ตอนที่ 209 ขั้นตอนเล็กๆ ของการแก้ไขโลกบรรพกาล (1)
“หลิงเอ๋อร์บอกข้าว่า เจ้าจะต้องประหม่าเมื่อต้องสัมผัสกับสตรีต่อหน้าผู้คน”
จิ่วจิ่วนั่งอยู่บนราวบันไดของเรือสมบัติ นางสะพายน้ำเต้าขนาดใหญ่ไว้บนหลัง แล้วแกว่งเท้าไปมาเบาๆ ที่ด้านหลังของนาง มีกำแพงค่ายกลเวทหลากสี นางถือโอสถถั่ววิญญาณสุราสองสามเม็ดเอาไว้ในมือ แล้วโยนหนึ่งในนั้นออกไปสบายๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วอ้าปากงับเม็ดโอสถ…
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
“แม้ข้าจะยอมรับว่าข้าไม่มีเสน่ห์สตรีมากนัก แต่ก็ยังถือว่าเป็นสตรี ข้าจึงอดทนและไม่ไม่เล่นกับเจ้า”
เมื่อสงหลิงลี่ได้ยินเช่นนั้น นางก็ก้มศีรษะลงมองกล้ามเนื้อ ต้นขาตัวเองเงียบๆ พร้อมกับกำสองมือเอาไว้แน่น
หลี่ฉางโซวซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่มุมห้อง อดจะยิ้มฝืดเฝื่อนออกมาไม่ได้…ท่านอาจารย์อา ท่านเข้าใจอันใดผิดในเรื่องเสน่ห์สตรีหรือไม่?
กลายเป็นว่าหลิงเอ๋อร์ได้แนะนำ ฝากฝังนางเอาไว้ล่วงหน้า หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสะเทือนอารมณ์ในใจขึ้นมาทันที
เขาให้ความรักเอ็นดูต่อศิษย์น้องหญิงมากโดยไม่เสียเปล่าไปเลยจริงๆ
เขาตัดสินใจแล้ว!
นับจากนี้ไป ข้าไม่จำเป็นต้องให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์คอยเฝ้ามองหลิงเอ๋อร์อีกต่อไป แล้วก่อนที่เขาจะกลับไปยังสำนัก เขาจะใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ดูว่าหลิงเอ๋อร์กำลังทำอะไร
หากหลิงเอ๋อร์หย่อนยานในการฝึกบำเพ็ญ เขาจะกักบริเวณนางสิบปีและให้นางเข้าปิดด่านเพื่อทะลวงด่านพลังขึ้นไป
หากพบหลิงเอ๋อร์กำลังแต่งกาย อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจะให้นางคัดลอกพระสูตรมั่นคงห้าร้อยจบเพื่อแก้ไขความคิดผิดๆ ของนาง
หากหลิงเอ๋อกินเนื้อย่างในกรงสัตว์วิญญาณ เช่นนั้นก็… ปิดประตูเฆี่ยนหลังนาง
แค่กๆ หากหลิงเอ๋อร์พากเพียรฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก เขาจะสอนวิชาสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ให้นาง เพื่อให้นางมีความสามารถในการป้องกันตัวมากขึ้น
หลี่ฉางโซ่วจัดการความคิดของเขา แล้วรู้สึกมีอารมณ์ในใจขึ้นมาเล็กน้อย
สตรีน้อยแสนสง่างามและเฉลียวฉลาดปราดเปรียวในยามนั้น บัดนี้กลายเป็นสตรีสาวร่างเพรียวบางแสน งามสง่า ยกเว้นแต่ว่าคิดอยากจะทำชั่วกับพี่ชายของนางแล้ว นางล้วนเติบโตขึ้นมาด้วยรูปลักษณ์ที่ดีไปหมดในทุกๆ ด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หลิงเอ๋อร์สงบนิ่งลงมาก นางมี “แรงกระตุ้น” ในการสร้างปัญหาน้อยลง และใจเย็นมากขึ้น
และนั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วค่อนข้างพอใจมาก
นับจากนี้ไป หากหลิงเอ๋อร์ยังคงยืนหยัดรักษาตัวได้อย่างมั่นคง เขาจะไม่ปฏิบัติต่อศิษย์น้องหญิงน้อยคนนี้อย่างไม่เป็นธรรม
จิ่วจิ่วถอนหายใจเบา ๆ
“อ่า เหตุใดข้าไม่ทะยานขึ้นสู่เซียนในยามที่กำลังข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในตอนนั้นนะ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์เคยอ่านเรื่องนี้ในตำราโบราณในหอพระสูตรเต๋า การจะทะยานขึ้นไปได้หรือไม่นั้น ล้วนไม่ได้ขึ้นกับความสามารถ ความเข้าใจ และการสะสมก่อนจะกลายเป็นเซียน รวมถึงเต๋าของตัวเองที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับสวรรค์และปฐพีขอรับ”
“หือ” จิ่วจิ่วกลอกตา “เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดเพราะอยู่เพียงในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหกเท่านั้น!”
“ใช่ ใช่แล้วขอรับ” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ศิษย์พูดมากไปแล้วขอรับ”
“อืม… ข้าไม่ได้บอกว่าฐานพลังปราณของเจ้าไม่สูง อย่าคิดมากน่า”
จิ่วจิ่วกลัวว่านางจะเผลอทำร้ายความมั่นใจของหลี่ฉางโซ่วในการฝึกบำเพ็ญเต๋า หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็แสร้งทำเป็นผู้อาวุโสพร่ำสอนเขา
“การฝึกบำเพ็ญใช้เวลานาน ไม่ใช่เรื่องของระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในเวลาเพียงชั่วครู่นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จสูงมากในอนาคต มีผู้ฝึกบำเพ็ญบางคนที่มีความสามารถ และความเข้าใจโดดเด่น แต่พวกเขากลายเป็นเซียนได้ในหนึ่งร้อยปีและเป็นเซียนเสิ่นในหนึ่งพันปี พวกเขาเผชิญกับการตีบตันในขณะที่ฝึกบำเพ็ญจนไม่อาจทะลวงผ่านและกลายเป็นเซียนเทียนได้ น้อยคนนักที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าการฝึกบำเพ็ญนั้น… ใช่ ถูกต้อง เจ้าจะใจร้อนไม่ได้ มันต้องดูในระยะยาว!”
“ท่านอาจารย์อาน้อย ช่างรอบรู้ยิ่งนักขอรับ!” หลี่ฉางโซ่วยิ้มพร้อมกับกล่าวเห็นด้วย
ดวงตาโตของสงหลิงลี่ที่อยู่ด้านข้าง เปล่งประกายราวแสงดาวขณะมองดูศิษย์พี่หญิงน้อยของนางด้วยอย่างชื่นชม
จิ่วจิ่วโบกมือให้สงหลิงลี่อย่างเขินอาย ทันใดนั้น นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามหลี่ฉางโซ่วว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรเสี่ยวหลิงลี่หรือ? นางเป็นศิษย์ในนามของท่านเจ้าสำนัก น่าจะเหมาะกว่าที่จะให้นางไปฝึกบำเพ็ญที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ เจ้าอยากให้นางไปอยู่กับข้าหรือไม่ ที่พักของข้าว่างอยู่แล้ว ข้าจะย้ายไปอยู่ในยอดเขาหยกน้อยของเจ้า!”
“ให้นางอยู่ที่ยอดเขาหยกน้อยดีกว่าขอรับ” หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงกลับไป “หลิงลี่มีสายเลือดเผ่าพ่อมด แม้จะงดกินอาหารแล้ว แต่นางก็ยังคงชอบกินอยู่ จึงน่าจะเหมาะกว่าที่จะให้นางอยู่ในยอดเขาหยกน้อยขอรับ”
เขายังกล่าวต่อว่า เมื่อกลับไป ข้าจะขยายขนาดกรงสัตว์วิญญาณเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ข้าจะเลี้ยงสัตว์วิญญาณที่อร่อยมากขึ้นแล้วให้หลิงลี่ดูแลพวกมันในขณะที่ฝึกบำเพ็ญ เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์ตลอดเวลา”
ดวงตาของจิ่วจิ่วเปล่งประกายในทันทีที่มองไปยังสงหลิงลี่แล้วอดจะมุ่ยปากไม่ได้…
นั่นหมายความว่า ในอนาคตนางย่อมไปร่วมกิน ดื่มกับศิษย์น้องหญิงน้อยจากหมู่บ้านสงอย่างเปิดเผยได้ใช่หรือไม่? สงหลิงลี่คอหดขณะมองดูศิษย์พี่หญิงอย่างอ่อนแอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า นางตัวเล็ก แต่ดูมีกล้ามเนื้อที่พัฒนาแข็งแรงแล้วในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย…
สายตาของนางดูคล้ายมากๆ กับสายตาในยามที่นางหิว!
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ค่อยคุยกันเมื่อเรากลับไปเถิด”
จิ่วจิ่วพยักหน้าเห็นด้วยทันที สงหลิงลี่มองไปที่ญาติผู้พี่ของนาง เทพแห่งท้องทะเล ก่อนจะมองไปที่ศิษย์พี่หญิงจิ่วจิ่วด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงนัก
สำนักตู้เซียนเป็นอย่างไร…
จิ่วจิ่วเอื้อมมือออกไปแล้วร้องตะโกนว่า “ข้าอยากเล่นศึกสู้มหาเทพ! การประชุมกันครั้งนี้ช่างน่าเบื่อยิ่ง ข้าหลับไปมากกว่ายี่สิบครั้งก่อนที่มันจะจบลง!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและหยิบไพ่ที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วเรียกหลิงลี่ให้มารวมกันก่อนจะขอให้อาจารย์อาน้อยสร้างข่ายอาคมพลังเซียนรอบๆ ตัวเขา เพื่อป้องกันการตรวจจับจากภายนอก
ในขั้นต้น สงหลิงลี่กล่าวว่า “ฉันโง่มากดังนั้นฉันอาจทำไม่ได้” เป็นต้นแต่หลังจากผ่านไปสองรอบ ดวงตาของซิสเตอร์ซงเป็นประกายแล้ว และเธอก็ตะโกนว่า “สี่อมตะสวรรค์”, “อมตะทองคำคู่หนึ่ง”, “บูมดาลาจัมพ์” และ “เข้าร่วมกับเฟยอมตะ” และเธอก็กว่าใครๆ อื่น!
เดิมทีสงหลิงลี่กล่าวว่า นางโง่มาก และอาจจะเล่นไม่เป็น ทว่าเมื่อผ่านไปสองรอบ ดวงตาของสงหลิงลี่ก็เปล่งประกายขึ้นมาแล้วขณะตะโกนออกมาอย่างดุเดือดว่า “สี่เซียนเทียน”, “หนึ่งคู่เซียนจิน”, “ตุบ-ตุบ” “เข้าร่วมเฟยเซียน[1]” บัดนี้ นางยิ่งร้ายกาจมากกว่าผู้ใด!
ทว่าขณะที่เล่นไปเรื่อยๆ นี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยังไม่ลืมคิดถึงเรื่องงานอย่างจริงจัง
ข้าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้คณะต้มตุ๋นของท่านอาจารย์ลุงจ้าวเลิกเล่นพิเรนทร์สักที?
เดิมทีหลี่ฉางโซ่วคิดว่า พวกของจ้าวกงหมิง และฉยงเซียว เพียงเล่นกันตามอำเภอใจของพวกเขาเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้บำเพ็ญเหวินจิงได้ประสบมา บัดนี้ พี่น้องคู่นี้ได้เริ่มกลโกงขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องเป็นชุดๆ แล้ว…
ในโลกบรรพกาลนี้ ไม่มีกองกำลังตำรวจเตือนภัยที่สามารถช่วยพวกเขาได้ และผู้สนับสนุนเบื้องหลังของท่านอาจารย์ลุงจ้าวก็แข็งแกร่งเกินไป!
วันนี้พวกเขาหลอกลวงผู้บำเพ็ญเหวินจิงโดยบังเอิญ พรุ่งนี้พวกเขาอาจหลอกลวงวังเมฆม่วงได้!
หลี่ฉางโซ่วอดรู้สึกสลดหดหู่ไม่ได้…
ในยามนั้น เพื่อจัดการกับนักพรตเต๋าชราหลังค่อมจากสำนักบำเพ็ญประจิม เขาได้สร้างสัตย์ปฏิญญาต้าเต๋าอย่างละเอียดรอบคอบยิ่ง แต่มันยากยิ่งนักที่จะขจัดความวุ่นวายนั้นได้
เขาต้องการปล่อยเรื่องนั้นไป แต่ก็กลัวว่าเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหากท่านอาจารย์ลุงจ้าวสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมาในอนาคต
เขาอยากยื่นมือเข้าไปขัดขวางให้ทันการณ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี…
หลังจากกังวลอยู่เช่นนี้สองสามวัน หลี่ฉางโซ่วก็ยังคิดจะเชิญท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ผู้เป็นผู้สนับสนุนตัวน้อยของเขาให้ออกมาจัดการเรื่องนี้
แต่หากเขาเชิญปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มาโดยไม่มีเหตุผลพอ มันจะรังแต่ลดทอนความประทับใจดีๆ ของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีต่อเขาเท่านั้น…
เขาไม่อาจใช้ผู้สนับสนุนของเขาอย่างสะเปะสะปะไร้แบบแผนได้ และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนมากขนาดนั้น
ขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆ จิ่วจิ่วก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ…
จิ่วจิ่วกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเหตุใด หลิงเอ๋อร์ถึงกลัวศิษย์พี่อย่างเจ้าได้ เจ้าจะอ่อนโยนกับหลิงเอ๋อร์สักหน่อยได้หรือไม่!?!”
เป็นศิษย์พี่…ศิษย์พี่…
ใช่แล้ว!
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] เซียนโบยบิน