นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 194 ไม่พอใจ
ใครบอกว่าบุตรสาวเป็นเสื้อนวมปุยฝ้ายตัวน้อยที่แอบอิงอก(*หมายถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและรู้ใจพ่อแม่) เจ้าก้อนน้อยก็รู้ใจมากเหมือนกันมิใช่หรือ? ทำให้นางประทับใจจนน้ำหูน้ำตาจะไหลแล้ว
นางคิดพลางดื่มน้ำสองสามอึกจนหมด วางแก้วน้ำกับเก้าอี้ จากนั้นยื่นมือกอดเจ้าก้อนน้อย หอมใบหน้าเขาแรงๆ ฟอดหนึ่ง เจ้าก้อนน้อยถูกนางหอมจนหัวเราะ “คิกคัก”
สองแม่ลูกครึกครื้นอยู่ทางนี้ ส่วนหลิวเซียงทางนั้นกำลังขบคิดปัญหา
ในห้องโถง สวีฉางหลินได้ยินเสียงหัวเราะนั้น หัวใจชุ่มฉ่ำ
เสี่ยวเทียนไม่เคยหัวเราะอย่างนี้มาก่อน ยังเป็นภรรยาตัวน้อยที่มีความสามารถ
โจวต้าไห่ที่อยู่ด้านข้างหันไป นอกจากจะเห็นประตูก็ไม่เห็นอย่างอื่นอีก ใจมีความกังวลเล็กน้อย
กุ้ยหลานชอบเจ้าเด็กเสียวเทียนนี่จริงๆ แล้ว แต่อย่างไรนางก็ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด หากต่อไปฉางหลินมีความคิดเป็นอื่นจริง ไม่คำนึงถึงเสี่ยวเทียน…
ครั้นคิดอย่างนี้ สีหน้าเขาจึงกลายเป็นขรึมมากขึ้นไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานเล่นกับเจ้าก้อนน้อยพักหนึ่ง ทั้งสองเริ่มเหนื่อยแล้ว จึงปล่อยเจ้าก้อนน้อยออก หลังจากทั้งสองนั่งลงก็กินเกี๊ยวทอดของพวกเขาต่อ
ไม่นานเจ้าก้อนน้อยก็กินอิ่ม โจวกุ้ยหลานเองก็รู้สึกอิ่มอยู่เหมือนกัน ครั้นหันไปมองเกี๊ยวทอดจานนั้นที่อยู่บนเตา กลับกินไปเพียงสองสามชิ้น ส่วนหลิวเซียงตอนนี้ก็กำลังก้มหน้าก้มตาเผาฟืนอยู่ ทว่าท่าทางดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
เกี๊ยวทอดนี่ก็กินแค่ไม่กี่ชิ้น…น่าสนใจ
ความนึกสนุกแล่นปราดในดวงตาโจวกุ้ยหลาน
“ไม่ต้องเผาแล้ว เกี๊ยวน่าจะสุกแล้ว” โจวกุ้ยหลานเตือนนาง
“อ้อๆ ได้” หลิวเซียงถูกนางเตือนจึงสะดุ้ง รีบคีบฟืนที่ไหม้อยู่ด้านในออกมาวางบนพื้น กลิ้งสองสามทีเพื่อทำให้ดับ
โจวกุ้ยหลานมองแล้วเตือนอีกหน “เจ้าดับไฟให้หมดเถอะ อย่าให้เกี๊ยวต้มจนเละไปเสีย”
หลิวเซียงผงกหัวหงึกหงักอีกครั้ง แล้วทำตาม
เมื่อนางรับคำแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงพาเจ้าก้อนน้อยเดินออกไป
ครั้นถึงห้องโถงก็เห็นสวีฉางหลินกับโจวต้าไห่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สานกระชุได้คนละใบแล้ว
“พวกเจ้าเร็วเกินไปแล้วกระมัง?”
กล่าวจบก็เดินไปทางกระชุ
“ตอกไม้ไผ่นี่ตากแห้งแล้วก็เลยสานง่าย อีกอย่าง ไม่ได้สานใบใหญ่สักหน่อย” โจวต้าไห่เอ่ย
“นี่ก็เก่งมาก พวกเจ้าเก่งทั้งคู่!” โจวกุ้ยหลานยกนิ้วหัวแม่มือให้ทั้งสอง
โจวต้าไห่เขินเล็กน้อย น้ำเสียงล่องลอยนิดๆ “พูดเรื่องนี้ทำไมกัน…”
รู้ว่าเขาดีใจ โจวกุ้ยหลานก็แค่ยิ้มแต่ไม่พูดจา
ครั้นหันไปมองสวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้าง เขากลับหน้าเฉย อารมณ์ปกติ
“ข้าชมเจ้าเจ้าไม่มีปฏิกิริยาหน่อยหรือ?” โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วกับสวีฉางหลิน
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรืออย่างไร ทำไมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กำลังแอบยิ้มอยู่?
ผู้ชายทางนั้นผินหน้ามา มองโจวกุ้ยหลานที่อยู่ตรงหน้า น้ำเสียงสดใส “ข้าก็เก่งนั่นแหละ”
โจวกุ้นหลานจ้องเขาอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม น้ำเสียงระคนหยอกเย้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘ถ่อมตน’ เขียนอย่างไร?”
“รู้สิ เจ้าไม่รู้หรือ?” สวีฉางหลินย้อนถาม
โจวกุ้ยหลานถูกเขาทำสะอึก นางเขียนคำว่า ‘ถ่อมตน’ ของยุคสมัยนี้ไม่เป็นจริงๆ นั่นแหละ!
โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจ “น้องเขย เจ้ารู้หนังสือด้วยหรือ?”
“อื่ม” สวีฉางหลินตอบ
“รู้หนังสือก็ไม่เห็นเจ้าเขียนกลอนรักให้ข้าสักบท” โจวกุ้ยหลานเอ่ย
ก็เป็นผู้ชายของนางนี่ ถ้าเขียนกลอนรักให้นาง นางต้องเอาเก็บอย่างดีแน่นอน เพราะในอดีตชาตินางไม่เคยได้จดหมายรักสักฉบับ! เป็นความเสียใจใหญ่หลวงแห่งชีวิต!
ตอนนี้สวีฉางหลินเป็นผู้ชายของนางแล้ว หากสามารถชดเชยความเสียใจนี้ได้ จะมีความสุขเพียงไร!
โจวกุ้ยหลานคิด แต่แล้วก็เบะปากอีก ตาคนนี้ร้ายเงียบ น่ากลัวว่าจะชดเชยความเสียนี้ไม่ได้แล้ว
“อะไรเรียกว่ากลอนรัก?” โจวต้าไห่มองโจวกุ้ยหลานด้วยความงงงัน เอ่ยถาม
สวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้างก็ลืมตาสีดำตัดสีขาวชัดมองภรรยาของตนด้วย
เมื่อเห็นทั้งสองไม่เข้าใจ โจวกุ้ยหลานจึงกระตุกมุมปาก
นี่นางพูดจาเพ้อเจ้ออะไร! กลอนรักอะไร คิดเองก็พอ ถ้าไม่ไหวจริงๆ นางก็เขียนกลอนรักไม่เป็น แต่เขียนจดหมายรักให้ตัวเองก็ยังดีนี่
ครั้นคิดอย่างนี้ โจวกุ้ยหลานก็ผ่อนคลาย
“กลอนรักน่ะหรือ ก็คือกลอนที่เขียนให้กับคนที่ตัวเองชอบ ต้องชื่นชมความงดงามสดใสและบุคลิกของอีกฝ่าย แล้วค่อยแสดงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขา(นาง)”
โจวกุ้ยหลานอธิบายกับสองคนนี้ผู้มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ
สำหรับพวกเขาจะเข้าใจหรือไม่นั้น นางไม่สนหรอก
“เสี่ยวเทียนอยากได้กลอนรัก” เจ้าก้อนน้อยเอ่ยปากก่อน
โจวกุ้ยหลานอึ้ง จากนั้นก็ลูบศีรษะของเขา “ยังเป็นเจ้าที่ฉลาดที่สุด ดูสิ พ่อเจ้ากับน้าชายเจ้ายังคิดไม่ได้เลย แต่ข้าเขียนกลอนไม่เป็นนี่สิ”
เข้าใจว่ามารดาตนเขียนไม่เป็น เจ้าก้อนน้อยจึงเงยหน้ามองทางสวีฉางหลิน
สวีฉางหลินตอบอย่างเยือกเย็น “ไม่เป็น”
เจ้าก้อนน้อยที่ถูกปฏิเสธทำหน้าแหย ก้มหน้าวาดรูปวงกลมบนพื้น
ขณะที่โจวกุ้ยหลานคิดจะปลุกปลอบเจ้าก้อนน้อย สวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้างกลับเบนสายตามาที่ตัวนาง “เจ้าไม่สวย”
“หา?”
“ไม่มีบุคลิก ดำ ไม่สวย” สวีฉางหลินจ้องดวงตาของโจวกุ้ยหลาน พูดออกมาทีละประโยค
ทีแรกโจวกุ้ยหลานยังนึกว่าตนเองฟังผิดไป แต่สวีฉางหลินกลับตอกย้ำหัวใจนางทีละประโยค ทำให้หัวใจของนางมีมนุษย์ตัวน้อยค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ร่ายรำโบกจอบกับสวีฉางหลิน เฉาะเขาตายในคราเดียว
“เจ้าพูดอีกทีสิ!” โจวกุ้ยหลานกัดฟัน พ่นวาจาออกไปทีคำ
นางจะให้โอกาสให้เขาพูดเสียใหม่อีกครั้ง!
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว ทำไมภรรยาตัวน้อยโกรธแล้วยังงดงามเช่นนี้?
ความรู้สึกถึงอันตรายในใจทำให้เขามีคำพูดมากขึ้น “ดำเกินไป ผอมด้วย เสื้อผ้าไม่สวย”
เขากล่าวพลางก้มหน้ามองชุดที่อยู่บนตัวภรรยาของตน เงยหน้าอีกครั้ง เสริมอีกประโยค “เสื้อผ้าไม่สวย”
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าฟันของตัวเองจะถูกกัดแตกแล้ว
ตานี่พูดอะไร? นางไม่สวย? นางดำ? เสื้อผ้าไม่สวยหมายความว่าอะไร? หรือบอกว่านางไร้รสนิยม?
ยังจะมากลอนรักอีก! รักเขากับผีสิ!
โจวกุ้ยหลานกำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก จ้องผู้ชายตรงหน้าเขม็ง ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าใครสวย?”
โจวต้าไห่ที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางพวกเขาอย่างนี้แล้ว กลัวจะเกิดเป็นเรื่อง รีบทิ้งกระชุไม้ไผ่ในมือแล้วลุกขึ้นพรวด ไปดึงโจวกุ้ยหลาน
“กุ้ยหลาน พวกเราไปดูท่านแม่เถอะ ทำไมยังไม่กลับมาสักที” เขากล่าวพลางลากโจวกุ้ยหลานเดินออกไปข้างนอก
โจวกุ้ยหลานยังอยากพูดให้รู้เรื่องกับสวีฉางหลิน อยากสะบัดมือจากโจวต้าไห่ แต่ยามนี้โจวต้าไห่มีหรือจะยอมให้นางหลุดไปได้?
นี่หากให้นางอาละวาดขึ้นมา นั่นจะต้องเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตแน่
สองมือโจวต้าไห่จับสองแขนโจวกุ้ยหลานลากออกไปข้างนอก “เรารีบไปดูเถอะ ท่านแม่จะเจอเรื่องอะไรก็เลยกลับไม่ได้หรือเปล่า”
กำลังของโจวกุ้ยหลานหรือจะสู้โจวต้าไห่ แพร็บเดียวก็ถูกเขาลากไปถึงปากประตูแล้ว
ด้วยเวลาเพียงอึดใจเดียว โจวต้าไห่ลากโจวกุ้ยหลานด้วยหนึ่งมือ ส่วนมืออีกข้างก็เปิดประตูห้องโถง พานางออกไป