บทที่ 348 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครทรยศข้า!

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 348 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครทรยศข้า!
บทที่ 348 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครทรยศข้า!

ซูอันถึงกับอึ้ง

ตาของเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้

เกิดอะไรขึ้น? ทำไมท่านถึงฆ่าพวกทหารดินเผาที่เพิ่งให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อท่าน? แล้วแผนโชว์กองทัพทหารดินเผาของข้าล่ะ? งานนี้อดอีกแล้ว!

ราวกับสัมผัสได้ถึงความสงสัยของซูอัน หมี่ลี่เหลือบมองฉู่ชูเหยียนและ เฉียวเสวี่ยอิง ก่อนจะกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่ไว้ชีวิตพวกนางเอาไว้ ไม่เช่นนั้นพวกนางจะต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับทหารดินเผาพวกนี้”

“ทำไมท่านถึงฆ่าพวกมัน? พวกมันให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อท่านแล้วไม่ใช่หรือไง?” ซูอันถาม

“จงรักภักดี?” หมี่ลี่ทำเสียงเยาะ “มันก็แค่คำที่ฟังดูไพเราะที่ผู้คนแสวงหาประโยชน์จากมัน หากเจ้าไม่ต้องการถูกผู้ใต้บังคับบัญชาทรยศ เจ้าต้องเสนอผลประโยชน์ที่พวกมันไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรยืนยันว่าสถานะปัจจุบันของข้าจะสามารถมอบสิ่งที่พวกมันต้องการได้ทั้งหมด และข้าก็ไม่สามารถพาทหารดินเผาติดตามไปไหนต่อไหนได้ ดังนั้นข้าจึงฆ่าพวกมันเพื่อจบเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยนานไปความลับของข้าจะถูกเปิดเผยแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว”

“ท่านเลยฆ่าพวกมันทั้งหมดเลยเหรอ?” ซูอันรู้สึกหวาดกลัว “พวกมันพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ! แล้วมันจะเปิดเผยความลับของท่านได้ยังไง?”

“พวกมันได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ แม้ว่าพวกมันจะพูดไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้” หมี่ลี่กล่าว “ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครทรยศข้า!”

“…” ซูอัน

พี่หญิงใหญ่ ทำไมท่านถึงนำคำพูดที่โด่งดังของโจโฉออกมาใช้ในโลกนี้ล่ะเนี่ย?

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้ซูอันตระหนักว่าเขาและหมี่ลี่อาศัยอยู่ในโลกที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มมาจากโลกสมัยใหม่ ถึงแม้เขาจะมีความโลภ มีกิเลสตัณหาอยู่บ้าง และหล่อเหลาเล็กน้อย ทว่าโดยรวมแล้วเขาก็ยังเป็นคนดี เว้นแต่จะมีใครมาคุกคามชีวิตของตัวเอง ถึงจะคร่าชีวิตคน ๆ นั้น ไม่งั้นตัวเขาเองก็คงไม่ฆ่าใครง่าย ๆ

อย่างไรก็ตาม โลกแห่งการบ่มเพาะเป็นสถานที่โหดร้ายที่ทุกคนเกิดมาไม่เท่ากัน บรรดาผู้ที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์หรือมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะย่อมมีสิทธิพิเศษมากกว่าคนรอบข้าง และด้วยความเหนือกว่า เลยทำให้พวกเขาเหล่านั้นมักจะดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ

หมี่ลี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ นางเคยเป็นจักรพรรดินีผู้สูงส่งแห่งราชวงศ์ และไม่มีใครกล้าล่วงเกิน ทำให้นางเกิดความถือดีในตัวเองและไม่เห็นค่าของผู้อื่น

เมื่อสังเกตเห็นความกลัวบนใบหน้าของซูอัน หมี่ลี่ก็บ่นเขา “เจ้าเป็นผู้ชายหรือเปล่า? ข้าเห็นเจ้าต่อสู้อย่างกล้าหาญเลยคิดว่าเจ้าเป็นคนเด็ดเดี่ยว แต่สีหน้าของเจ้าตอนนี้ไม่เหมือนอย่างที่ข้าคิดเลย”

ซูอันส่ายหัวอย่างขมขื่น “จะเหมือนได้ยังไง? เป็นเรื่องปกติที่ข้าจะต่อสู้อย่างเต็มที่กับศัตรู แต่ข้าไม่มีทางโหดร้ายต่อผู้ที่ไม่เคยแสดงความเป็นศัตรูกับข้ามาก่อน!”

“เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!” หมี่ลี่ประเมิน “มีแม่ทัพรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงมากมายที่มีความคิดแบบเดียวกับเจ้า พวกเขาสามารถพิชิตสนามรบได้ แต่สุดท้ายก็ถูกคนที่อิจฉาเสแสร้งตีสีหน้าเป็นมิตรแทงข้างหลังจนต้องตายไปนักต่อนัก ข้าไม่เคยสนใจความโง่เขลาของเจ้า แต่ตอนนี้ชีวิตของเราเชื่อมโยงกัน ดังนั้นข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเดินตามรอยเท้าของพวกนั้นเด็ดขาด!”

ซูอันเงียบไป เขารู้ว่าคำพูดของหมี่ลี่มีเหตุผล แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถยอมรับมุมมองโลกในแบบของนางได้

หมี่ลี่ไม่สนใจที่จะถกปรัชญาการดำเนินชีวิตกับซูอัน ขณะที่นางเปลี่ยนหัวข้อ “พวกนางทั้งสองกำลังจะตื่นในไม่ช้า เจ้าควรรู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าควรและไม่ควรพูดอะไรต่อหน้าพวกนาง วันนี้วิญญาณของข้าได้รับความเสียหายอย่างมาก และดูเหมือนว่าพิษจากน้ำตาสีชาดแห่งมารดรเซียงยังคงส่งผลต่อข้า ข้าจะต้องปิดด่านบ่มเพาะเพื่อฟื้นตัวเป็นเวลานาน ดังนั้นถ้าไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ามารบกวนข้า!”

หลังจากพูดคำเหล่านั้น นางก็กลับเข้าไปในกระบี่ไท่เอ๋อร์ แต่ครู่ต่อมา เสียงกังวลของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ไอ้หนู นับจากนี้จงอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับสถานการณ์เป็นตายแบบโง่ ๆ อีก อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ามีอีกหนึ่งชีวิตผูกไว้กับเจ้า!”

“…” ซูอัน

คำพูดของนาง …

“อย่าห่วงไปเลย ข้าอาจมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ข้ามีจุดแข็งอย่างหนึ่งนั่นคือความกลัวตาย!”

ซูอันอาจเป็นคนเดียวในโลกที่กล้าอวดความกลัวความตายของเขาอย่างเปิดเผย ชายหนุ่มรออยู่สักครู่ แต่ก็ไม่ได้ยินคำตอบใด ๆ จากหมี่ลี่

“อย่างน้อยก็พูดอะไรออกมาบ้างสิ ท่านทำเป็นไม่สนใจตอบโต้กับข้าแบบนี้มันหยาบคายนะ!”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะเคาะกระบี่ไท่เอ๋อร์เพื่อเรียกร้องข้อความลาจากหมี่ลี่ ชายหนุ่มรีบวิ่งไปดูฉู่ชูเหยียนและเฉียวเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองค่อย ๆ ตื่นขึ้นพร้อมกับครางเล็กน้อย

“รู้สึกยังไงบ้าง” ซูอันมองทั้งสองคนอย่างกังวล

แม้ว่าหมี่ลี่จะบอกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพวกนางจะไม่เป็นไร แต่ซูอันก็พบว่ามันยากที่จะไว้ใจ หลังจากที่ได้เห็นว่านางร้ายกาจเพียงใด

ทันทีที่ฉู่ชูเหยียนลืมตา เมื่อหญิงสาวเห็นว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของชายคนหนึ่งนางก็ตัวแข็งทื่อทันที นางออกแรงผลักเขาตามสัญชาตญาณและพยายามจะผละออกไป แม้ว่านางจะดิ้นสุดแรง แต่เส้นผมและเสื้อคลุมที่พลิ้วไหวของนางก็ยังคงสวยงามอย่างเหลือเชื่อ

ภรรยาข้านี่จริง ๆ เลย นางยังคงดูงดงามเสมอไม่ว่านางจะทำอะไร แต่ในขณะที่ข้ายอมรับว่าเจ้าสวย เจ้าจะทำเหมือนรังเกียจข้าอย่างนี้ไม่ได้!

ตอนนี้เองที่ฉู่ชูเหยียนตระหนักว่าคนที่กอดนางอยู่คือซูอัน ใบหน้าของนางก็แดงด้วยความเขินอาย “ขอโทษด้วย… ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้า”

ซูอันรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินฉู่ชูเหยียนพูดคำเหล่านี้ “ทุกอย่างปกติดี เจ้ายังจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?”

ฉู่ชูเหยียนหน้าแดงในขณะที่นางหันหน้าหนีและพึมพำ “อา…มีอะไรเกิดขึ้นด้วยเหรอ?”

“???” ซูอัน

หมี่ลี่ ท่านหลอกข้า!

“พวกเจ้าทั้งสองช่วยคิดถึงคนป่วยบาดเจ็บสาหัสที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตรงนี้บ้างได้ไหม?” เฉียวเสวี่ยอิงบ่น

น้ำเสียงที่ไม่พอใจของนางทำให้ซูอันรู้สึกผิดเล็กน้อย “ความผิดข้าเอง มา ๆ ข้าจะรีบพาเจ้าออกไปเพื่อดูว่าเราจะหายาฟื้นฟูจากนักศึกษาคนอื่น ๆ ได้บ้างไหม”

“หืม? ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าเองก็บาดเจ็บสาหัสมาก่อน แต่ทำไมตอนนี้เจ้าดูเรียบร้อยปกติดี… แปลก!” เฉียวเสวี่ยอิงตั้งข้อสังเกตด้วยความสนใจ

ซูอันคิดว่าหนึ่งในความทรงจำที่หายไปของเฉียวเสวี่ยอิงจะต้องเป็นเรื่องของวิชาปฐมบทแรกเริ่ม ดังนั้นเขาจึงพยายามถามว่า “เจ้าจำได้ไหมว่าข้าได้รับบาดเจ็บยังไง?”

“แน่นอน เจ้าพยายามช่วยข้าเมื่อ…หืม?” เฉียวเสวี่ยอิงหยุดนิ่งทันที “เดี๋ยวนะ ทำไมข้าจำไม่ได้ว่าใครทำร้ายเจ้า?”

ฉู่ชูเหยียนกดขมับของตัวเอง ขณะที่นางรู้สึกว่ามีช่องว่างในความทรงจำ

ซูอันหัวเราะอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ฮ่า ๆ จะเป็นใครได้อีก? มีแต่วิญญาณพยาบาทและทหารดินเผาที่ทำร้ายข้า!”

“นี่เจ้ากำจัดวิญญาณพยาบาทและทหารดินเผาได้สำเร็จงั้นเหรอ?” ฉู่ชูเหยียนประหลาดใจ ทุกคนต่างรู้ว่ามีวิญญาณพยาบาทถึง 200,000 ดวง ส่วนทหารดินเผาเหล่านั้นก็แข็งแกร่งเช่นกัน “เจ้าทำได้ยังไง?”

“เจ้าอยากรู้? เรียกข้าว่าสามีแล้วข้าจะบอกเจ้า!” ซูอันไม่สามารถคิดหาข้ออ้างที่จะปกปิดปัญหาที่หมี่ลี่ทิ้งไว้ให้เขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ฉู่ชูเหยียนหันหน้าหนีและไม่สนใจเขา

“พวกเราออกไปกันก่อนดีกว่า การรักษาเสวี่ยเอ๋อร์เป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราควรทำ” ซูอันพูดขึ้นขณะที่เขาดึงเฉียวเสวี่ยอิงเข้าไปในอ้อมแขนและอุ้มนางขึ้น

“ปล่อยข้าลงนะ!” เมื่อถูกอุ้มในท่าเจ้าหญิงอย่างกะทันหัน แก้มสีซีดของเฉียวเสวี่ยอิงกลับกลายเป็นสีแดงในทันที

“หยุดดิ้นสิ! เดี๋ยวบาดแผลของเจ้าก็เปิดอีกหรอก!” ซูอันเตือน “เจ้าได้มอบสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตให้กับข้าแล้ว ดังนั้นข้าจะช่วยเจ้ามันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

“ดูเหมือนเจ้ายังมีสติดีอยู่” เฉียวเสวี่ยอิงคิดว่าคำพูดของซูอันนั้นสมเหตุสมผล นางใช้ทักษะลับสายสัมพันธ์ครึ่งชีวิตกับเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับชายหนุ่มที่จะดูแลนาง นอกจากนี้ ในผนึกปฐพีนางเคยอยู่ในท่าที่น่าอายยิ่งกว่าการถูกอุ้มหลายเท่า

ในทางกลับกัน ซูอันก้มหน้าครุ่นคิด ชายหนุ่มจงใจถามคำถามเพื่อทดสอบว่าเฉียวเสวี่ยอิงจำได้มากแค่ไหน และเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบของนาง