ครั้นถึงข้างนอก สายลมพัดมาระลอกหนึ่งแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงคลายอารมณ์โกรธลงมามาก

โจวต้าไห่ปิดประตูห้องโถงแล้ว ลากโจวกุ้ยหลานเดินหน้าอีกสองสามก้าวแล้วจึงจะปล่อย

“วันนี้เป็นวันก่อนวันส่งท้ายปี เจ้าจะทะเลาะกับฉางหลินไม่ได้”

โจวกุ้ยหลานตบๆ เสื้อผ้าของตัวเอง เหล่มองพี่ชายทีหนึ่ง “เมื่อกี้เป็นเขาที่หาเรื่องข้า ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ข้าไปหาเรื่องสักหน่อย!”

ตานี่ถึงกับกล้าว่านางขี้เหร่?

ท่านอาทนได้ ท่านอาสะใภ้ทนไม่ได้!

“เขาแค่บอกว่าเจ้าไม่สวย แต่เจ้ายังจะห้ามให้คนเขาพูดความจริงหรือ?” โจวต้าไห่กล่อม

แต่น่าเสียดาย คำพูดนี้ทำให้โจวกุ้ยหลานยิ่งโกรธ “ความจริงอะไร? ข้าขี้เหร่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”

คนซึ่งปราศจากความฉลาดทางอารมณ์โดยแท้!

โจวกุ้ยหลานลอบประทับตราให้พี่ชายตนเองอยู่ในใจ หากพูดออกมาจริงๆ นางต้องโมโหตายแน่

นางเป็นผู้หญิงนะ ชอบให้คนอื่นพูดว่าตัวเองขี้เหร่ที่ไหนกัน? ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ช่างเถอะ แต่สองสามเดือนนี้นางมุ่งบำรุงร่างกายตัวเอง ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีคอลลาเจนเต็มหน้า แต่อย่างน้อยก็ผิวขาวแล้วกระมัง? แล้วเนื้อบนใบหน้าก็อิ่มเอิบขึ้นด้วย ได้รูปสมส่วน นี่ยังไม่สวยกว่าคนส่วนมากในหมู่บ้านหรือ?

ขี้เหร่ตรงไหน?

นางยืนยันว่าไม่สามารถอดกลั้นได้!

“ทำไมเจ้าถึงเอานิสัยอารมณ์ร้อนของแม่เรามานะ? ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เจ้าไม่ขี้เหร่ น้องสาวข้าจะขี้เหร่ได้อย่างไร?” โจวต้าไห่รู้ว่าโจวกุ้ยหลานอารมณ์ไม่ดี และตระหนักว่านางกำลังโกรธ จึงเบนเรื่องทันที

ทำไมท่านแม่ยังไม่กลับมาอีก? เรื่องนี้เขารับมือไม่ไหวนะ…

“ข้าย่อมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ขี้เหร่ แต่เขารังเกียจข้าหรืออย่างไร?” โจวกุ้ยหลานค้อน

ยังมีอะไรเสียศักดิ์ศรีไปกว่าการที่ผู้ชายของตัวเองรังเกียจว่าอัปลักษณ์อีก?

คิดว่านางไม่สวย? อย่างนั้นเขาคิดว่าใครสวย?

โจวต้าไห่ใจสั่น รู้สึกว่าน้องสาวตัวเองเรื่องอะไรก็ไม่พูด แต่ทำไมเอาแต่พูดเรื่องนี้

“อย่างไร สวีฉางหลินพูดกับท่านหรือว่าเขารังเกียจข้า?” โจวกุ้ยหลานเห็นโจวต้าไห่เปลี่ยนสีหน้า พลันถาม

ฝ่ายโจวต้าไห่รีบปัดป่ายมือ “เปล่า ต่อไปพวกเจ้ายังต้องอยู่ด้วยกันดีๆ อีก”

“พี่ ท่านรู้ว่าท่านเป็นคนซื่อหรือไม่?” โจวกุ้ยหลานเหล่ตามองโจวต้าไห่

เมื่อเห็นโจวต้าไห้ทำหน้าเจื่อน นางก็พลันเอ่ย “ท่านเขียนอยู่บนหน้าหมดแล้ว! ว่ามาเถอะ สวีฉางหลินบอกท่านว่ารังเกียจข้าใช่หรือไม่?”

“นั่น…นั่นก็เปล่า…”

โจวต้าไห่ปฏิเสธตะกุกตะกัก

“แล้วอย่างไร? ถ้าท่านไม่บอก ข้าจะไปถามเขาเอง”

ว่าแล้วโจวกุ้ยหลานก็หมุนตัวจะไป

นางอย่างรู้สึกว่าสองคนนี้ว่าอะไรนางลับหลัง! นางรู้สวีฉางหลินดี ผิวเผินบริสุทธิ์หาใดเปรียบ แต่มีความชั่วร้ายเต็มอก แถมยังร้ายเงียบอีก!

โจวต้าไห่เห็นางจะไปถามสวีฉางหลินจริงๆ ก็ฉุดนางไว้ สองมือกดบ่าของโจวกุ้ยหลาน น้ำเสียงร้อนรนเล็กน้อย “ข้าจะบอกเจ้า!”

“อย่างนั้นท่านก็ว่ามาเถอะ” โจวกุ้ยหลานยืนนิ่ง เอามือกอดอก ป้องกันไม่ให้ตัวเองประเดี๋ยวโมโหแล้วจะทุบโจวต้าซานกับสวีฉางหลินที่อยู่ใน้ห้องโถง

เมื่อเห็นว่าปกปิดไม่อยู่ โจวต้าไห่จึงไม่อดกลั้นอีก พรั่งพรูความคิดในใจตัวเองออกมาจนหมด

“กุ้ยหลาน ต่อไปเจ้าต้องดีกับฉางหลินหน่อย ตอนนี้ฝีมือการเผาถ่านเขาได้เงินมาไม่น้อย เจ้าคิดดูสิ มีแม่นางเท่าไรที่จ้องเขา! อายุอานามเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว รีบมีลูกสักคนเถอะ จริงสิ รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวเสียบ้าง เจ้าแบบนี้ไม่ค่อยเหมือนเด็กสาวเลย”

ว่าแล้วโจวต้าไห่ก็มองเสื้อผ้าหนาเตอะบนตัวโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานกลับฟังแล้วเลิกคิ้ว “เขาชอบแม่นางบ้านไหนหรืออย่างไร?”

หากชอบแม่นางบ้านไหนแล้วจริงๆ นางจะถีบเขากระเด็นทันที! ต่อให้เป็นชู้ทางใจก็อดไม่ได้!

“นั่นก็เปล่า แต่เจ้าคิดดูสิ ตอนนี้เขาก็มีเงินแล้ว สายตาก็ย่อมสูง ต่อไปเจ้าแต่งตัว ต้องเอาอย่างชิวเซียงนะ” โจวต้าไห้เอ่ย ตอนท้ายยังเสริมอีกประโยค

กล่าวจบ ก็มองโจวกุ้ยหลานที่ถูกห่อหุ้มจนเป็นกลมดิกอีกที

โจวกุ้ยหลานมองตามสบายตาเขา เสื้อนวมของนาง ดูแล้วเหมือนคนที่ท้องโตหน่อยๆ

แต่นี่จะโทษนางได้หรือ? ก็อากาศหนาวเหลือเกินใช่ไหม?

ดูหิมะนี่สิ ตกลงมาแล้วยังไม่ละลายเลย อุณหภูมิน่ากลัวว่าจะติดลบสิบกว่าองศากระมัง? นางรู้สึกว่าตัวเองจะหนาวตายแล้ว ไม่ใส่ให้มากหน่อยนางก็กลัวว่าชีวิตน้อยๆ ของตัวเองจะต้องถึงอันอวสาน!

“เอาเถอะ เรารีบกลับเข้าไปเถอะ ข้างนอกหนาวจะตายชัก!” โจวกุ้ยหลานหดคอ สอดสองมือเข้าแขนเสื้อทั้งสองข้าง ไม่อย่างนั้นลมได้พัดคนตายแน่

ด้วยอุณหภูมิเช่นนี้ ต้องใส่เสื้อเยอะถึงจะไม่หนาว

โจวต้าไห่เห็นนางอยากกลับเข้าไป กลัวว่านางยังไม่เชื่อคำพูดตน ดังนั้นจึงดึงนางไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมนางอีกพักหนึ่ง “กุ้ยหลาน ฉางหลินชอบการแต่งตัวแบบชิวเซียงในวันนี้ ถ้าในมือเจ้ามีเงิน ก็ไปซื้อมาใส่เถอะ”

“เสื้อหนัง? คอเสื้อขนสัตว์?” โจวกุ้ยหลานนึกการแต่งตัวของโจวชิวเซียง เอ่ยถาม

โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า ถูกต้อง แบบนั้นนั่นแหละ

โจวกุ้ยหลานยิงฟัน จากนั้นก็เก็บรอยยิ้ม “ฉะนั้น เขาบอกว่าข้าสวยสู้ชิวเซียงไม่ได้?”

โจวต้าไห่ตะลึง นังเด็กนี่เดาออกได้อย่างไร?

“ถ้าเขาชอบชิวเซียงขนาดนั้น อย่างนั้นก็ไปแต่งกับชิวเซียงสิ มาแต่งกับข้าทำไม? ไม่ชอบข้าหรือ? ข้าสิไม่ชอบเขา!”

ว่าแล้วนางก็กระชากมือที่โจวต้าไห่จับเสื้อนางไว้ออก แล้วสาวเท้าไปที่ปากประตู ผลักเดินเข้าข้างใน

ทิ้งโจวต้าไห่ยืนอยู่กับที่ มองโจวกุ้ยหลานเดินเข้าห้องโถงตาค้าง ในใจมีความคิดเพียงหนึ่งเดียว…จบกัน

โจวกุ้ยหลานหนาวอยู่ข้างนอกพักหนึ่ง นางหนาวจนจะแย่อยู่แล้ว

นางสาวเท้าเดินเข้าห้องโถง เนื่องจากในนั้นเผาถ่านอยู่จึงอบอุ่นขึ้นไม่น้อย

ไอ้หยา ยังดีๆ ไฟถ่านช่วยชีวิตนางไว้

ทำไมอากาศหนาวอย่างนี้นะ? นางรู้สึกว่าตัวเองจะตายอยู่แล้ว!

นางเป่าลมกับมือทั้งสองของตัวเอง สีมือแรงๆ เดินไปอยู่ข้างเตาผิงไฟ แล้วยื่นมืออังเอาไว้

ร่างกายค่อยๆ อบอุ่นขึ้น

เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆ เห็นมารดาตัวเองนั่งยองผิงไฟ จึงรีบลากเก้าอี้อย่างลำบากมาอยู่ข้างโจวกุ้ยหลาน กระตุกโจวกุ้ยหลานทีหนึ่ง “ท่านแม่ นั่งเก้าอี้”

โจวกุ้ยหลานลูบศีรษะเขา จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างเตาผิงไฟ ดึงเจ้าก้อนน้อยมานั่งบนตักตัวเอง ก่อนจะเอามือของเขาอังอยู่ข้างเตาผิงไฟให้อุ่น

อื่ม ยังเป็นเจ้าก้อนน้อยที่ดี

สวีฉางหลินเหล่ตามองภรรยาตัวน้อยของตัวเองด้วยหางตา เห็นนางมีไอออกจากปากไม่หยุด คาดว่านางคงหนาวมาก เขาพลันวางกระชุไม้ไผ่ ลุกขึ้นไปตรงโต๊ะ หยิบกาน้ำรินน้ำร้อนแก้วหนึ่ง จากนั้นจึงเดินมายื่นให้นาง

ครั้นเห็นน้ำร้อนๆ ควันพวยพุ่งแก้วน้ำมาอยู่ตรงหน้าตนแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงยังรับมาดื่มอึกหนึ่งอย่างไว้หน้า

ครั้นน้ำร้อนเข้าสู่ร่างกาย คนก็พลันอบอุ่นขึ้นไม่น้อย

โจวต้าไห่เดินเข้ามาจากด้านนอก เห็นพวกเขาเหมือนจะดีกันแล้วจึงโล่งอก หันมาปิดประตู

จากนั้น หัวใจที่เข้าสู่ความปกติก็แตกตื่นขึ้นมาอีก

ได้ยินสวีฉางหลินที่เอ่ยคำพูดประโยดหนึ่งตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน “จมูกแดงหมดแล้ว ขี้เหร่จริง”