บทที่ 278 ล้างแค้นคนชั่ว
วันนี้ท้องฟ้ามืดครื้ม
เหล่าทหารในค่ายใหญ่หู่ซานได้ฝึกซ้อมยามเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามนี้กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่จัดระเบียบแถวกันอยู่กลางสนาม
ถังหมิงสะบัดแส้ม้า ม้าดีดขาสูงวิ่งควบเข้าผ่านขบวนแถว
รองแม่ทัพหูก็ควบม้าตีคู่มาติดๆ ทิ้งระยะห่างจากเขาประมาณครึ่งช่วงลำตัวของม้า
หากว่ากันตามชั้นยศ ทั้งสองนั้นอยู่ระดับห้าเท่ากัน แต่หากว่ากันตามประสบการณ์ รองแม่ทัพหูนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าถังหมิงที่เพิ่งรับตำแหน่งรองแม่ทัพอยู่มากโข
แต่ใครใช้ให้ท่านอาของถังหมิงเป็นจอมพลหยวนไซว่ผู้ยิ่งใหญ่กันเล่า
ตัวถังหมิงเป็นคนบ้าบิ่นพอสมควร เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน ก็เลื่อนชั้นจจากหัวหน้ากองเซี่ยวเหว่ยเป็นรองแม่ทัพแล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็คงได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเต็มตัวแล้วกระมัง
รองแม่ทัพหูไม่กล้ามีเรื่องกับท่านชายเทวดาผู้นี้หรอก
“เจ้าพวกนั้นเหตุใดถึงยืนเช่นนั้น” ถังหมิงหยุดม้าพันธุ์ดี ชี้ไปที่แถวสุดท้ายของขบวน “ยุกยิกอยู่ได้ แค่ยืนก็ทำไม่เป็นหรือไร ค่ายทหารจะเลี้ยงเศษสวะเช่นนี้ไว้ทำไมกัน”
รองแม่ทัพหูปาดเหงื่อ ยืน…ยืนตรงเสียขนาดนั้นยังตรงไม่พออีกหรือ
นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ
นั่นสินะ
ทหารกองนี้ล้วนแต่เป็นอดีตทหารตระกูลกู้ ท่านเหล่าโหวกู้กับจอมทัพหยวนไซว่ก็ไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอทหารตระกูลกู้ตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว แม่ทัพบางคนที่เลือกปฏิบัติจึงข่มเหงรังแกทหารตระกูลกู้อยู่บ่อยครั้ง
ส่วนถังหมิงที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในค่ายก็กดขี่ทหารตระกูลอย่างออกหน้าออกตา
อย่างเช่นในยามนี้…
ถังหมิงเอ่ยเสียงเย็น “ฝั่งปีกข้างเลิกกองได้ ส่วนเจ้าพวกนั้นอยู่ต่อ ยืนต่อไป ยืนจนกว่าข้าจะพอใจ!”
“…” แม่ทัพหูส่งสัญญาณมือให้กับองครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างกัน “ยังไม่รีบไปอีก”
“ขอรับ” องครักษ์คนสนิทถ่ายทอดคำสั่งของถังหมิง
ทุกคนเห็นเรื่องเช่นนี้จนชินชา เหลือบมองเหล่าทหารอย่างสงสาร ก่อนจะไปยังโรงอาหารเพื่อกินมื้อเช้า
คนเหล่านั้นยืนตลอดทั้งเช้าจนกระทั่งพิธีประลองยุทธ์เริ่มขึ้น พวกเขายังไม่ได้กินข้าวเช้ากันสักคน แต่ดูทรงแล้วตอนนี้พวกเขาคงไม่ถูกปล่อยไปกินข้าวแล้วล่ะ ถึงจะปล่อยไป โรงอาหารก็คงเก็บของไปหมดแล้ว
รองแม่ทัพหูรู้ว่าวันนี้ถังหมิงมาไม้โหดผิดปกติ หากเป็นแต่ก่อนก็คงลงโทษเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับให้คนต้องมาอดข้าวอดน้ำในวันสำคัญเช่นนี้
หากอยู่ในสนามรบ คงไม่เหี้ยมถึงขั้นปล่อยให้นายทหารท้องหิวออกไปฆ่าศัตรูเลยหรือ
รองแม่ทัพหูเก็บความสงสัยไว้ ส่วนปากนั้นไม่กล้าพูดอะไรมาก
ในค่ายทหารมีสองสังเวียนเล็กใหญ่
สังเวียนใหญ่จะมักจะใช้ในพิธีประลองยุทธ์ประจำปี ส่วนวันนี้จะใช้สังเวียนเล็ก
พิธีประลองยุทธ์เป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาภายในค่ายทหาร แรกเริ่มจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงฮึกเหิมให้กับเหล่าทหาร คัดเลือกยอดฝีมือ เจ้าสังเวียนในแต่ละสมัยจะได้อัฐเงินสิบตำลึงเป็นรางวัล
คนในค่ายส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสามัญชน ครอบครัวขาดแคลนเงินทอง แต่ที่ขาดแคลนยิ่งกว่าคือความสำคัญที่ผู้บังคับบัญชามอบให้
ในตอนนั้นที่รองแม่ทัพหูถูกใจโจวเอ้อร์จวงน้องชายสามีของเซวียหนิงเซียง ก็เพราะโจวเอ้อร์จวงเอาชนะหัวหน้าหมู่ผู้แสนเก่งกาจคนหนึ่งได้บนสังเวียนแห่งนี้
การประลองเริ่มต้นขึ้น
ถังหมิงและรองแม่ทัพหูรวมถึงบรรดาแม่ทัพในค่ายใหญ่หู่ซานนั่งลงบนปะรำพิธีชั่วคราวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสังเวียน
และสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงในวันนี้ก็คือ คนแรกที่ขึ้นสังเวียนกลับกลายเป็นกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงสวมชุดผ้าแพรสีเข้ม ในมือถือกระบี่ยาวนามว่าชิงเซวี่ยน เขายืนตระหง่านอยู่บนสังเวียน ใต้ท้องนภา ท่ามกลางสายลม
จู่ๆ ถังหมิงก็รู้สึกปวดบริเวณที่ถูกกู้ฉังชิงเตะเข้าให้ เขาหรี่ตามองอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดกู้ตูเว่ยถึงขึ้นสังเวียนเสียแล้วเล่า”
นั่นน่ะสิ เหตุใดกู้ฉังชิงถึงขึ้นสังเวียนได้
สังเวียนระดับนี้อยู่ในสายตาเขาด้วยหรือ
อันจริงสมัยก่อนมีธรรมเนียมให้ผู้บังคับบัญชาเป็นคนเปิดสังเวียน เมื่อเหล่าเจ้านายประลองกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะยกสังเวียนให้กับเหล่าพลทหาร แต่ต่อมาในค่ายเริ่มมีเจ้าขุนมูลนายมากขึ้น หากเหล่าแม่ทัพที่เป็นขุนนางชนะก็คงไม่ภาคภูมิใจสักเท่าไหร่ แต่หากแพ้แล้วก็ขายหน้าเหมือนกัน จากนั้นมาจึงลดบทบาทบนสังเวียนลง
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ฉังชิงขึ้นสังเวียน
เขาอกผายไหล่ผึ่ง บนหัวประดับมงกุฎหยก ชุดยาวปลิวไสว ท่าทางสง่าผ่าเผยยิ่งนัก!
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นสังเวียน
ด้วยเหตุนั้นกู้ฉังชิงจึงเริ่มขานชื่อ เขาคือผู้บัญชาการตูเว่ย ขอแค่เขาไม่เรียกคนที่ตำแหน่งสูงกว่าเขา ก็ไม่มีใครปฏิเสธเขาได้
ชื่อแรกที่เขาขานคือฟู่เผิง
ลูกน้องของถังหมิง
กู้ฉังชิงไม่ไว้หน้ากู้ฉังหมิงเลยแม้แต่นิด แค่กระบวนท่าแรกก็เล่นเอาต้องหามลงสังเวียน
หลังจากนั้น กู้ฉังชิงก็ขานรัวอีกสิบกว่าคน ล้วนแต่เป็นคนใต้บังคับบัญชาของถังหมิง ทั้งหมดถูกซัดหมอบภายในกระบวนท่าเดียว
ถังหมิงกำหมัดแน่น
หากจะบอกว่าดูไม่ออกว่ากู้ฉังชิงกำลังท้าทายเขาก็คงไม่ใช่เรื่อง
เหอะ กู้ฉังชิงกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้กับทหารตระกูลกู้ หรือว่ากำลังแก้แค้นให้น้องชายต่างมารดาของตัวเองกันแน่
กู้ฉังชิงซัดลูกน้องของถังหมิงจนร่วงไปอีกคน เขาไม่ได้ใช้อาวุธเสียด้วยซ้ำ
เขามองไปทางถังหมิง ไม่ปกปิดสายตาท้าทายแม้แต่นิด “ที่เป็นทหารที่รองแม่ทัพถังพามาด้วยหรือ ฝีมือใช้ไม่ได้”
วิธียั่วโมโหนี้ใช้กับถังหมิงได้ผลเป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ต่อหน้าแม่ทัพและทหารมากมายขนาดนี้ คนอย่างถังหมิงไม่ยอมขายหน้าแน่นอน!
ถังหมิงหันไปมองกู้ฉังชิงด้วยสายตาเยือกเย็น คว้ากระบี่บนโต๊ะก่อนจะลอยตัวขึ้นแล้วทะยานลงกลางสังเวียน
ทุกคนพากันงุนงงไปหมด
ไม่หรอกกระมัง
วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย
นายน้อยแห่งตระกูลถังกำลังจะประลองกับพญายมหน้าตายอย่างนั้นหรือ
ต้องเร้าใจขนาดนั้นเชียวหรือ
ความสัมพันธ์ของกู้ฉังชิงและถังหมิงไม่นับว่าลงรอยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่หากฟาดฟันกันต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้คงจะเป็นครั้งแรก อันที่จริงถังหมิงก็ยั่วยุเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่กู้ฉังชิงก็เลือกที่จะเฉยเมยเสมอมา
ทุกคนนึกว่าทั้งสองคงจะไม่มีวันได้ประลองกันแล้ว
“ดูเหมือนว่ากู้ตูเว่ยจะท้าทายรองแม่ทัพถังก่อนนะ…”
“นั่นน่ะสิ เขาเป็นอะไรไป”
“ไม่รู้สิ แววตาเขาน่ากลัวเหลือเกิน”
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของกู้ฉังชิงในวันนี้ เขาคือพญายมหน้าตายแห่งค่ายทหาร เขาไม่เคยผลีผลาม เขาไม่เคยท้าทาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่แผ่รังสีอาฆาตปกคลุมไปทั้งร่างเช่นยามนี้
กู้ตูเว่ยที่เป็นเช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ถังหมิงหัวเราะเยาะเย้ย “ยอมรับเสียเถอะว่าความจริงแล้วเจ้าอิจฉาข้า อิจฉาที่ข้าได้เป็นรองแม่ทัพ พริบตาเดียวก็ข้ามหัวเจ้า ล้างแค้นในน้องชายอย่างนั้นหรือ ข้ามาคิดดูแล้ว คนอย่างเจ้ามิใช่คนที่เทิดทูนพี่น้องอะไรขนาดนั้นหรอก”
กู้ฉังชิงไม่เปลืองน้ำลายกับเขา เขาชักกระบี่ออกมาแล้วโยนขึ้นกลางอากาศ เท้าอีกข้างถีบฝักกระบี่ ฝักกระบี่พุ่งไปทางถังหมิงในทันที!
สีหน้าของถังหมิงพลันเปลี่ยน รีบเบี่ยงตัวหลบในทันที ฝักดาบลอยเฉียดใบหน้าของเขาไป ก่อนจะปักลงบนกำแพงด้านหลังสังเวียน
กำแพงนั่น…เป็นก้อนอิฐนะ!
ต้องพละกำลังมหาศาลเพียงใดถึงทำให้ฝักดาบฝังลงไปได้!
สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของกู้ฉังชิง ลึกๆ ในใจของเขาสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง
เขารู้อยู่แล้วว่ากู้ฉังชิงเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ แต่เก็บงำไว้มากเพียงใดนั้นเขาก็ไม่แน่ใจ ด่านสิบแปดอรหันต์ เขาฝ่าได้ถึงสิบสองด่าน ส่วนกู้ฉังชิงฝ่าไปถึงด่านที่สิบสาม
ทว่าความรุนแรงของกระบวนท่าเมื่อครู่ อย่างน้อยก็คงต้องทะลวงไปถึงด่านที่สิบห้าแล้ว
ทันใดนั้นถังหมิงก็รู้สึกเสียใจที่ขึ้นสังเวียนมา
ทว่าจะถอยตอนนี้ก็คงสายเกินไปแล้ว
คนมากมายกำลังจับจ้องเขาอยู่ เขาจะถอยไม่ได้ แล้วก็แพ้ไม่ได้ด้วย!
ถังหมิงชักกระบี่ออกมาเช่นกัน แล้วโยนฝักดาบให้กับลูกน้องของตน จากนั้นก็พุ่งกระบี่ไปทางกู้ฉังชิง
อาวุธของท่านเหล่าโหวคือแส้เก้าท่อน เพราะอย่างนั้นอาวุธที่กู้ฉังชิงถนัดที่สุดคือแส้ แต่วันเขากลับไม่ใช่แส้เก้าท่อนนั้น
เมื่อเห็นกระบี่ของถังหมิงที่พุ่งมาทางตน กู้ฉังชิงกลับไม่หลบหลีกแม้แต่นิด
เจ้านี่คงตกใจกับกระบี่ของเขาสินะ
ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของถังหมิง ทว่าถังหมิงกลับถูกกระบี่ของกู้ฉังชิงฟันข้า!
ถังหมิงมึนงง เขาไม่เห็นเลยว่ากู้ฉังชิงลงมือตอนไหน!
กระบี่นั้นฟันทะลุเกราะของถังหมิง หน้าท้องด้านขวาของเขาถูกแทงเป็นแผล เลือดแดงสดพวยพุ่งออกมา!
ทุกคนตกตะลึง!
แม้จะบอกว่า…มีดดาบไม่มีตา แต่ทว่าเขาลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรงได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ถังหมิงกุมแผลของเขาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาก้าวถอยหลัง จ้องมองเลือดจากบาดแผล ก่อนกัดฟันเอ่ย “กู้ฉังชิง เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
นัยน์ตาของกู้ฉังชิงฉาบด้วยความเย็นชา “ข้าเคยบอกแล้ว ว่าอย่าแตะต้องเขา ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าแน่! แล้วก็จะไม่ลอบฆ่าเจ้าด้วย แต่จะอัดเจ้าจนฟันกระเด็นไปทั่วพื้น เหยียบย่ำเจ้าไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วก็ฆ่าเจ้าเสีย!”
วินาทีนั้นถังหมิงสัมผัสได้ว่ากู้ฉังชิงพูดจริง เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่ากู้ฉังชิงทำเช่นนี้เพราะเหตุใด
กู้ฉังชิงกำลังขายหน้าเขา
เพราะเขาทำให้กู้เหยี่ยนต้องเสื่อมเสีย ด้วยเหตุนั้นกู้ฉังชิงจึงเอาคืนเขาสิบเท่า ร้อยเท่า!
ถังหมิงกำหมัดแน่น “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! เจ้าไม่กลัวว่าจะต้องชดใช้ข้าด้วยชีวิตหรือ”
กู้ฉังชิงใช้การกระทำบอกกับเขาว่าไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด เขาวาดกระบี่ออกมาอีกครั้ง ฟันเข้าที่หน้าท้องด้านขวาของถังหมิง
กระบี่ที่สาม แทงทะลุแขนซ้ายของถังหมิง
กระบี่ที่สี่ ฟันขาซ้ายของถังหมิงจนเป็นแผล
กระบี่ที่ห้า…
ตั้งแต่ถังหมิงออกกระบวนท่า ไม่มีครั้งไหนที่เอาชนะกู้ฉังชิงได้ แต่ทุกกระบี่ของกู้ฉังชิงกลับได้เลือดออกมาจากร่างของถังหมิง
นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์แล้ว
นี่คือการไล่ต้อนอีกฝ่าย
ท่านชายเทวดาถังหมิง ถังหมิงมือวางอันดับสองแห่งค่ายทหาร แต่กลับรับแรงโจมตีแค่นี้ไม่ได้หรือ
“หยุด!”
รองแม่ทัพหูทนดูไม่ไหวอีกต่อไป หากยังสู้กันต่อถังหมิงคงเอาชีวิตไม่รอดเป็นแน่
ทว่านอกจากกู้ฉังชิงจะไม่ยั้งมือแล้ว กลับกันยังแทงกระบี่เข้ากลางอกของถังหมิง
ทุกคนสูดปากด้วยความตกตะลึง!
ถังหมิงนอนหมอบจนไม่อาจขยับเขยื้อน เหมือนกับกู้เหยี่ยนที่ไม่อาจขยับตัวได้เมื่อคืนวาน เขากลายเป็นลูกแกะที่ยอมให้คนพลิกซ้ายขวาได้ตามใจ
ใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด
สำหรับนายพลทหารแล้ว การถูกคนแก้แค้นกลางสังเวียนเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาที่ถูกหยามศักดิ์ศรี
เขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและความอัปศอดสูของกู้เหยี่ยนแล้ว!
จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว มวลแรงลมมหาศาลก็พุ่งเข้ามาจนกระบี่ของกู้ฉังชิงกระเด็นออกไปจากร่างของถังหมิง
ถังหมิงกระแทกเข้ากับกำแพง กระอักเลือดแดงสดออกมา แต่โชคดีที่หลบหนีจากการโจมตีถึงชีวิตได้
เงาร่างสูงตระหง่านโรยตัวลงกลางสังเวียน ก่อนจะบังร่างของถังหมิงไว้ที่ด้านหลังเขา
เมื่อถังหมิงเห็นแล้วว่าเป็นผู้ใด ก็คว้ากอดขาของเขาไว้ด้วยความร้อนรน “ท่านอา! เขาจะฆ่าข้า!”
สายตาเยือกเย็นของถังเย่ว์ซานจ้องมองใบหน้าของกู้ฉังชิง “กู้ตูเว่ยไม่รู้กฎการประลองยุทธ์หรืออย่างไรว่าห้ามทำร้ายคนจนถึงแก่ชีวิต!”
“เขาเป็นคนหรือ” กู้ฉังชิงถามยอกย้อนเสียงเย็นชา
ถังหมิงมองท่านอาอย่างรู้สึกผิด
ทว่าถังเย่ว์ซานกลับไม่มองเขา “เรื่องที่เขาลงโทษอดีตทหารตระกูลกู้ เขาเข้มงวดเกินไปก็จริงอยู่ แต่หากเจ้าเอาชีวิตเขาด้วยเหตุนั้น เกรงว่าคนที่ทำเกินเหตุจะกลายเป็นเจ้าแทน”
กู้ฉังชิงไม่เอ่ยอธิบาย
เช่นนั้นก็ดี
รักษาความลับของกู้เหยี่ยนเอาไว้
ถังเย่ว์ซานเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เช่นนั้นเจ้ามาประลองกับข้าสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่”
ถังเย่ว์ซานขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้าย นั่นเป็นเหตุให้แทบจะไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงกล้ามีเรื่องกับถังหมิง แม้จะถูกถังหมิงกลั่นแกล้งอย่างไรก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้
ถังหมิงมองกู้ฉังชิงด้วยความเคียดแค้น ยิ้มร้ายเย้ยหยันฉายบนใบหน้า “ท่านอา! ฆ่าเขาเสีย! ฆ่าเขา! ฆ่าเขาเพื่อล้างแค้นให้แก่ข้า!”
ต่อหน้าบรรดาทหารทั้งค่าย แน่นอนว่าถังหมิงไม่กล้าฆ่ากู้ฉังชิงอย่างแน่นอน แต่หากจะทรมานกู้ฉังชิงสักหน่อยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ทว่าวินาทีที่เขากำลังจะลงมือ เสียงดังก้องกังวานดั่งนาฬิกาบอกโมงยามก็ดังขึ้น “ช้าก่อน!”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว
รองแม่ทัพหูและอีกหลายๆ คนเหลียวมองตาม ท่านเหล่าโหวอย่างนั้นหรือ
ด้านหลังของท่านเหล่าโหวคือเซวียนผิงโหวที่เดินทอดน่องตามมา
ท่านเหล่าโหวเกษียณอายุแล้ว ไม่มีตำแหน่งขุนนางใด แต่เซวียวนผิงโหวคือแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น นอกเหนือจากถังเย่ว์ซานแล้ว ทุกคนต่างคำนับให้เขา
ตำแหน่งขุนนางของถังเย่ว์ซานนั้นสูงกว่าเขา แต่สถานะนั้นเทียบกับเขาไม่ได้เลย เซวียนผิงโหวคือขุนนางโหวฝ่ายบู๊ชั้นหนึ่ง ทั้งยังเป็นราชนิกุล
ถังเย่ว์ซานยกมือคำนับอย่างไม่เต็มใจนัก เรียกได้ว่าคำนับอย่างขอไปที
เซวียนผิงโหวเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ก่อนจะยิ้มบางพลางเอ่ย “ไม่พบกันนาน ใต้เท้าถังสบายดีใช่หรือไม่”
ถังเย่ว์ซานไม่ลงรอยกับท่านเหล่าโหวสักเท่าไหร่ กับเซวียนผิงโหวก็ไม่ได้ญาติดีเช่นกัน คนแรกเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ส่วนคนที่สอง…นอกจากต่างฝ่ายต่างอุดมการณ์ต่างกันแล้ว ก็คงเป็นเพราะเซวียนผิงโหวนั้นยั่วโมโหคนเก่งเหลือเกิน!
สองแขนของเซวียนผิงโหวสอดในแขนเสื้อ มองท้องกลมของถังเย่ว์ซานด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ดูท่าทางช่วงนี้ใต้เท้าถังคงกินของมันไปไม่น้อย หรือว่าเงินเดือนของจอมพลหยวนไซว่ผู้ยิ่งใหญ่จะสูงเกินไป เป็นถึงหยวนไซว่แล้วไม่ต้องทำหน้าบึ้งตึงหรอกกระมัง ดูซิดูหน้าย่นจนเป็นรอยหมดแล้ว”
ถังเย่ว์ซานเดือดดาล
นี่สินะที่เรียกว่าปากหาเรื่อง
จะว่าไปเขาก็อดสูอยู่เหมือนกัน ยามถังเย่ว์ซานเป็นหนุ่มก็เคยเป็นชายรูปงามคนหนึ่งเช่นกัน แต่ยามนี้กลับกลายเป็นตาแก่วัยกลางคนอ้วนเผละ
แล้วดูเซวียนผิงโหวสิ ตอนอายุยี่สิบปีหน้าตาเช่นไร ยี่สิบปีผ่านไปก็เขาก็ยังหน้าตาเหมือนเดิม!
น่าโมโหไหมเล่า!
หากเป็นผู้อื่นถากถางเขา เขาคงพูดได้ว่าเป็นบุรุษจะรูปงามไปเพื่ออะไร มีวรยุทธ์หรือเปล่า ต่อสู้เป็นหรือเปล่า เคยออกรบฆ่าศัตรูหรือเปล่า
แต่กับเซวียนผิงโหวคงพูดคำนั้นไม่ได้
การมาเยือนของเซวียนผิงโหว ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ความโกรธของถังเย่ว์ซานที่มีต่อกู้ฉังชิงถูกเซวียนผิงโหวลดทอนไปไม่น้อย เมื่อยามท่านเหล่าโหวเอ่ยปากว่าจะพาตัวกู้ฉังชิงกลับไปอบรมที่จวน ถังเย่ว์ซานกลับรับปากเสียอย่างนั้น
แน่นอนว่าเป็นเพราะถังหมิงบาดเจ็บสาหัส เสียเลือดมากจนหมดสติไปแล้ว