หยานชิงเจ๋อรู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นจึงซื้อของมารับประทานเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าไม่ได้นอนมานานมากแล้วหรือเปล่า ศีรษะของเขานับวันยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง แม้กระทั่งที่ขาเองก็เริ่มมีอาการเจ็บปวดขึ้นมาอีกแล้วด้วย
ก่อนหน้านี้วินาทีเดียว เขารู้สึกว่าตนเองนั้นยังคงมีสติอยู่ แต่ทว่าในวินาทีต่อมา จู่ ๆ กลับค้นพบว่าตนเองกลับหลับไปแล้วเสียอย่างนั้น
ท่าทางครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นทำให้หัวใจของเขารู้สึกยุ่งเหยิงขึ้นมาเล็กน้อย กลัวว่าจะเป็นเพราะว่าในช่วงเวลาที่กำลังเลือนราง เขาจะคลาดกันกับซูสือจิ่นไป
แต่ทว่า เปลือกตานั้นอดทนต่อความสั่นไหวไม่ไหวแล้ว มันหนักอึ้งราวกับว่าจะสามารถหลับลึกไปได้ทุกเมื่อ
หยานชิงเจ๋อออกแรงหยิกตนเองเบา ๆ แต่กลับค้นพบว่า ความรู้สึกเช่นนี้นั้นมันสามารถฝืนอยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถูกความง่วงงุนกัดกินอีกครั้งในทันที
เขารู้สึกว่าวิธีการนี้ไม่ค่อยเข้าท่านัก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงหยิบขวดน้ำแร่ออกมาจากตู้เย็นในร้านค้า ก่อนจะเปิดผ้าออกมา หลังจากนั้นก็สาดใส่ใบหน้าของตนเอง
ฤดูหนาวของทวีปยุโรปนั้นหนาวเย็นมากขนาดไหน เขารู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ทิ่มแทงเข้าในทันที แต่ทว่า สติกลับตื่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงรอคอยต่อไป
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง กลับมีเพลงภาษาจีนเพลงหนึ่งลอยเข้ามาในหูของเขา
อยู่ในต่างบ้านต่างแดนเช่นนี้ กลับสามารถได้ยินเพลงที่คุ้นเคยได้ มันทำให้คนคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ หยานชิงเจ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปมอง
เขามองเห็นชายวัยรุ่นลูกครึ่งคนหนึ่ง กำลังดีดกีตาร์อยู่ อีกทั้งยังร้องเพลงฉันคิดถึงเธอด้วย
คำที่เขาพ่นออกมานั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก แต่ทว่า เขากลับร้องถ่ายทอดความรู้สึกของเพลงนั้นออกมาได้ทั้งหมด
“เปิดไฟ รูปร่างตรงหน้า ห้องที่กว้างใหญ่ เตียงที่เดียวดาย ปิดไฟไป ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เหมือนเดิม ความเจ็บปวดภายในหัวใจ ไร้หนทางที่จะแบ่งปัน……”
หัวใจของหยานชิงเจ๋อแข็งค้างในทันที จู่ ๆ กลับหวนนึกอะไรขึ้นมาได้ วันที่หย่ากันวันนั้น เขาออกมาจากสำนักงานกิจการพลเรือนและกลับบ้านมา
เขาในตอนนั้นยังไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นหลงรักซูสือจิ่นเข้าแล้ว แต่ทว่า ในตอนที่เขาเห็นห้องอันกว้างใหญ่ที่ว่างเปล่า ภายในตัวห้องเงียบสงบจนได้ยืนเพียงแค่เสียงลมหายใจของเขาเพียงคนเดียว อีกทั้งยังมีเตียงกว้างที่พวกเขายังเคยนอนด้วยกันหลังนั้น มันทั้งสะอาดทั้งเรียบร้อยเป็นระเบียบ ในตอนที่ไม่มีอะไรเลย เขารู้สึกว่าตนเองนั้นถูกทอดทิ้งไปเสียแล้ว
ตอนนี้ จู่ ๆ กลับรับรู้ขึ้นมาแล้ว ขอเพียงแค่เธออยู่ด้วย เขานั้นก็ไม่นับว่าขาดอะไรแล้ว
ดังนั้นแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะจูบเธอที่หน้าประตูโรงละครโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นมาสนอกสนใจเธอ เขาถึงหึงหวง แล้วก็ประกาศความเป็นเจ้าของออกไป
ความรักไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน ก่อนที่มันจะลึกซึ้งมากขนาดนี้
เรียวนิ้วมือของนักร้องคนนั้นแข็งจนแดงไปหมดแล้ว แต่ทว่า ก็ยังคงร้องเพลงต่อว่า “ตั้งแต่ที่คุณจากไป ความสุขที่ไร้เสียง มันกลับราบเรียบไปหมดแล้ว หลังจากที่นอนหลับฝันไป หัวใจที่เป็นอัมพาตก็ค่อย ๆ ลอยไปไกลแล้ว ผมคิดถึงคุณ คิดถึงคุณ แต่ทว่ากลับไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่ร่องรอย แต่ทว่าผมกลับยังคงหวนนึกถึง ผมกลับยังคงจดจำได้ อีกทั้งเวลาหลับตาก็มีหยาดน้ำตาไหลริน……”
หยานชิงเจ๋อได้ฟังแล้วหัวใจก็รู้สึกติดขัดขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดอยากที่จะปิดการมองเห็นและได้ยิน แต่ทว่าในตอนที่หันศีรษะกลับมานั้นเอง จู่ ๆ ก็มองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยอยู่ไกล ๆ!
เธอมาแล้ว มาแล้วจริง ๆ!
ภายในหัวใจมีความรู้สึกบางอย่างไม่ชัดเจน หยานชิงเจ๋อก้าวเท้าวิ่งไปทางซูสือจิ่น
เธอกับซูเผิงฮวาทั้งสองคนสะพายกระเป๋าหนังสือกันคนละใบเท่านั้น แม้กระทั่งกระเป๋าเดินทางสักใบก็ไม่มี ก่อนจะเดินเข้าไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว
คนยุโรปนั้นรูปร่างสูงใหญ่เป็นอย่างมาก รูปร่างของซูสือจิ่นนั้นก็ถือว่าสูงกว่าหญิงสาวในประเทศแล้ว แต่ทว่า ในตอนที่เข้าไปนั้นเองไม่นานนักก็ถูกกลุ่มคนก็บดบังไปเสียแล้ว ส่วนซูเผิงฮวา ถึงแม้ว่าจะสูงกว่าเล็กน้อย แต่ทว่าก็ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็บสิบเจ็ด หยานชิงเจ๋อกำลังตามไล่หลังมา ไม่นานนักก็ค้นพบว่าทั้งสองคนนั้นหายไปอีกแล้ว หัวใจของเขายุ่งเหยิงจนถึงขีดสุด ถึงกระนั้นก็ยังคงเหวกลุ่มคนแล้วไล่ตามไปด้านหน้าด้วยอยู่ดี
เป็นเพราะว่าใกล้จะถึงปลายฤดูหนาวแล้ว ดังนั้น คนในสถานีรถไฟจึงมีไม่น้อย ในตอนที่หยานชิงเจ๋อไล่ตามไปนั้นเอง ซูสือจิ่นทั้งสองคนก็เข้าไปในจุกตรวจตั๋วเรียบร้อยแล้ว
เขาส่งเสียงเรียกชื่อของเธอเสียงดังที่โถงกว้าง ส่วนเธอนั้นแทบจะไม่ได้ยินเลย อีกทั้งยังเดินหน้าต่อไปด้วย
หยานชิงเจ๋อรีบตามไปที่จุดตรวจสอบตั๋วในทันที ก่อนจะหันไปเอ่ยความต้องการกับพนักงานตรวจสอบตั๋ว แต่ทว่า ไม่รู้เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นมีความเป็นคนเยอรมันเข้มงวดกับหน้าที่การงานที่รับผิดชอบเป็นอย่างมากหรือเปล่า พูดอะไรไปก็ล้วนแล้วแต่ไม่ยอมให้หยานชิงเจ๋อเข้าไป
สายตามองไป ซูสือจิ่นทั้งสองคนตอนนี้เดินหายไปที่ชานชาลาเรียบร้อยแล้ว หยานชิงเจ๋อไร้หนทางเลือก ดังนั้นจังทำได้เพียงหันหลังกลับไปซื้อตั๋วมาหนึ่งใบเท่านั้น
เขาถือตั๋วเข้าไปในชานชาลา แต่ทว่าตั๋วใบที่เขาซื้อมานั้นชานชาลาที่อยู่นั้นกลับไม่ใช่ของซูสือจิ่นอันนั้น
เขาจึงถูกคนขวางเอาไว้ แสร้งทำเป็นกำลังจะจากไปแล้ว แต่ทว่ากลับฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันสนใจ ก่อนจะลอบเข้าไปด้านในแล้ว
ทั้งหมด แทบจะเป็นเพราะว่าตอนนี้มันกำลังโบกมือให้เขาแล้ว
เขาพุ่งเข้าไปในชานชาลา ก่อนจะมองเห็นชานชาลาที่หยุดรอรถไฟ
ในตอนนั้นเอง เขารู้สึกขอบคุณพระเจ้าขึ้นมาแล้วนิดหน่อย
หัวใจกำลังโอบอุ้มความตื่นเต้นเอาไว้ เขาตามหาขบวนรถคันหนึ่งก่อนจะเข้าไปด้านใน หลังจากนั้น ก็เลือกทิศทาง ก่อนจะค่อย ๆ ตามหาทีละโบกี้
ในตอนที่เขากำลังตามหาอยู่นั้นเอง รถไฟที่เขาอยู่ก็ออกตัวแล้ว
เขาพึ่งจะตามหาไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ทว่ากลับไม่พบทั้งสองคน หยานชิงเจ๋ออดไม่ได้ที่จะหันศีรษะกลับไปมองนอกหน้าต่าง
ตอนนั้นเอง รถไฟพึ่งจะออกตัวไปได้ไม่ถึงสิบวินาที ตัวขบวนส่วนใหญ่นั้นยังไม่ทันที่จะได้ออกจากชานชาลาไปทั้งหมด เขาพิงเข้ากับกระจก ก่อนจะสบตามองไปด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ทว่ากลับมองเห็นซูสือจิ่นและซูเผิงฮวาแล้ว!
ทั้งสองคนถือกระเป๋าเอาไว้อยู่ กำลังเดินไปที่ชานชาลา!
ในตอนนั้นเอง หัวใจของหยานชิงเจ๋อนั้นแทบจะหยุดเต้นในทันที เขาสบตามองไปด้านนอกอยากไม่เชื่อสายตา อีกทั้งยังไม่อยากยอมรับความจริงนี้อีกด้วย!
ทิศทางของทั้งสองคนที่เดินไปนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่รถไปกำลังเคลื่อนตัว แต่ทว่า รถไฟนั้นเร็วกว่า ส่วนฝีเท้าของคนนั้นช้ากว่า ดังนั้นแล้ว ไม่นานนักรถไฟก็เข้าไปใกล้กับทั้งสองคนแล้ว!
หยานชิงเจ๋อพุ่งเข้าไปใกล้หน้าต่างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น ก่อนตะโกนร้องเรียกไปทางด้านนอกว่า “เสี่ยวจิ่น!”
แต่ทว่า เป็นเพราะว่าเครื่องปรับอากาศในตัวรถไฟ การจะเปิดตัวกระจกจึงเริ่มทำให้เสียแรงไปเล็กน้อยแล้ว ในตอนที่หยานชิงเจ๋อเปิดหน้าต่างรถไฟนั้นเอง ทั้งสองคนก็ถูกสะบัดไปทางด้านหลังเสียแล้ว
เขาไม่ยอม หลังจากนั้นจึงหันศีรษะที่ทางด้านหลังแล้วมองทั้งสองคนที่ยิ่งไกลออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ “เสี่ยวจิ่น! เสี่ยวจิ่น!”
เขาเห็นแล้ว ราวกับว่าซูสือจิ่นได้ยินแล้ว
เธอหันศีรษะกลับมาอย่างรวดเร็วเล็กน้อย สบตามองไปรอบบริเวณ แต่ทว่ากลับไม่พบอะไรเลย
สายตากำลังมองทั้งสองคนที่กำลังจะหายไป หยานชิงเจ๋อเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ฉันอยู่บนรถไฟ!”
ในตอนนั้นเอง เป็นเพราะว่าระยะห่างนั้นไกลมากแล้ว ซูสือจิ่นจึงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรเลย
วันนี้ ซูสือจิ่นกับซูเผิงฮวาเดิมจะต้องนั่งรถไฟขบวนที่หยานชิงเจ๋อขึ้นไปขบวนนั้น เพียงแต่ว่าในตอนที่ทั้งสองคนขึ้นรถไฟไปแล้วนั้นเอง กลับค้นพบว่าลืมของสำคัญอย่างหนึ่งเอาไว้ที่โรงแรม
ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องลงจากรถไฟมาก่อน หลังจากนั้นจึงกลับไปหยิบกลับมาแล้วจึงค่อยว่ากันใหม่อีกครั้ง
อันที่จริงแล้วในช่วงเที่ยงวันตอนที่มาถึงหน้าสถานีรถไฟแล้วนั้น ซูสือจิ่นเองก็ได้ยินเพลงจีนแล้ว อีกทั้งยังตั้งใจหยุดฟังอยู่ครู่หนึ่งเสียด้วย
เธอเดินตามบิดาเข้าไปในฝูงคน แต่ทว่าในตอนที่กำลังเดินเข้าไปในจุดตรวจตั๋วนั้นเอง จู่ ๆ ก็ราวกับว่าได้ยินว่ามีคนเรียกเธอ
“เสี่ยวจิ่น?”
เสียงนั้นเรียกเธอเอาไว้แบบนี้ นอกจากหยานชิงเจ๋อแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้วล่ะ
แต่ทว่า เขาจะมาอยู่ที่สถานีรถไฟได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นแล้ว ซูสือจิ่นจึงนึกเสียว่าเมื่อครู่นี้ได้ยินเพลงจีนไปแล้ว คงจะมีอาการเลอะเลือนเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก
จนกระทั่ง เธอขึ้นรถไฟไปแล้วก็ลงมาอีกครั้ง กลับได้ยินน้ำเสียงที่เรียก ‘เสี่ยวจิ่น’ นั่นชัดเจนมากกว่าเดิม
น้ำเสียงนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็นเสียงของหยานชิงเจ๋อ
เพียงแค่ น้อยครั้งนักที่เธอจะได้ยินเขาใช้น้ำเสียงแบบนี้เรียกเธอ
ไม่สนใจเลยว่าน้ำเสียงนั้นจะดังมากแค่นี้ อีกทั้งเวลาก็เร่งรีบด้วย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ท่าทีเย็นชาของเขาในยามปกติเลย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วซูสือจิ่นจึงมองไปยังรอบบริเวณ แต่ทว่า กลับไม่พบอะไรเลย
เรื่องราวทั้งหมด ราวกับว่าเป็นห้วงแห่งความฝันฉากหนึ่งเลยก็ไม่ปาน ไม่มีแม้แต่ร่องรอย
นี่เธอกลับยังคิดถึงเขาอยู่อีกงั้นหรือ? เป็นจิตใต้สำนึกใช่ไหม? ซูสือจิ่นทั้งรู้สึกหมดคำจะพูดทั้งรู้สึกเจ็บใจกับความรู้สึกเลอะเลือนที่ตนเองกลับมีมันขึ้นเช่นนี้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเดินตามบิดาไปทางด้านในต่อ
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็แทบจะเที่ยวเล่นไปทั้งยุโรปรอบหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซูสือจิ่นเองก็ไม่ได้เปิดอ่านอีเมลใด ๆ จากหยานชิงเจ๋ออีกเลย
เธอบล็อกอีเมลของเขา ตัดขาดช่องทางการติดต่อที่อาจจะสามารถเห็นเขาได้ไปทั้งหมด แม้กระทั่ง ต้นฉบับการออกแบบในตอนแรกเหล่านั้น เธอก็ไม่เอาแล้ว กลับกัน เธอนั้นยังคงจำได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วอย่างมากก็แค่ใช้เวลาแล้ววาดมันใหม่อีกครั้งไปแล้ว
มีสิ่งของบางอย่าง ปลูกลงไปอย่างรุนแรงครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งต่อไป ก็ไม่กล้าที่จะไปแตะต้องมันต่ออีกแล้ว
เธอไม่รู้ว่าการตัดสินใจของตนเองนั้นท้ายที่สุดแล้วมันลึกซึ้งมากแค่ไหน เผชิญหน้ากับแรงดึงดูดนั้นยังสามารถยืนหยัดไปได้อีกแค่ไหน แต่ทว่า ดูแล้วคงจะไม่ได้รับผลกระทบอีกครั้งหนึ่งแล้วล่ะมั้ง?
กลับกัน หยานชิงเจ๋อเองก็ไม่ได้รักเธอ ขอเพียงแค่รับรู้ในจุดนี้แล้ว เธอเองก็จะไม่อนุญาตให้ตนเองนั้นได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาต่อไปแม้แต่นิดเดียว
ต่างก็บอกกันว่าเวลาคือยารักษาทุกเรื่องราวได้ดีที่สุด เธอเกือบจะตายไปแล้วครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังหายไปตั้งปีครึ่ง เกรงว่า ถึงแม้ว่าบาดแผลจะใหญ่มากแค่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่จะสามารถสมานแผลได้ในวันใดสักวันหนึ่ง
เธอเองก็จะสามารถปล่อยวางมันได้อย่างจริง ๆ ในสักวันด้วย
สองเดือนหลังจากนั้น ซูสือจิ่นเองก็เข้าพักอาศัยอยู่ในบ้านใหม่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว
บนอินเทอร์เน็ต ก็กลับเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีลูกค้าไม่มากนัก แต่ทว่า ในทุก ๆ การออกแบบนั้นเธอล้วนแล้วแต่ใช้ใจทำทั้งสิ้น เธอเชื่อว่าตนเองจะมีวันสักวันหนึ่ง ที่จะสามารถส่งออกสินค้าออกไปได้อย่างแน่นอน
เป็นเพราะว่าซูเผิงฮวาเป็นห่วงสุขภาพของซูสือจิ่น ดังนั้นแล้วจึงอยู่เป็นเพื่อนเธอมาโดยตลอด แต่ทว่า ซูสือจิ่นเองก็เข้าใจ ซูเผิงฮวาอายุมากแล้ว มีของมากมายที่ต่างประเทศที่เขาไม่เหมาะสมด้วย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้ไปพบหน้าเพื่อนฝูงเมื่อก่อนของตนเองนานแล้ว ในตอนที่เธอยุ่ง เขาเองก็อึดอัดห่อเหี่ยวเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงหันไปเอ่ยกับซูเผิงฮวาว่า “คุณพ่อคะ คุณพ่อกลับบ้านไปก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ที่นี่หนูโอเคแล้วล่ะค่ะ อีกอย่างหนึ่ง หนูก็มีเพื่อนอีกสองสามคนช่วยทำด้วยกันไม่ใช่หรือไงคะ? ทุกคนคอยช่วยเหลือดูแลกันอยู่ มันจะต้องไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอนค่ะ”
ซูเผิงฮวาสบตามองบุตรสาว รู้สึกเพียงแค่ว่าสองเดือนมานี้ สภาพจิตใจของซูสือจิ่นดีขึ้นเยอะมาก ส่วนเขา กลับหวนคิดถึงบ้านขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริง ๆ นั่นแหละ หลังจากที่กลับไปแล้ว ก็ยังคงมีภารกิจอีกเล็กน้อยที่ยังต้องไปจัดการด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงพยักหน้า “ก็ได้ สือจิ่น ถ้าอย่างนั้นแล้วสุดสัปดาห์นี้พ่อจะซื้อตั๋วกลับไป แต่ว่าวันครบรอบของแม่ของลูกใกล้จะถึงแล้วนะ ครั้งนี้ลูกจะตามพ่อกลับไปแล้วค่อยกลับมาใหม่ หรือว่า……”
คำพูดของเขายังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจนจบ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ช่างเถอะนะ พ่อกลับไปเองคนเดียวก็พอแล้วล่ะ แม่ของลูกเขาจะต้องรับรู้ถึงความกตัญญูของลูกอย่างแน่นอน ลูกจะกลับหรือไม่กลับก็ได้ บินระยะยาวเองก็เหนื่อย ลูกอย่าลำบากมากไปกว่านี้เลยนะ”
ซูสือจิ่นส่ายหน้า “คุณพ่อคะ คุณแม่เองก็จากไปนานมากแล้วนะคะ หนูต้องกลับไปทุก ๆ ปีอยู่แล้วด้วย ดังนั้นในปีนี้ หนูเองก็จะไม่ละเลยค่ะ อีกอย่าง เรื่องราวมากมายเมื่อปีก่อนของพวกเรานั้นผ่านพ้นไปแล้วด้วย ปีนี้ เป็นปีที่ดีของพวกเรานะคะ! แต่เผอิญว่าวันอังคาร แล้วก็วันพฤหัสบดีนี้จะมีเพื่อนมาหาหนูด้วยค่ะ แบบนี้มันจะคาดกันได้”
ซูเผิงฮวาพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราไปหาแม่ของลูกกันก่อนสักวันสองวันก็แล้วกันเนอะ”
สองวันหลังจากนั้น ผ่านการเดินทางโดยเครื่องบินมาแล้วกว่าสิบชั่วโมง ซูสือจิ่นกลับมาที่แผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เธอกับซูเผิงฮวาออกมาแล้ว กำลังจะไปยังสถานที่เรียกรถ ก่อนจะมองเห็นเงาคุ้นเคยร่างหนึ่ง!
ซูสือจิ่นคิดคำนวณขึ้นมาในทันที เธอไม่ได้พบหยานชิงเจ๋อมาสามเดือนแล้ว
เธอในช่วงเวลาที่ผ่านมา แทบจะไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย
แต่ทว่า ของทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องมีแรกเริ่มไม่ใช่หรือ? เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากเขา แต่กลับไม่ได้พบหน้ากันถึงสามเดือนเลยจริง ๆ ไม่มีการติดต่อใด ๆ ค่อย ๆ เป็นไปอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าเขาค่อย ๆ ถูกปิดอยู่ในความทรงจำของเธอแล้ว
เธอไม่สามารถลืมเขาได้ แต่ทว่า มันไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ที่มันจะคิดถึงคะนึกหาเขาอยู่ตลอดเวลา
เธอเริ่มที่จะค่อย ๆ ให้ความสนใจกับอินเทอร์เน็ตของตนเอง สนใจในทุกการออกแบบของขวัญ ค่อย ๆ เป็นไปอย่างเชื่องช้า จากเธอที่คิดถึงเขาทุกวันวันละหลายสิบครั้ง ไปจนถึงสิบกว่าครั้ง แล้วก็ไปจนถึงสองสามครั้ง……