บทที่ 347 เขาเป็นพ่อหรือปู่ของเจ้า?
บทที่ 347 เขาเป็นพ่อหรือปู่ของเจ้า?
“เจ้ารู้จักเซี่ยงอวี่ค่อนข้างดีทีเดียว” หมี่ลี่รู้สึกประหลาดใจ “แท้จริงแล้ว เซี่ยงอวี่มีความเกลียดชังอย่างมากต่อราชวงศ์ฉิน เขาสังหารทหารฉินที่ยอมจำนนในตอนนั้นทั้งหมด เผาพระราชวัง และปล้นเสียนหยาง*[1] และแน่นอนว่าเมื่อเขารู้เรื่องของข้าจากจางฮั่น เขาก็ต้องการตัวข้าด้วยเช่นกัน”
หมี่ลี่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “เขาได้ยินถึงความงามของข้ามานานแล้ว และตัวตนของข้าในฐานะจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์ฉินก็ปลุกเร้าความปรารถนาของเขาที่จะพิชิตร่างกายของข้า เขาเริ่มมีความคิดสกปรกชั่วร้าย เริ่มด้วยการแสดงความชื่นชมต่อข้าในสุสานใต้ดิน และในที่สุด เขาก็ยอมจำนนต่อตัณหาของเขาและพยายามทำลายผนึกปราบปรามวิญญาณ”
ซูอันตื่นตระหนก “เซี่ยงอวี่แข็งแกร่งมาก ๆ เลยนี่นา ผนึกปราบปรามวิญญาณคงหยุดเขาไว้ไม่ได้ใช่ไหม?”
ในโลกก่อนหน้าของเขา เซี่ยงอวี่เป็นที่รู้จักว่าเป็นแม่ทัพผู้ทรงพลังที่มีชื่อเสียงด้านความสามารถในการต่อสู้และบัญชาการรบ ดังนั้นในโลกแห่งการบ่มเพาะเช่นนี้ เซี่ยงอวี่น่าจะเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวถูกต้องไหม?
“เจ้าคิดถูกแค่สองในสามส่วน เป็นเรื่องที่ถูกต้องแน่นอนในประเด็นที่เซี่ยงอวี่เป็นบุคคลที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ผนึกมนุษย์และผนึกปฐพีไม่สามารถหยุดเขาได้ เขาพิชิตพวกมันได้เร็วกว่าเจ้าซะอีก” หมี่ลี่ตอบ
ซูอันเกาหัวอย่างเขินอาย บุคคลในตำนานเช่นนั้น ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งน้อยไปกว่าข้า ก็ถูกต้องแล้วนี่!
“อย่างไรก็ตาม เขาล้มเหลวในการพิชิตผนึกสวรรค์ ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อต้านเจตจำนงของสวรรค์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะประสบปัญหาบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่กลับมาที่สุสานแห่งนี้อีกเลยหลังจากผนึกสวรรค์ล้มเหลว และด้วยเหตุผลนั้นเองที่ข้าคิดว่าผนึกสวรรค์เต็มไปด้วยอันตราย ถ้าแม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างเซี่ยงอวี่ยังไม่สามารถพิชิตได้ คนอย่างข้าจึงไม่มีความหวังใด ๆ แต่ในที่สุด เจ้าผู้ที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับสามกลับทำในสิ่งที่เซี่ยงอวี่ล้มเหลวจนสำเร็จได้จริง ๆ หรือไม่บางทีมันอาจจะเป็นเจตจำนงของสวรรค์ ที่กำหนดให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการ ‘กรงของข้า’ ในที่สุด” หมี่ลี่กล่าวก่อนที่นางจะหัวเราะเบา ๆ
แต่จู่ ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่าแม้ว่าตัวนางจะถูกปล่อยจากกรงได้ไม่นาน นางก็ถูกผูกติดกับกรงอันใหม่ ทำให้สีหน้าของนางดูแย่อีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าข้าคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์สินะ!” ซูอันพูดอย่างยินดี
ความยินดีของเขายิ่งกระตุ้นความไม่พอใจของหมี่ลี่ “ฮึ่ม! ถ้าไม่ใช่เพราะกระบี่ไท่เอ๋อร์ได้รับความเสียหายหนักจากความพยายามของเซี่ยงอวี่ที่จะแหกผนึกในตอนนั้น มันย่อมไม่ง่ายสำหรับเจ้าเช่นกัน!”
ซูอันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ “ดูจากที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีทั้ง ๆ ที่ข้ามีอุปสรรคมากมาย แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นว่ามันคือโชคชะตาฟ้าลิขิต ท่านไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอที่ผู้บ่มเพาะระดับสามอย่างข้าสามารถบรรลุสิ่งที่เซี่ยงอวี่ผู้ทรงพลังไม่สามารถทำได้?”
หมี่ลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางพึมพำ “โชคชะตาฟ้าลิขิต…”
นางใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมาและถามกลับว่า “เจ้าเอาแต่ถามข้าฝ่ายเดียวมาตลอดแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตอบคำถามของข้าบ้าง”
“พี่หญิงใหญ่ อย่าลังเลที่จะถามอะไรข้า ข้าจะพยายามตอบข้อสงสัยของท่านอย่างสุดความสามารถ!” ซูอันตอบด้วยรอยยิ้ม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หมี่ลี่รู้สึกว่าซูอันกำลังจะโกหก “เจ้าไปได้วิชาวัฏจักรหงส์อมตะมาจากไหน?”
“อืม ข้าได้รับจากชายชราผู้ลึกลับ…” เนื่องจากตอนนี้เขาผูกพันกับหมี่ลี่ด้วยสัญญาชีวิตและความตาย ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปิดบังนาง ยังไงนางก็ต้องรู้เมื่อพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉู่แล้ว
นอกจากนี้ เขายังรู้สึกว่าผู้เฒ่ามี่เป็นคนชั่วร้าย ดังนั้นการปรึกษาเรื่องนี้กับหมี่ลี่อาจจะเป็นผลดีสำหรับเขา
หมี่ลี่ขมวดคิ้ว “เขาเป็นพ่อหรือปู่ของเจ้า?”
“…” ซูอัน
ทำไมข้ารู้สึกเหมือนถูกตำหนิ?
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
“ถ้าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทำไมเขาถึงเสนอวิชาลับที่ทรงพลังเช่นนี้ให้เจ้า? มันชัดเจนว่าเขาต้องหวังอะไรบางอย่าง” หมี่ลี่เย้ยหยัน
ซูอันคิดเช่นเดียวกับหมี่ลี่ แต่เขาเดาไม่ออกว่าผู้เฒ่ามี่ปรารถนาอะไรจากเขา
“หน้าตาข้าเหรอ? รู้ไหม ความรู้สึกข้าบอกว่าข้าคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ เป็นคนสำคัญของโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้บ่มเพาะระดับสูงจะต้องการถ่ายทอดทักษะทั้งหมดของพวกเขาให้ข้า…”
“…” หมี่ลี่
นางหรี่ตามองซูอันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่จริง ๆ แล้วสมองของเจ้าไม่ปกติ?”
“???” ซูอัน
ท่านน่ะสิเป็นคนบ้า ทั้งครอบครัวของท่านนั่นแหละ!
“ถ้ามีอะไรผิดปกติกับหัวของเจ้า เจ้าควรบอกข้าทันที ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นปรมาจารย์ด้านอักขระ แต่ข้าก็เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์ด้วย ข้าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเจ้าได้ก่อนที่มันจะรุนแรงเกินไป เป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่แพทย์ว่าผู้ที่มีปัญหาทางสมองมักจะรักษาได้ยากที่สุด” หมี่ลี่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล แน่นอนว่านางไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนที่มีปัญหาด้านสมอง
“…” ซูอัน
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และถามว่า “เดี๋ยวก่อนนะ นี่ท่านเป็นหมอด้วยเหรอ?”
“ถูกต้อง!” หมี่ลี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ “ในตอนนั้น ราชวงศ์ฉินได้ยึดครองพื้นที่ราบลุ่มตอนกลางทั้งหมด และรวบรวมตำราความรู้ทั้งหมดจากอาณาจักรต่าง ๆ เข้ามาไว้ในพระราชวัง ข้าเปิดอ่านหนังสือเหล่านั้นทุกครั้งที่ข้ามีเวลา ในที่สุด ข้าก็รวบรวมความรู้เกี่ยวกับอักขระและศาสตร์การรักษาเข้าด้วยกันและได้สร้างเส้นทางใหม่ให้กับตัวเอง ข้าถือว่าเป็นผู้ที่รู้เรื่องการแพทย์ค่อนข้างดี”
ถึงแม้ว่าหมี่ลี่จะบอกว่านางเพียง ‘ค่อนข้างดี’ แต่ใบหน้าของนางดูภาคภูมิใจอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับจะตะโกนว่า ‘สรรเสริญข้า! เยินยอข้า!’
“ในเมื่อท่านเป็นหมอ ถ้างั้นท่านก็สามารถรักษาเสวี่ยเอ๋อร์ได้น่ะสิ!” ซูอันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หมี่ลี่มีประโยชน์มากกว่าที่เขาคาดไว้
ใบหน้าของหมี่ลี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ข้าไม่มีสมุนไพรหรือยารักษาโรค เจ้าคาดหวังให้ข้าช่วยนางได้ยังไง?”
“โธ่เอ๊ย! อุตส่าห์หลงนึกว่าท่านจะเก่งกาจอย่างที่พูด!” ซูอันเดาะลิ้นของเขา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามทำให้ข้าโกรธ” หมี่ลี่ตอบ “ข้าสามารถรักษานางได้หากสถานการณ์จำเป็นจริง ๆ แต่ขณะนี้ข้ากำลังอ่อนแอมากเกินไป มันไม่ง่ายเลยกับการที่เราเอาชนะวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นมาได้ ดังนั้นทำไมข้าต้องทุ่มเทพลังอันมีค่าของข้าเพื่อผู้หญิงที่ข้าไม่ได้ติดค้างบุญคุณด้วย? นอกจากนี้ นางยังไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายถึงตาย ทั้งหมดที่นางต้องทำคือกินสมุนไพรหรือยาฟื้นฟูพลังชีวิต จากนั้นนางก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอันก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเขารู้สึกกังวลจนความสามารถในการประเมินสถานการณ์นั้นลดลง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดพูด “ข้าคิดว่าทักษะของท่านในฐานะแพทย์ก็ไม่ได้มีดีอะไรเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นท่านจะโดนพิษเข้าง่าย ๆ ได้ยังไง?”
ครั้งนี้หมี่ลี่อารมณ์เสียแล้วจริง ๆ “เจ้าโง่! เจ้ามันไม่รู้อะไรเลยสักนิด! น้ำตาสีชาดแห่งมารดรเซียงไม่ใช่สิ่งที่ควรมีอยู่ในโลกมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งผู้ที่เป็นเซียน! ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้เกี่ยวกับอักขระและยาที่ทำให้ข้าสามารถถอดวิญญาณออกจากร่างกายได้ ข้าคงตายไปนานแล้ว!”
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 512!
—
ซูอันรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าพิษของน้ำตาสีชาดแห่งมารดรเซียงจะรุนแรงขนาดนี้ น่าเสียดายที่จางฮั่นใช้มันหมดจนหยดสุดท้าย มิฉะนั้นถ้าเขาได้พิษนั้นมาไว้ในมือ เขาจะสามารถกำจัดใครก็ได้อย่างง่ายดาย
หมี่ลี่รู้สึกว่านางจะหัวใจวายในไม่ช้าถ้านางยังคงพูดกับซูอัน ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อเขา ก่อนจะหันไปหาทหารดินเผาและพูดว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อซื้อเวลาให้กับเรา เราคงไม่สามารถกำจัดวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย”
ทหารดินเผารู้สึกประทับใจเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ พวกมันปกป้องสุสานใต้ดินนี้มานานกว่าพันปีแล้ว ในที่สุดพวกมันก็ได้รับการยอมรับในความพยายาม นี่เป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อสำหรับพวกมัน
“ตอนนี้จางฮั่นก็ตายแล้วและราชวงศ์ฉินก็ล่มสลาย พวกเจ้าจงรับใช้ข้าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป” หมี่ลี่กล่าวขณะที่นางจ้องมองไปที่ทหารดินเผาอย่างพึงพอใจ
ทหารดินเผามองหน้ากันอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้านางอย่างเร่งรีบ นี่เป็นการแสดงความเคารพในสมัยราชวงศ์ฉิน
ซูอันรู้สึกยินดีที่ได้เห็นสิ่งนี้
ข้าสามารถใช้ไอ้พวกนี้ตามที่พอใจได้ใช่ไหม? ข้าจะให้หมี่ลี่ส่งทหารดินเผาพวกนี้ไปสู้กับทุกคนที่กล้ามาล่วงเกินข้า! โอ้ ดูเหมือนว่าข้าจะเกิดมาเพื่อเป็นแมงดาอีกแล้ว!
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ดวงตาของหมี่ลี่ ฉายแววโหดเหี้ยมขึ้นมาอย่างฉับพลันและเพียงชั่วพริบตา นางยกมือขึ้น แล้วกระบี่ไท่เอ๋อร์ ก็กวาดผ่านทหารดินเผาด้วยพลังมหาศาล
บรรดาทหารดินเผาที่ไม่ระวังเหล่านี้ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ในทันที!
[1] เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน