บทที่ 277.1 เอาชีวิตเขา (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 277 เอาชีวิตเขา (1)
กู้เจียวเองก็มาถึงยังถนนไป๋สือแล้ว นางแทรกกายไปตามฝูงชน ตามหาเงาร่างของกู้เหยี่ยน ขณะที่นางผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ก็แอบรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับตนเองเคยมาที่นี่

ทว่านางไม่เคยมาแม้สักครั้ง

แต่เป็นกู้เหยี่ยนต่างหาก

เขาเคยมาที่นี่

กู้เจียวเดินย้อนกลับตามหาแถวโรงน้ำชา ยามเดินผ่านมุมเลี้ยว ฝีเท้าของนางก็หยุดลง

นางมองไปทางตรอกกว้างขวางแต่กลับเงียบสงัดทางซ้ายมือ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมา

นางกุมหัวใจที่เต้นรัว ความเจ็บปวดแล่นริ้วออกมาจากภายใน!

“อาเหยี่ยน!”

หลังจากกู้ฉังชิงออกมาจากเรือนหนานเฟิง ก็ย้อนกลับไปตามถนนไป๋ฉือแล้วก็เจอบริเวณนี้เช่นกัน

เขาเห็นกู้เจียวจึงรีบควบม้าเข้ามา เมื่อเห็นว่ากู้เจียวสีหน้าไม่สู้ดีนักจึงรีบเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปรึ”

กู้เจียวกำชายเสื้อแน่น มองไปทางฟากฟ้ายามราตรีฝั่งตะวันตกอันไกลสุดลูกหูลูกตา “อาเหยี่ยนอยู่ที่นั่น”

กู้ฉังชิงทอดสายตามองตามนาง ก่อนจะละสายตากลับมาแล้วยื่นมือให้นาง “ขึ้นมา”

กู้เจียวคว้ามือเขาไว้แล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า นางกำอานม้าไว้แน่น

กู้ฉังชิงไม่จำเป็นต้องกังวลว่านางจะตกม้าเหมือนกู้เหยี่ยน เขาก็กระตุกบักเหียน “ไป!”

เจ้าม้าเองก็เหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้านาย ควบออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางยามราตรี

“ถนนเส้นใด”

ณ ทางแยก กู้ฉังชิงถามกู้เจียว

กู้เจียวเหลียวมอง “ทางนั้น”

สองขาของกู้ฉังชิงหนีบท้องม้าแน่น เจ้าม้าแล่นถลาลมไปทางถนนฝั่งขวามือ

เขาลัดผ่านถนนเส้นนั้น ขณะที่เข้ามาถึงตรอกย่านโลกีย์ก็เหมือนจะพอคาดเดาบางอย่างได้ ตรอกสายนี้ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง เป็นสถานที่ที่เหล่าเศรษฐีผู้มีอิทธิพลมากมายมากินดื่มรื่นเริง

เคยมีคนพาเขามาที่นี่ บอกว่าจะมอบเรือนหลังหนึ่งให้กับเขา ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจ เพียงแค่ยังไม่คุ้นเคยกับการรับสินบนรางวัลก็เท่านั้น แต่อีกฝ่ายกับเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “ใต้เท้าตูเว่ยไม่ต้องเกรงใจหรอก ใต้เท้าถังเองก็มีเรือนหลังหนึ่งอยู่ที่นี่ เรือนข้างหน้านี้อย่างไรเล่า”

พอนึกได้ดังนั้น กู้ฉังชิงก็รู้แล้วว่าถังหมิงอยู่ที่ใด

เขารอให้ม้าควบไปถึงไม่ไหว จึงพลิกตัวลงม้าแล้วส่งม้าต่อให้กู้เจียว ส่วนตัวเองก็ใช้วิชาตัวเบาก่อนจะหายวับไปกับท้องฟ้าอันมืดมิด

วินาทีที่เขาผละตัวออก ในหัวเขามีความคิดบางอย่างแวบผ่าน ทว่าเพียงแวบเดียวก็หายไป

แสงจันทร์สลัว แสงเทียนอบอุ่น

ถังหมิงฉีกชุดตัวนอกและเสื้อทับของกู้เหยี่ยนจนขาดวิ่น เหลือเพียงชุดตัวในผืนบางที่หลุดลุ่ยอยู่บนเรือนกาย

ช่างเป็นสมบัติล้ำค่าท่ามกลางมวลหมู่มนุษย์จริงๆ

ถังหมิงลูบไล้ไปตามขาขาวเรียวยาวทั้งสองข้าง ก่อนจะคร่อมทับร่างของกู้เหยี่ยน

ปัง!

เสียงโครมครามดังขึ้น ประตูห้องทั้งบานพังลงมาในทันใด

รังสีอาฆาตอันรุนแรงแผ่ซ่านออกมาจากด้านหลังของถังหมิง ม่านมุ้งขยับไหวทั้งที่ไร้สายลม สันหลังของถังหมิงเย็นวาบ เขาเอื้อมมือออกไปคว้ากระบี่ยาวที่วางข้างหมอน ทว่ายังไม่ทันคว้าถึง สายแส้ยาวก็ทะลวงผ่านม่านมุ้งเข้ามารัดลำคอของเขาเอาไว้

เขาไม่ทันแม้แต่จะขัดขืน ก็ถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนกระแทกเข้ากับผนัง หลังจากกระแทกเข้าอย่างจังก็ล้มหมอบลงกับพื้น

เขาล้มลงแรงพอสมควร นิ่งไปครู่ใหญ่ก็ยังลุกไม่ขึ้น

กู้ฉังชิงถลาเข้าไปยังหน้าเตียง ฉีกมุ้งจนไม่เหลือชิ้นดี พอเห็นกู้เหยี่ยนในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แววตาก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นมา เขาไม่ใช้ผ้าห่มบนเตียงห่อร่างของกู้เหยี่ยน แต่กลับถอดชุดตัวนอกของตัวเองออกมาคลุมไว้ในทันที ก่อนจะห่อร่างของกู้เหยี่ยนไว้อย่างหนาแน่น!

กู้เหยี่ยนไม่ได้สติ ร่างกายร้อนผ่าว

ต้องถูกคนวางยาอย่างแน่นอน

แม้กู้ฉังชิงคิดอยากจะฆ่าคนขึ้นมาแล้ว แต่ยามนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของกู้เหยี่ยน

เขาอุ้มกู้เหยี่ยนขึ้นมา กู้เหยี่ยนทิ้งร่างอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง

“อย่า…” เขาเอ่ยเสียงรวยริน

กู้ฉังชิงปวดใจเจียนตายแล้ว เขาพยายามบังคับแขนที่โอบร่างของกู้เหยี่ยนไม่ให้สั่นไหว

“ข้าเอง” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา

กู้เหยี่ยนมองเขาด้วยสติอันเลือนราง อันที่จริงก็มองเห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่ เห็นเพียงแค่เงาพร่ามัวตรงหน้า แต่ร่างกายของอีกฝ่ายทำให้ลมหายใจของเขาสงบลง

เขาเผยอริมฝีปาก “ท่านพี่”

หัวใจของกู้ฉังชิงแตกสลายเพราะคำว่าท่านพี่

แม้จะรู้ดีว่าคำว่าท่านพี่นี้เหมือนกับคำว่าพี่ใหญ่จากปากของเสี่ยวจิ้งคง ทว่าหัวใจของกู้ฉังชิงก็ยังคงสั่นไหว

เขาอยากจะบอกคนตรงหน้าเหลือเกิน ใช่ ข้าคือท่านพี่ของเจ้า พี่ชายแท้ๆ ของเจ้า

“อืม~” เมื่อรับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จู่ๆ กู้เหยี่ยนก็รู้สึกอดสูขึ้นมา

ยามอยู่ต่อหน้าถังหมิงดวงตาของเขานั้นแข็งกร้าว ทว่ายามนี้กลับแดงก่ำ ความคับแค้นในอันยากจะอธิบายด้วยคำพูดฉายผ่านแววตานั้น

หัวใจของกู้ฉังชิงราวกับถูกทิ่มแทงจนพรุนไปหมด

เขากระชับกู้เหยี่ยนในอ้อมแขนไว้แน่น ยามนี้เขาแทบจะไม่เหลือสติสัมปชัญญะใด หากไม่ใช่เพราะลมหายใจของกู้เหยี่ยนนั้นอ่อนแรงเหลือเกิน เขาก็อยากพุ่งตัวเข้าไปจัดการถังหมิงให้เสร็จสิ้น!

“กู้ฉังชิง…เจ้าเองรึ” ในที่สุดเรี่ยวแรงของถังหมิงก็คืนกลับมาบ้างเล็กน้อย เขาค่อยๆ ตะกายขึ้นจากพื้น ทว่ายังไม่ทันได้ยืนขึ้น ก็ถูกกู้ฉังชิงถีบจนล้มกลับไปที่เดิม!

เขากระอักเลือกออกมาในทันใด!

กู้ฉังชิงมองเขาอย่างเคียดแค้น “ถังหมิง แค้นนี้ ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าแน่!”

ถังหมิงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดกู้ฉังชิงถึงตามมาที่นี่

หรือเจ้าหนูคนนี้…

ทันใดนั้นถังหมิงก็จำได้ว่าตนเองเคยเห็นกู้ฉังชิงขี้ม้ามากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งบนถนนใหญ่ หรือว่า…เด็กหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้จะเป็นเด็กหนุ่มคนเดียวกับที่กู้ฉังชิงโอบไว้ในอ้อมกอด

พวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกัน

ที่ว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของติ้งอันโหว…เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ

แต่ไม่ใช่ว่ากู้ฉังชิงนั้นยอมรับเพียงแค่น้องชายร่วมมารดาอีกสองคนหรอกหรือ แล้วมาสนใจใยดีน้องชายอีกคนตั้งแต่เมื่อใดกัน

ท่าทางเขาตื่นตระหนกเสียขนาดนั้น ทำอย่างกับว่าใครกำลังจะฆ่าจะแกงเขา!

ต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรือ!

ถังหมิงบาดเจ็บเล็กน้อย เขากุมหน้าท้องที่เจ็บพลางถลึงตามองกู้ฉังชิงอย่างมาดร้าย มืออีกข้างหนึ่งปาดคราบเลือดที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ใช่แค่ลูกชายของนางแพศยาคนหนึ่งหรอกหรือ เจ้าเองก็เกลียดเขาเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร สู้ส่งเขาให้ข้าไม่ดีกว่าหรือ ข้าจะสั่งสอนเขาแทนเจ้าเอง”

ถังหมิงไม่เห็นลูกของภรรยารองอยู่ในสายตาอยู่แล้ว โดยทั่วไปแล้วเด็กพวกนี้มักจะไม่เป็นที่รักของตระกูลสักเท่าไหร่ ยิ่งได้ยินมาว่าภรรยารองของติ้งอันโหวนั้นชาติกำเนิดต่ำต้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแล หอบลูกชายออกไปใช้ชีวิตกันในชนบท

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กู้ฉังชิงจะวางมาดหวงแหนเช่นนี้ให้ใครดูกัน

ลมหายใจของกู้เหยี่ยนเริ่มไม่คงที่ กู้ฉังชิงอดกลั้นความวู่วามที่จะเอาชีวิตถังหมิง สุดท้ายเขาเหลือบตามองถังหมิง “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะหนีออกไปจากเมืองหลวงตั้งแต่คืนนี้แล้วไม่กลับมาอีก”

“เหอะ” ถังหมิงแค่นเสียงออกมาอย่างไม่แยแส

หากเป็นเมื่อก่อน ถังหมิงคงอดทนอดกลั้นหากกู้ฉังชิงข่มขู่เขาเช่นนี้ ทว่ายามนี้ท่านอาองเขาเป็นถึงจอมพลทหารม้าหยวนไซว่ เขาเองก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพ กู้ฉังชิงเป็นเพียงแค่ผู้บัญชาการค่ายหู่ซานตัวกระจ้อยร่อย คิดจะมาลูบคมเขาอย่างนั้นหรือ!

เขาไม่กลัวว่ากู้ฉังชิงจะฟ้องร้อง แม้เรื่ องนี้เขาจะเป็นคนผิดก็จริง แต่หากแพร่งพรายออกไป คนที่เสียหายก็มีแต่เจ้าหนูคนนั้น

ในตอนนั้นคนทั้งเมืองหลวงก็จะรู้ว่าน้องชายของกู้ฉังชิงเป็นของเล่นของถังหมิง

กู้ฉังชิงกับเจ้าหนุ่มน้อยหน้าหยกคนนี้จะยอมเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ

กู้ฉังชิงไม่ยอมเสียเวลากับถังหมิงอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาอุ้มร่างของกู้เหยี่ยนแล้วใช้วิชาตัวเบาออกไปจากที่นั่น

ออกไปเพียงไม่นาน กู้ฉังชิงก็บังเอิญเจอม้าที่หยุดอยู่ริมถนน กู้เจียวตามมาถึงที่เรือนหลังนี้พอดี

กู้ฉังชิงเห็นอานนั่งของตัวเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมอะไรไปบางอย่าง ม้าของเขานิสัยแปลกพิกลอยู่บ้าง ปกติแล้วไม่ยอมให้ใครขี่ น้องสาวของเขาคงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง

กู้เจียวไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ เขามองกู้เหยี่ยนที่ถูกห่อร่างด้วยชุดตัวนอกของกู้ฉังชิง วินาทีนั้นแววตาของนางก็ก่ำเป็นสีเลือดขึ้นมา

“ฝีมือใครกัน”

“ถังหมิง เจ้าไม่รู้จักหรอก”

“คนตระกูลถังอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว”

กู้เจียวมองไปที่เรือนหลังนั้น นางกำหมัดแน่น ยับยั้งเลือดที่พลุ่งพล่านจนแทบจะระเบิดออกมา ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของกู้ฉังชิง

นางมองใบหน้าของกู้เหยี่ยนก่อนจะจับชีพจรของเขา

กระเป๋าเงินของกู้เหยี่ยนหายไปแล้ว ภายในนั้นมียาของเขาอยู่

โชดดีที่ห่อผ้าของกู้เจียวมียาของกู้เหยี่ยนสำรองอยู่ตลอด นางให้กู้เยี่ยนกินยาก่อนสองเม็ด ก่อนจะปลดถุงน้ำจากอานม้ามาให้เขากลืนยาลงไป

ทว่าอาการของกู้เหยี่ยนในตอนนี้แค่กินยาคงยังไม่พอ

ทั้งสองรีบพากู้เหยี่ยนกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย

ลมราตรีหนาวเย็นไม่น้อย กู้ฉังชิงกลัวว่ากู้เหยี่ยนจะหนาวกระมัง จึงถอดเสื้อทับออกแล้วสวมเพียงชุดตัวในผืนบางพลางอุ้มกู้เหยี่ยนเอาไว้ตลอดทาง

ระหว่างทางมีสายตาแปลกประหลาดมองมาไม่ขาดสาย ขอแค่ไม่มีใครจำได้ว่าเขาเป็นใครก็พอ

เมื่อมาถึงหน้าประตู กู้เจียวก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่างก่อนจะเอ่ยกับกู้ฉังชิง “ไปที่เรือนท่านปู่!”

กู้ฉังชิงเข้าใจในทันที “ได้”

เขาอุ้มกู้เหยี่ยนไปยังเรือนหลังถัดกัน