งเขาว่าอย่าได้กลับมาอีกเลย
เมื่อเธอได้ยินข่าวว่าเขาจะกลับมา เธอรู้สึกผิดหวังอย่างมากและยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นไปอีก
เดิมทีโอหยางจวิ้นจะไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นเธอจึงปรึกษาหารือกับสือมูเฉินและกำหนดวันนัดเจอเป็นคืนนี้
แต่ในตอนนี้……
ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น โอหยางจวิ้นได้เปิดประตูและเดินเข้ามา
ต้องบอกว่าเขาดูรูปร่างสูงโปร่ง รวมทั้งเป็นลูกครึ่งรูปลักษณ์หน้าตาของเขานั้นดูดีโดดเด่นอย่างมาก และผู้ชายอย่างเขาสามารถดึงดูดใจสาวๆ นับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย
หลานเสี่ยวถางยังพยายามเกลี้ยกล่อมเขา โดยบอกว่าผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเขานั้นมีแต่ผู้หญิงต้องการเข้าหา ทำไมต้องหาผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย อีกทั้งยังแย่งชิงมาอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้
แต่อย่างไรก็ตาม โอหยางจวิ้นไม่สนใจในสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด เขาพูดกับหลานเสี่ยวถางแค่ประโยคเดียวว่า เพื่อความรุ่งโรจน์และผลประโยชน์
ในโลกของเขา เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่สิ่งที่เธอสามารถมั่นใจได้นั่นก็คือโอหยางจวิ้นไม่ได้รักเธอ มีแต่ความคลั่งไคล้และมีความหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองเชื่อเท่านั้น
ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นยืนอยู่ข้างหน้าหลานเสี่ยวถางสองเมตร เขาหยิบกล่องกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วยิ้มให้เธอ: “ถางถาง นี่สำหรับคุณ”
สรรพนามที่เขาเรียกนั้น หลานเสี่ยวถางรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก เพราะจะมีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นการที่เรียกชื่อเธอแบบนี้
เธอไม่ได้รับของขวัญที่เขามอบให้ เพราะระยะที่อาศัยอยู่ในตระกูลเพอร์เซลล์นั้น โอหยางจวิ้นจะมอบของขวัญให้เธอตลอด และเธอก็ไม่เคยรับเลยสักครั้ง และวันนี้ก็เช่นกัน และไม่อยากให้เขาเห็นความผิดปกติอะไร
โอหยางจวิ้นไม่สนใจเลย เขายิ้มแล้ววางกล่องลงบนโต๊ะพร้อมพูดว่า: “มีตรงไหนที่รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?”
“ไม่มี ขอบคุณ” หลานเสี่ยวถางตอบอย่างสุภาพและห่างเหิน
“ถ้าคุณสบายดีแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นผมจะพาคุณออกไปเดินเล่น” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดอยู่นั้น เขาก็เรียกผู้ช่วยให้เข้ามาและสั่งให้ไปเอารองเท้าของหลานเสี่ยวถาง
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเสนอว่าจะพาเธอออกไปเดินเล่น หลานเสี่ยวถางสับสนเล็กน้อยและกำลังจะปฏิเสธ แต่ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเธอควรจะใช้โอกาสนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ให้มากกว่านี้หน่อย
ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนรองเท้าและลุกขึ้น: “โอเค”
ทั้งสองเดินออกจากห้องด้วยกัน ระหว่างทาง เมื่อคนใช้เหล่านั้นเห็นพวกเขา ก็เรียกพวกเขาว่านายน้อยและคุณหนู
หลานเสี่ยวถางรู้สึกหงุดหงิดมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่เพื่อให้คุ้นเคยกับภูมิประเทศ เธอจึงจำเป็นต้องทนกับมัน
โอหยางจวิ้นพาเธอไปที่ทะเลสาบหน้าคฤหาสน์และพูดกับเธอว่า: “คุณคิดว่าที่นี่สวยไหม?”
ทะเลสาบและภูเขาจะไม่สวยงามได้อย่างไรกัน?
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “วันนี้คุณโอหยางจวิ้นอารมณ์ไหนถึงพาฉันมาชมดูทิวทัศน์?”
“ไม่ บังเอิญว่าผมว่างพอดี และพาคุณออกมาคุ้นเคยกับบ้านของคุณในอนาคต” โอหยางจวิ้นชี้ไปที่ด้านหน้า: “อีกทั้งทำความคุ้นเคยกับยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งความแข็งแกร่งของตระกูลเพอร์เซลล์ด้วย”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจอธิบายให้หลานเสี่ยวถางเข้าใจ และชี้ไปที่อาคารแถวตรงข้ามทะเลสาบ: “ที่นั่น ทางที่ดีคุณอย่าไปที่นั่นคนเดียว เพราะมักจะมีทหารเข้าออกอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งด้านในยังเป็นคลังอาวุธ”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น ก็เห็นเฮลิคอปเตอร์กำลังขะออกจากที่นั่น และไม่นานมันก็บินออกไป
“ทะเลสาบแห่งนี้กั้นสองฝั่งของตระกูลเพอร์เซลล์ ทางฝั่งเราถือว่าเป็นธุรกิจหรูหรา ในขณะอีกฝั่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้ตระกูลอื่นอิจฉา” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดอยู่นั้น หันไปมองหลานเสี่ยวถางแล้วกล่าวว่า : “หลังจากที่เราแต่งงานกัน ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลเพอร์เซลล์หรือhonor ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะต้องพัฒนาอย่างก้าวกระโดด”
ดวงอาทิตย์ ในยามบ่ายนั้น แววตาที่ลึกล้ำคู่นั้นส่องประกาย ในดวงตานั้นเกินอายุของเขา แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเหมือนกับแววตาของคนหนุ่มสาว
บอกเลยว่ามันดูมีเสน่ห์มาก
แต่อย่างไรก็ตาม หลานเสี่ยวถางไม่มีอารมณ์ที่จะคิดเรื่องพวกนี้
เธอกลอกตาและยิ้มเยาะ: “คนเรานั้นมีเพียงแค่ชีวิตเดียว หากตายไปแล้ว ทุกอย่างจะกลายเป็นดินในไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่ามันจะโดดเด่นแค่ไหน มันก็เป็นเพียงลายลักษณ์อักษรที่ถูกจาลึกไว้ในหนังสือทางประวัติศาสตร์เท่านั้น”
“ผมจะไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ หลังจากที่ผมตาย แต่ถ้าผมมีชีวิตอยู่ ผมต้องได้ในสิ่งที่ผมต้องการ!” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดอยู่นั้น เขาเดินหน้าต่อไปโดยชี้ไปข้างหน้า: “แม้ว่าทั้งหมดนี้จะทำมาจากสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ละเลยที่จะป้องกัน”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ฟังในสิ่งที่เขาพูด หัวใจของเธอเริ่มหมดหวังลง แต่สีหน้าของเธอกลับไม่แสดงอาการใดๆออกมา
“คุณเห็นหรือยัง สถานที่แห่งนี้ ทุก ๆ 20 เมตรจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่รอบด้าน” ในขณะที่โอหยางจวิ้นกำลังชี้ให้ดูอยู่นั้นหลานเสี่ยวถางคิดว่ามันเป็นการตกแต่งด้วยพื้นที่สีเขียวทั่วไปพร้อมกล่าวว่า: “การแต่งตกของที่นี่นั้นมันประเมินค่าไม่ได้ ดังนั้นตระกูลเพอร์เซลล์มีทีมงานที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง หากมีอะไรผิดปกติ ก็จะมีสัญญาณแจ้งเตือนดังขึ้น”
ท้ายที่สุด เขาปรายตามองเธอเล็กน้อย :“เมื่อสองปีที่แล้ว มีหัวขโมยมาขโมยต่างหูคู่หนึ่ง และเพียงไม่กี่วินาทีมันก็ถูกจับได้”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกหมดหวัง แม้ต่างหูขนาดเล็กยังสามารถทำให้ถูกจับได้ ถ้าเช่นนั้น หากสือมูเฉินมาช่วยเธอแล้วล่ะก็ ……
ก่อนหน้านี้ เธอเคยเห็นมันจริงๆว่า มียามลาดตระเวนเฝ้าอยู่ในตระกูลเพอร์เซลล์ทุกที่ เธอบันทึกเวลาและคำนวณช่องโหว่ได้อย่างแม่นยำ จากนั้นจึงวางแผนร่วมกับสือมูเฉิน
แต่อย่างไรก็ตาม เธอกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่แห่งนี้มีกล้องติดตั้งไว้มากมายขนาดนี้!
เดิมทีเธออาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเปลี่ยนหน้าจอของกล้องด้วย แต่ประการแรกนั้นเธอไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ และเป็นเรื่องยากมากที่จะเจาะเข้าระบบหน้าจอได้ ประการที่สอง ในกล้องนั้นมีจอภาพมากเกินไป และเธอไม่สามารถเปลี่ยนจอใหม่พร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน ……
หัวใจของเธอเต้นเร็วถี่ขึ้น และดวงตาของเธอก็เหลือบมองไปที่นาฬิกาข้อมือของโอหยางจวิ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
บนนาฬิกาแสดงให้เห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีก 4 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาที่นัดกับสือมูเฉินไว้
พวกเขาเลือกลงมือในตอนหัวค่ำ ไม่ใช่ตอนกลางคืน ดังนั้นก่อนทำตามแผนเธออาจหาโอกาสที่จะบอกกับสือมูเฉินว่าให้เขาเปลี่ยนแผนการหรือยกเลิกแผนการได้……
“ไป เดี๋ยวเราไปหาอะไรดื่มกันที่ชั้นบนกัน” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดอยู่นั้น ก็จับข้อมือของหลานเสี่ยวถางและเดินไปข้างหน้าทันที
ทั้งสองมาถึงห้องที่ตกแต่เป็นสามชั้น โอหยางจวิ้นนั่งลงข้างหน้าต่าง และคนใช้ก็รีบมาเสิร์ฟกาแฟที่เขาโปรดปรานทันที พร้อมเสิร์ฟน้ำผลไม้คั้นสดหนึ่งแก้วให้กับหลานเสี่ยวถาง
“ถางถาง ผมรู้ว่าคุณต้องการจะหนีออกไป” โอหยางจวิ้นจิบกาแฟแล้วพูดเบา ๆ : “อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถหนีออกไปได้”
หลานเสี่ยวถางถอนหายใจออกมาและเงยหน้าขึ้นมองเขา: “ผู้ที่ประสบความสำเร็จ มักริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง!”
“ไม่” ดวงตาของโอหยางจวิ้นจ้องมองไปที่ท้องที่โตของเธอ: “คุณยังมีลูกอยู่ ดังนั้นผมรู้ว่าคุณไม่สามารถเสี่ยงได้”
เขาสั่งให้คนใช้เอากล้องโทรทรรศน์มาให้เขา และชี้ไปที่ตึกตรงข้าม และยื่นกล้องโทรทรรศน์ให้กับหลานเสี่ยวถาง: “ดูซิว่ามีอะไรอยู่บนนั้น”
หลานเสี่ยวถางรับมันและเมื่อเธอดู เธอก็รู้สึกหมดหวัง
ด้านบนนั้น พลซุ่มยิงทุกคนมีปืนและกระสุนจริง!
ดังนั้น เขาพูดถูก เธอไม่สามารถเสี่ยงได้ ยิ่งไปกว่านั้นสือมูเฉินจะมาเสี่ยงแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน!
ในช่วงเวลาหนึ่ง เนื่องจากความตึงเครียดที่คิดอยากจะหลบหนี ในขณะนี้มันได้กลายเป็นความหมดหวังอย่างสมบูรณ์ และในขณะนี้หลานเสี่ยวถาง แม้แต่เวลาคิดวางแผนเรื่องที่จะจัดการกับโอหยางจวิ้นก็ไม่มีอารมณ์คิดต่อไปแล้ว
“ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ฉันไปพักผ่อนก่อนนะ” เธอมองดูด้านล่างพร้อมกับพูดไปด้วย
“คุณรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า ? ผมโทรเรียกคุณหมอดีไหม” โอหยางจวิ้นลุกขึ้น
หลานเสี่ยวถางส่ายหัว: “ไม่ใช่ค่ะ มันแค่เหนื่อยนิดหน่อย เพราะตอนบ่ายวันนี้ฉันหลับไม่สนิท”
“ตกลง ผมจะพาคุณกลับ” โอหยางจวิ้นเดินนำหน้าไปก่อน
ทั้งสองกลับไปถึงที่ประตูห้องของหลานเสี่ยวถาง เธอกำลังจะปิดประตูและโอหยางจวิ้นกล่าวว่า: ถางถาง ผมรู้ว่าสือมูเฉินต้องไม่อยู่นิ่งอย่างแน่นอน สิ่งที่ผมพูดกับคุณในวันนี้ คือหวังว่าคุณจะบอกเขาให้ล้มเลิกที่จะช่วยคุณซะ ”
หลานเสี่ยวถางตะลึงงัน ตกใจจนไม่พูดอะไรไม่ออก
อย่างไรก็ตาม เธอยังเข้าใจในทันทีว่าคนฉลาดอย่างโอหยางจวิ้น ไม่มีทางคิดว่าเธอและสือมูเฉินจะยอมแพ้ได้ง่ายๆ? เขารู้ว่าพวกเขากำลังดำเนินการตามแผน แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะลงมือวันไหนต่างหาก
“ดังนั้น ผมจะให้โอกาสคุณติดต่อเขาครั้งสุดท้าย” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดอยู่นั้น ยื่นโทรศัพท์ให้เธอ: “ผมไม่ต้องการให้งานแต่งงานของเรามีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น และผมเชื่อว่าคุณก็ไม่ต้องการเห็นเขาบาดเจ็บเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เขาถนัดนั้นก็คือด้านธุรกิจ เขาไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธ ยิ่งไม่ใช่สายลับ”
เนื่องจากโอหยางจวิ้นรู้ทุกอย่าง หลานเสี่ยวถางจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว นอกจากนี้เธอจำเป็นต้องโทรหาสือมูเฉินโดยตรงเพื่อแจ้งให้เขาล้มเลิกแผนการที่วางไว้ทั้งหมด
เธอรับโทรศัพท์มาและกดโทรหาสือมูเฉินทันที
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย แม้ว่าจะเป็นเพียงคำว่า ‘ฮาโหล’ เมื่อได้ยินเสียงหลานเสี่ยวถางก็อยากจะร้องไห้ออกมาทันที
นับตั้งแต่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่ค่อยเจอเหตุการณ์ที่ต้องแยกจากกันเป็นเวลานานขนาดนี้เลย
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ: “มูเฉิน นี่ฉันเอง”
สือมูเฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด: “เสี่ยวถาง คุณอยู่……”
ข้าง ๆเธอ โอหยางจวิ้นเตือนว่า: “คุณมีเวลาเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น”
แม้ว่าจะมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมายเหลือเกิน แต่หลานเสี่ยวถางทำได้เพียงพูดความจริงเท่านั้น: “มูเฉิน สถานที่แห่งนี้พวกเขามีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกจุด และมีกำลังพลซุ่มโจมตีอยู่ด้วย ดังนั้นในอนาคตคุณอย่าเสี่ยงเลยนะคะ”
ปลายสาย สือมูเฉินเข้าใจได้ในทันที เขารู้ว่าโทรศัพท์กำลังจะถูกตัด ดังนั้นพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุดว่า: “เสี่ยวถาง ดูแลตัวเองและลูกของด้วยนะ เชื่อผม”
โทรศัพท์ถูกโอหยางจวิ้นแย่งไป เขากดวางสายแล้วยิ้มให้หลานเสี่ยวถาง: “คุณเหนื่อยไม่ใช่เหรอ ? งั้นไปพักผ่อนให้เพียงพอ ถึงเวลารับประทานอาหารค่ำผมค่อยมาหาคุณอีกที”
ในที่สุดเวลาก็ผ่านไปจนหัวค่ำ เวลาที่หลานเสี่ยวถางนัดไว้กับสือมูเฉินนั้นได้ล่วงเลยไปห้าชั่วโมงแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างปกติ หลานเสี่ยวถางจึงรู้สึกโล่งใจทันที
ถึงกระนั้น เธอสะบัดผ้าห่มออก เปิดคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นและเชื่อมต่อวิดีโอทันที คราวนี้ ทันทีที่เธอส่งคำเชิญไปหาสือมูเฉิน สือมูเฉินก็รีบเชื่อมต่อทันที
เธอมองดูเขาบนหน้าจอ ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็แดงก่ำเล็กน้อย
“เสี่ยวถาง อย่าร้องไห้”สือมูเฉินพิมพ์อย่างรวดเร็ว: “ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าแผนการก่อนหน้านั้นมันผิดพลาด แค่นึกถึงวิธีก่อนหน้านี้ ก็รู้สึกว่ามันเป็นแผนการที่มีช่องโหว่ เนื่องจากการใช้กองกำลังติดอาวุธไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด ดังนั้นผมจะใช้วิธีการทางด้านธุรกิจที่ผมถนัดที่สุดเพื่อไปช่วยคุณ!”