“ไม่ขาว” สวีฉางหลินเอ่ยทั้งยังเสริมอีกประโยค “ไม่ขาวเท่าโจวชิวเซียง!”

โจวต้าไห่ขุ่นเคือง เขาเป็นอะไรไป มีอย่างที่ไหนมาว่าภรรยาของตัวเองอย่างนี้?

“เจ้าไม่ชอบกุ้ยหลานแล้วหรือ?” โจวต้าไห่จ้องสวีฉางหลินถาม

เขารู้ว่ามีคนไม่น้อยที่พอมีเงินแล้วก็ไม่ชอบภรรยาของตัวเอง ตอนนี้สวีฉางหลินได้เงินจากการเผาถ่านไม่น้อย คงไม่ใช่ว่ารังเกียจกุ้ยหลานแล้วกระมัง?

หรือว่า เขาไปชอบเด็กบ้านไหน?

สวีฉางหลินขมวดคิ้ว “นางเป็นภรรยาข้า”

ความหมายนี้ชัดเจนมาก เป็นภรรยาของเขา เขาก็ต้องทะนุถนอมอย่างดีสิ จะไม่ชอบได้อย่างไร? ภรรยาของเขาดีออกอย่างนี้

คำตอบนี้ทำให้โจวต้าไห่เพลาใจลงเล็กน้อย ยังดี สวีฉางหลินยังรู้ว่ากุ้ยหลานเป็นภรรยาของเขา แต่หากกุ้ยหลานไม่ใช่ภรรยาของเขาแล้ว เขาจะรู้สึกว่ากุ้ยหลานไม่งามหรือ?

โจวต้าไห่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ไม่มีใจสนทนากับสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินก็โล่งอกมากเหมือนกัน การเคลื่อนไหวมือจึงเร็วขึ้น

ในห้องครัว โจวกุ้ยหลานคีบเกี๊ยวทอดชิ้นหนึ่ง แล้วยัดใส่ปากเจ้าก้อนน้อย เจ้าก้อนน้อยกัดคำหนึ่ง พยายามเคี้ยว รู้สึกว่ากลิ่นหอมทะลุทะลวงอยู่ในโพรงปาก ผิวเกี๊ยวกรุบกรอบ ข้างในก็นุ่ม รสชาติดี

“อร่อยหรือไม่?”

“อร่อย!”

เจ้าก้อนน้อยเอ่ยแล้วกัดอีกคำ

โจวกุ้ยหลานเอื้อมหยิบถ้วยใบหนึ่งบนเตา วางตะเกียบกับเกี๊ยวไว้ในนั้นแล้วยื่นให้เจ้าก้อนน้อย ให้เขาไปกินอยู่ข้างๆ

จากนั้นก็หยิบจาน วางเกี๊ยวที่เหลือไว้ในจานสองใบ จานหนึ่งวางบนเตาให้หลิวเซียงกิน ส่วนอีกจานนำออกไปที่ห้องโถง ลวดหยิบเก้าอี้แล้ววางไว้บนเก้าอี้

“แนะนำให้พวกเจ้าหน่อย เจ้านี่ เรียกว่าเกี๊ยวทอด ต้องกินตอนร้อนๆ เย็นแล้วจะไม่อร่อย” โจวกุ้ยหลานบรรยายพร้อมเอามือไพล่หลัง มองคนนี้ที มองคนนั้นที

นางกล้าพูดเลยว่าสองคนนี้ต้องไม่เคยกินเกี๊ยวทอดมาก่อนแน่ อย่างไรเสียเจ้านี่ก็เปลืองน้ำมันมาก

สวีฉางหลินหยุดงานในมือของตัวเองอย่างให้เกียรติมาก หยิบตะเกียบ คีบเกี๊ยวยัดเข้าปากชิ้นหนึ่ง ค่อยๆ เคี้ยว กลิ่นหอมไหม้คละคลุ้ง จากนั้นก็เป็นรสชาติ ด้านนอกกรุบกรอบ เนื้อด้านในนิ่ม

“อร่อยกว่าพ่อครัวทำอีก”

“เมื่อก่อนเจ้าเคยกินหรือ?” โจวกุ้ยหลานได้ยินแล้วก็นึกประหลาดใจ

สวีฉางหลิน “อืม” จากนั้นก็เอ่ย “เจ้าทำอร่อย”

โจวกุ้ยหลานเบะปาก มักรู้สึกว่าเขากำลังเอาใจนาง นางรู้ฝีมือการทำอาหารของตัวเองดี อย่างมากสุดก็แค่ผู้รักการทำอาหารมือสมัครเล่น เทียบไม่ได้กับคนทำครัวมาตลอดชีวิตพวกนั้น

“อันนี้อร่อย แต่แห้งไปหน่อย” โจวต้าไห่กิน ตอบ

เขารู้สึกว่ารสชาติของเกี๊ยวนี่หอม แต่หากให้เขากล่าว เกี๊ยวต้มยังจะอร่อยกว่า

“อีกเดี๋ยวก็มีเกี๊ยวต้มแล้ว พวกเจ้ากินนี่ไปก่อน” โจวกุ้ยหลานเอ่ยแล้วกลับไปที่ห้องครัวอีก

โจวต้าไห่อยากเอ่ยอะไร แต่เห็นแผ่นหลังนางแล้วก็กลั้นคำพูดกลับไปอีก

ห้องโถงกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง โจวกุ้ยหลานกลับถึงห้องครัว กินเกี๊ยวทอดในจานเป็นเพื่อนเจ้าก้อนน้อย

แม้บอกว่าผู้ชายสองคนไม่มีความสนใจกับของพรรค์นี้เท่าไร แต่คนที่อยู่ในห้องครัวต่างชื่นชอบ โดยเฉพาะเจ้าก้อนน้อย กินไปแล้วตั้งสี่ห้าชิ้นแน่ะ

หลิวเซียงฉวยตอนที่ว่างจากการจุดไฟกินเกี๊ยวทอดหลายชิ้นติดกัน

นางชอบรสชาตินี้จริงๆ

โจวกุ้ยหลานกินพลางเขตามองหลิวเซียง เห็นนางก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวพลันเอ่ย “หลิวเซียง อนาคตเจ้ามีแผนการอะไร?”

นางอยากถามเรื่องนี้นานแล้ว แต่เหล่าไท่ไท่อยู่ด้วยตลอด นางจึงไม่สะดวกถาม

การกินของหลิวเซียงหยุดชะงัก หันไปมองโจวกุ้ยหลาน

“เจ้าพูดตามความคิดในใจเจ้าเถอะ ถ้าช่วยได้ ข้าก็จะพยายามช่วยเจ้า” โจวกุ้ยหลานเอ่ยต่อ

หลิวเซียงรู้สึกเพียงหัวใจของตัวเองเต้นระส่ำ

นี่นางหมายความว่าอย่างไร? จะช่วยนางหรืออย่างไร?

หากช่วยนางได้จริง เช่นนั้นนางจะแต่งงานกับโจวต้าไห่ได้แล้วใช่ไหม? ต่อไปนางจะสุขสบายอย่างนี้ตลอดหรือ?

แต่หากนี่เป็นการหยั่งเชิงนางล่ะ? ถ้ารู้ว่านางมีความคิดอย่างนี้ หรือต่อไปนางต้องไปจากบ้านตระกูลโจวนี่แล้ว?

จิตใจว้าวุ่นพักหนึ่ง นางยังคงเก็บความคิดในใจของตัวเอง

“ข้า…ข้าไม่มีความคิดอะไร ข้าขายตัวให้เจ้าแล้ว เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”

แหม่ พูดมาอย่างนี้ นางกดดันสุดๆ

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ข้าซื้อเจ้า เพราะเห็นเจ้าน่าสงสาร แต่ครอบครัวข้าก็ไม่ชอบให้มีคนนอกอยู่ด้วย มันไม่สะดวกใจ”

คนนอก?

หัวใจหลิวเซียงสั่นระริก ตรึกตรองความหมายในคำพูดของโจวกุ้ยหลาน

นับจากนางถูกซื้อตัว โจวกุ้ยหลานก็เย็นชืดกับนางมาตลอด บอกไม่ได้ว่าดีแต่ก็ว่าไม่ใช่ไม่ดีอีก ไม่ช่วยทางฝั่งเหล่าไท่ไท่หรือโจวต้าไห่ทั้งนั้น ทั้งไม่บอกเล่าความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่านางมีท่าทีอย่างไร…

หลิวเซียงเฝ้าระวังโจวกุ้ยหลานอยู่ในใจ มีความกลัวต่อนางอย่างหนึ่ง แต่หลังจากขบคิดครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยความคิดของตัวเอง “ข้าไม่อยากกลับบ้านตัวเอง อยากทำงานดีๆ อยู่ที่ตระกูลโจว มีให้กินให้อยู่ก็พอแล้ว”

“อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะย้ายขึ้นเขาแล้ว ต่อไปจะไม่ค่อยได้ลงเขาอีก เจ้าจะตามพวกเราขึ้นเขา หรือจะอยู่ที่นี่?”

โจวกุ้ยหลานถามต่อ

“ท่านแม่ ข้าอยากดื่มน้ำ” เจ้าก้อนน้อยแหงนหน้า เอ่ยกับโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานลูบศีรษะของเขา “อย่างนั้นเจ้าก็ให้พ่อเจ้าเทน้ำให้เจ้ากินสิ”
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า วางตะเกียบที่ตัวเองกินไว้ในจาน ลุกขึ้นยืนแล้วย่างเท้าสั้นๆ เดินออกไป

รอจนเขาเดินไปแล้ว โจวกุ้ยหลานก็เหยียดริมฝีปาก หันไปมองหลิวเซียง “เจ้าคิดอย่างไร?”

ตอนนี้ในใจหลิวเซียงกระวนกระวายอย่างหนัก นางย่อมตระหนักดีว่าความสุขสบายในตอนนี้ล้วนเป็นโจวกุ้ยหลานนำพามาให้ อีกทั้งบ้านใหม่ของนางก็สร้างได้ดีมาก ต้องอยู่สบายแน่ แต่หากขึ้นเขาไปแล้ว นางก็ต้องเลี้ยงเด็กตลอดชีวิต ชีวิตในวันข้างหน้า…

แต่หากอยู่ที่นี่ น่ากลัวว่าต่อไปต้องอยู่อย่างลำบาก แต่หากนางสามารถแต่งงานกับโจวต้าไห่ได้ เช่นนั้นย่อมดีกว่าการขึ้นเขา ทว่าเหล่าไท่ไท่ก็เฝ้าระวังนางตลอดเวลา นี่จะพูดเรื่องแต่งงานให้โจวต้าไห่แล้ว เขาจะแต่งภรรยาแล้ว เช่นนั้นชีวิตที่นี่ก็จะยิ่งทุกข์ทน…

ครั้นเห็นนางก้มหน้าไม่มองตน โจวกุ้ยหลานจึงรู้ว่านางกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ จึงไม่ถามต่อ

พูดจนถึงขนาดนี้ก็พอควรแล้ว นางคิดเองได้

ขณะกำลังคิด เจ้าก้อนน้อยก็ย่างเท้าสั้นๆ กลับห้องครัวมา ในมือยังถือน้ำร้อนอยู่

โจวกุ้ยหลานมองเขาอย่างจดจ่อ กลัวว่าเขาจะถูกน้ำร้อนลวก

เจ้าก้อนน้อยเดินไปอยู่ตรงหน้าโจวกุ้ยหลานทีละก้าว ยื่นแก้วน้ำใบนั้นให้โจวกุ้ยหลาน เอ่ยปาก “ท่านแม่ดื่มน้ำ”

“นี่…นี่ให้ข้าหรือ?” โจวกุ้ยหลานพูดอย่างตะกุกตะกักนิดๆ

เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า เขากระหายน้ำแล้ว ท่านแม่ก็น่าจะกระหายเช่นกัน

“เสี่ยวเทียน เจ้าช่างรู้ใจจริง!” โจวกุ้ยหลานเอ่ยประโยคหนึ่ง รับน้ำแก้วนั้นมาค่อยๆ ดื่ม ความอบอุ่นทะลวงไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นยิ่ง