บทที่ 277.2 เอาชีวิตเขา (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 277 เอาชีวิตเขา (2)
จี้จิ่วอาวุโสเพิ่งจะเข้านอน พอเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจยกใหญ่ “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ก่อนหน้านี้กู้ฉังชิงไม่เคยเจอจี้จิ่วอาวุโส แต่พอมายังตรอกปี้สุ่ยบ่อยเข้า ก็พอจะรู้ว่าจี้จิ่วอาวุโสเป็นใครมากจากไหน

ส่วนเขากลายเป็นท่านปู่ของเซียวลิ่วหลังได้อย่างไรนั้น กู้ฉังชิงยังไม่แน่ใจเหมือนกัน

เขาเองก็ไม่ได้สนใจจะตามสืบด้วย

“ไว้ค่อยอธิบายให้ท่านฟังทีหลัง ตอนนี้มีห้องว่างหรือไม่” กู้ฉังชิงเอ่ย

“มี มี!”

ห้องฝั่งตะวันตกว่างอยู่

จี้จิ่วอาวุโสเปิดห้องฝั่งตะวันตก ก่อนจะปูผ้าปูผืนสะอาด

กู้ฉังชิงวางกู้เหยี่ยนลงบนเตียงอย่างเบามือ

กู้เจียวหยิบกล่องยาใบน้อยออกมา

ด้วยอาการของกู้เหยี่ยนไม่เหมาะกับการใช้ยาเร่งอาเจียน จึงทำได้เพียงให้น้ำเกลือเข้าไปขับยาออก แต่ระหว่างการขับยานั้น อวัยวะภายในของเขาจะต้องรับภาระอย่างหนัก สำหรับคนที่มีโรคหัวใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่เป็นเรื่องอันตรายร้ายแรงอย่างไม่ต้องสงสัย

กู้เจียวเปิดกล่องยาใบน้อย แล้วเจาะน้ำเกลือให้กับกู้เหยี่ยน

นางวัดความดันเลือดให้กับเขา ความดันเลือดพุ่งสูงเกินปกติ น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาเหนี่ยวนำ หากประเดี๋ยวความดันยังไม่ลดลง คงต้องให้ยาลดความดัน

กู้เหยี่ยนหมดสติไปแล้ว แต่มือของเขายังกำแขนเสื้อของกู้ฉังชิงอยู่ตลอด ก่อนจะสลบไปก็ยังกำอยู่ กู้ฉังชิงไม่ได้ดึงมือเขาออก เฝ้าเขาอยู่ข้างเตียงทั้งอย่างนั้น

ไม่นาน ตัวของกู้เหยี่ยนก็ร้อนขึ้นมา

กู้เจียวประคบถุงน้ำแข็งบนหน้าผากของเขา

อาการของกู้เหยี่ยนอันตรายเพราะโรคหัวใจของเขา จึงไม่สามารถใช้ยาสะเปะสะปะได้ จนกว่าจะหมดสิ้นหนทาง กู้เจียวจึงพยายามรักษาด้วยวิธีดั้งเดิม

“เขา…เป็นอย่างไรบ้าง” กู้ฉังชิงมองกู้เหยี่ยนที่นอนไม่ได้สติ เอ่ยถามเสียงแหบพร่า

อย่าเห็นว่ากินยาไปแค่เม็ดสองเม็ด แต่สำหรับร่างกายอย่างเขานั้นอาจถึงชีวิตได้ ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาเขากินยาต้านหัวใจล้มเหลวมาตลอด ไม่อย่างนั้นคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น กู้เจียวก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้

ตอนที่เกิดเรื่องกับเซียวลิ่วหลังและกู้ฉังชิง นางมักจะฝันล่วงหน้าก่อนเสมอ แต่เหตุใดยามเป็นกู้เหยี่ยน นางถึงไม่ฝัน

นางไม่ได้มั่นใจว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับกู้ฉังชิงหรือเซียวลิ่วหลังนางจะฝันเห็นก่อนไปเสียทุกครั้ง แต่อย่างน้อยนางก็จะฝันเห็นอะไรบางอย่าง

ทว่าไม่มีสักครั้งที่ฝันเห็นกู้เหยี่ยน

คงไม่ใช่เพราะนางกับกู้เหยี่ยนยังไม่สนิทกันพอหรอกกระมัง นางกับกู้เหยี่ยนเป็นแฝดท้องเดียวกัน ย่อมต้องสนิทกันที่สุดอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ที่ยากจะตัดขาดมากที่สุดก็ว่าได้

หรือเป็นเพราะสนิทกันเกินไป

อีกอย่าง นางก็ยังค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือนางไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเองได้ ตอนที่โรงมหรสพถล่มคราวก่อนก็เช่นกัน ตอนที่ถูกหลังคาถล่มทับลงมาพร้อมกับท่านย่าก็เช่นกัน

นางไม่อาจล่วงรู้ชะตาชีวิตของตนเองล่วงหน้า หรือเป็นเพราะกู้เหยี่ยนกับนางเป็นฝาแฝดกัน เพราะอย่างนั้นนางจึงไม่อาจล่วงรู้ชะตาชีวิตของกู้เหยี่ยนได้

หากเป็นเช่นนั้นจริง คงต้องเรียกองครักษ์ลับของกู้เหยี่ยนกลับมาเมืองหลวงแล้วกระมัง

ส่วนฟากถังหมิง หลังจากถูกกู้ฉังชิงซัดจนน่วมแล้ว เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเริงสำราญอีกต่อไป จึงรีบควบม้ากลับไปที่จวนตระกูลถัง

ยามนี้จวนตระกูลถังไม่ใช่จวนแม่ทัพอีกต่อไป แต่เป็นจวนหยวนไซว่แล้ว บรรายากาศจึงดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเคย

ถังหมิงยืนอยู่ตรงหน้าสิงโตหินคู่แสนดุดัน จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ เมื่อมั่นใจแล้วว่าสภาพไม่ได้ดูผิดปกติจึงเดินเข้าไปในจวน

ฉังเย่ว์ซานเพิ่งจะซ้อมกระบี่เสร็จบริเวณลานบ้าน บ่าวยื่นผ้าให้ เขารับผ้ามาเช็ดเหงื่อที่เปียกชุ่มไปทั้งศีรษะ พลางเอ่ยถามด้วยลมหายใจหอบถี่ “หมิงเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือยัง”

บ่าวตอบ “เรียนนายท่าน ยังไม่กลับมาขอรับ อาจจะกลับมาช้าเพราะภาระหน้าที่ ช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมเยียนที่จวนมากมายเหลือเกิน นายท่านไม่ยอมให้พวกเขาเข้าพบ พวกเขาจึงไปหาท่านชายแทนน่ะขอสิขอรับ”

ตระกูลจวนมีทายาทสองสาย ถังเย่ว์ซานเป็นสายรอง เขายังมีพี่สะใภ้อีกคนหนึ่ง ถังหมิงเป็นลูกชายคนโตของตระกูลสายหลัก

พี่ชายของถังเย่ว์ซานเป็นอัมพาตมานานหลายปีแล้ว ทว่าถังเย่ว์ซานกลับไม่ได้ฮุบสมบัติของตระกูลสายหลักเป็นของตนแต่อย่างใด ทั้งยังให้พี่ชายเป็นนายใหญ่ของตระกูลถัง

จวนหยวนไซว่ของเขาก็ตั้งอยู่ติดกับรั้วของเรือนตระกูลถัง ในสายตาของคนนอกนั้นเรือนทั้งสองหลังก็เหมือนรอบรั้วเดียวกัน

ถังเย่ว์ซานไม่มีลูกชาย มีเพียงลูกสาวสองสามคน ทั้งนายทั้งบ่าวในจวนต่างก็รู้ว่าถังเย่ว์ซานนั้นเอ็นดูหลานชายคนโตผู้นี้มากแค่ไหน กลัวก็แต่ว่าวันหน้าถังหมิงจะไม่ได้สืบทอดเพียงแค่ทรัพย์สมบัติของบ้านสายหลัก แต่ยังสืบทอดอำนาจของถังเย่ว์ซานอีกด้วยน่ะสิ

บ่าวในจวนหยวนไซว่ต่างเห็นถังหมิงเป็นเหมือนดั่งนายน้อย เพราะพ่อบังเกิดกล้าของถังหมิงเป็นอัมพาตติดเตียง ไม่อาจดูแลเขาได้ จึงต้องไหว้วานให้น้องชายเลี้ยงดูแทนตนเอง

ถังหมิงเขาเคารพเทิดทูนท่านอามาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังยินดีที่จะได้ติดตามถังเย่ว์ซาน

พูดไม่ทันขาดคำก็มาพอดี

ถังเย่ว์ซานเพิ่งจะเช็ดเหงื่อ ก็เห็นถังหมิงเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านอา! หลานกลับมาแล้วขอรับ!”

ความดีใจเผยขึ้นมาบนหน้าเคร่งขรึมของถังเย่ว์ซานในทันใด “เหตุใดถึงได้ดึกนัก งานในค่ายทหารหนักเกินไปแล้วหรือเปล่า”

ถังหมิงยิ้มพลางเอ่ย “มีงานเสียที่ไหนกันขอรับ ท่านอาไม่ได้ให้ข้าไปเจรจากับพวกขุนนางใหญ่เป็นการส่วนตัวหรอกหรือ ข้าออกมาตั้งนานแล้ว ที่กลับมาช้าเพราะไปซื้อหอยผัดพริกหอมให้ท่านอาต่างหาก”

เขาเอ่ยพลางหยิบกล่องอาหารที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมา “ท่านอาดูสิขอรับ ใช่ร้านที่ท่านอาไปประจำหรือไม่”

ถังเย่ว์ซานได้ยินดังนั้น ความสุขในใจก็ยิ่งพรั่งพรูออกมาทางวาจา เขาเปิดกล่องอาหารพลางสูดกลิ่นหอม ก่อนจะเอ่ยอย่างพึงพอใจ “ใช่แล้ว กลิ่นนี้ล่ะ!”

บ่าวรับใช้ยิ้มพลางเอ่ย “ท่านชายช่างกตัญญูยิ่งนัก พวกข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ”

ถังเย่ว์ซานหัวเราะชอบใจ

หอยนาช่วงหลังฤดูใบไม้ร่วงนั้นอวบอ้วนเป็นที่สุด เนื้อแน่นฉ่ำหวาน แม้ตอนนี้จะไม่ใช่ฤดูที่เนื้อหอยอร่อยที่สุด แต่หอยของร้านนั้นรสชาติอร่อยยิ่งนัก บวกกับสิ่งที่เขาให้ความสำคัญยิ่งกว่าคือน้ำใจของถังหมิง

“ยังไม่กินข้าวใช่หรือไม่” ถังเย่ว์ซานถามถังหมิง

“ยังขอรับ” ถังหมิงส่ายหน้า

“บอกคนให้จัดโต๊ะ” ถังเย่ว์ซานสั่งการบ่าว

“ขอรับ” บ่าวรับใช้รีบไปในทันที

อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นแล้ว ข้าวปลาอาหารถูกวางจัดเรียงภายในลานบ้าน

ถังเย่ว์ซานไม่ค่อยกินข้าวที่บ้านสักเท่าไหร่ หากกินก็ไม่เคยเรียกบรรดาลูกสาว จะมีก็เพียงแต่ถังหมิงที่เขาเอ็นดูที่สุด นอกจากจะร่วมโต๊ะกับเขาอยู่เสมอแล้ว ยังสามารถเข้านอกออกในเรือนของเขาได้ ไม่ว่าหยิบจับเคลื่อนย้ายข้าวของอย่างไร ถังเย่ว์ซานก็ไม่เคยโกรธ

“วันนี้ครัวทำหน่อไม้ได้นุ่มลิ้นนัก” ถังหมิงเอ่ย

“เช่นนั้นก็กินเยอะๆ” ถังเย่ว์ซานคีบอาหารให้เขาหลายต่อหลายอย่าง

ถังหมิงก้มหน้าก้มตากิน

เมื่อเห็นเขากินจนแก้มตุ่ย ถังเย่ว์ซานก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ก่อนจะเอ่ยเอาอกเอาใจออกมาโดยไม่รู้ตัว “ประเดี๋ยวกินข้าเสร็จแล้วก็ไปบอกกล่าวพ่อแม่เจ้าหน่อย แล้วก็รีบกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้ในค่ายมีงานประลองยุทธ์ อย่าลืมล่ะ”

ถังยิ้มอย่างเชื่อฟัง “ข้าไม่ลืมหรอกขอรับ ท่านอาวางใจเถิด!”

แน่นอนว่าถังเย่ว์ซานเชื่อใจถังหมิงอยู่แล้ว เพราะถังหมิงนั้นมีความมานะบากบั่น ไม่เพียงเท่านั้น ถังหมิงยังใฝ่รู้ตำรายุทธ์วิธี ศึกษาศาสตร์การทหารอย่างลึกซึ้ง

ถังเย่ว์ซานจึงคาดหวังในตัวถังหมิงสูงพอสมควร

ถังเย่ว์พูดต่อ “อีกเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องยับยั้งอารมณ์บ้าง อยู่ในค่ายก็อย่าได้เอะอะมีเรื่องกับคนเขาไปทั่ว”

ถังหยิมยิ้มเอ่ยอย่างแสนเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้วขอรับ ท่านอา ข้าก็แค่ทนเห็นพวกเขาอู้งานไม่ได้ วันหน้าข้าจะระวัง หากพวกเขาทำผิด เขาจะพูดกับพวกเขาดีๆ!”

“เช่นนี้สิถึงจะถูก” ถังเย่ว์ซานพึงพอใจไม่น้อย

นิสัยของถังหมิงอ่อนน้อมลงพอสมควร แต่คนหนุ่มที่ไหนไม่คึกคะนองบ้างเล่า ตอนเขาเป็นหนุ่มเองก็นับว่าเป็นหัวโจกในค่ายอยู่เหมือนกัน

ถังหมิงรู้ผิดแล้วยอมแก้ไข ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

หลังจากสองอาหลานกินข้าวเสร็จ ถังหมิงก็ไปทักทายพ่อแม่ที่เรือนใหญ่

นี่เป็นกิจวัตรที่ถังเย่ว์ซานบังคับให้เขาทำทุกวัน ให้เขากตัญญูรู้คุณพ่อแม่ อย่าไม่เห็นหัวพ่อของตนเพียงเพราะเขาเป็นอัมพาตติดเตียง

หลังจากถังหมิงกลับมาถึงห้องของตัวเอง ถึงได้ถอดชุดปลอมตัวทั้งหมดออก

เขานั่งลงบนเก้าอี้ ถลกชุดขึ้น มองดูสีเขียวช้ำบริเวณหน้าท้องที่ถูกกู้ฉังชิงถีบเต็มฝ่าเท้า นึกแล้วก็โมโหจนกัดฟันกรอด

จากนั้นก็นึกถึงกู้เหยี่ยน เขาก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา

เขาหวนนึกถึง ดวงตาก็หรี่ลง

เด็กหนุ่มรูปงามน่าอร่อยเช่นนั้น เกือบจะได้เข้าปากแล้วไหมล่ะ

กู้เจียวและกู้ฉังชิงเฝ้ากู้เหยี่ยนอยู่ตลอดทั้งคืน

กลางดึกอาการเขาทรุดหนักครั้งหนึ่ง กู้เจียวจึงให้ยากับเขา

ยามฟ้าใกล้สาง อุณหภูมิร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา

กู้เจียวมองแสงสีขาวที่กำลังส่องประกายสุดขอบฟ้า ก่อนจะหันกลับมามองกู้ฉังชิงที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดทั้งคืน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “อาการเขาดีกว่าเมื่อคืนนัก ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะอยู่ดูแลเขาที่นี่เอง”

กู้ฉังชิงนิ่งไปก่อนจะลุกยืนขึ้น พลางมองกู้เหยี่ยนที่ยังคงหลับใหล แววตาสุดอาลัย “ได้ ประเดี๋ยวข้ากลับมา”

เขาเพิ่งเดินถึงหน้าประตู จังหวะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูฝีเท้าก็พลันชะงักไป เขาเหลียวกลับมา สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของกู้เหยี่ยน “เขา…”

“เป็นอะไรรึ” กู้เจียวถาม

กู้ฉังชิงส่ายหน้า “ช่างเถิด ไม่มีอะไร”

ได้ยินก็ได้ยินไปเถอะ

เพราะนั่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ที่สำคัญคือถังหมิง เขาจะเอาชีวิตของถังหมิงมาให้จงได้!