ตอนที่ 391 ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 391 ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

ตอนที่ 391 ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เจียงอวี่กระซิบกระซาบเบา ๆ

“คุณเสิ่นบอกว่าการวิจัยครั้งล่าสุดของพวกเขามีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก การทดลองเกี่ยวกับโบนวิงส์เป็นที่ยืนยันการคาดเดาของพวกเขาก่อนหน้านี้ว่า ไวรัสของซอมบี้จะรวมกับยีนที่เป็นโรคของมนุษย์ โดยเฉพาะโรคประจำตัว…”

แม้ว่าซูเถาจะคาดเดาไว้ในใจแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จริง ๆ ก็รู้สึกเหลือเชื่อที่โชคชะตากำลังเล่นตลกกับชีวิตมนุษย์แบบนี้

สิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกคือการให้ความหวังแล้วก็ให้พบกับความสิ้นหวัง

น้องสาวของเขาคนนี้…หากหาไม่เจอตลอดชีวิตคงดีเสียกว่า

ซูเถาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดความจริงอันโหดร้ายออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“เจียงอวี่ คืนนี้เธอน่าจะมาเอาตัวคุณไป คุณคิดว่ายังไงคะ?”

จากสิ่งที่หลิงอวี่กลับมาบอก ซอมบี้ที่มีชื่อฮว่าผียุยงให้เจียงถงลักพาตัวเจียงอวี่ และพาเขากลับไปเป็นสัตว์เลี้ยง ให้ปฏิบัติต่อมนุษย์เหมือนมดหรือสัตว์เลี้ยงที่พวกมันคิดจะทำอะไรก็ได้ตามใจ

เมื่อเทียบกับเจียงถง ฮว่าผีน่าจะอันตรายมากกว่า

ในขณะเดียวกันเธอก็เห็นเสิ่นเวิ่นเฉิงที่มีท่าทีลำบากใจอยู่ไม่ไกล

หลังจากที่เจียงอวี่ได้ยินสิ่งนี้ ความซื่อสัตย์ที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเขาก็เหมือนกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น

“ไม่ ผมไปไม่ได้ ผมสัญญากับคุณแล้ว”

ซูเถากำลังจะเอ่ยตอบ แต่เมื่อเห็นเสิ่นเวิ่นเฉิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยท่าทางกระวนกระวาย ราวกับว่าเขากำลังรอให้เธอคุยกับเจียงอวี่ให้เสร็จ

เมื่อเห็นว่าซูเถาเห็นเขาแล้ว เสิ่นเหวินเฉิงก็ไม่สนใจเรื่องความสุภาพอีกต่อไป เขาก้าวยาว ๆ มาหาเจียงอวี่แล้วถามว่า

“เสียวอวี่ ผมขอถือวิสาสะถามคุณเลยนะ เรื่องที่คุณมาถามผมในบ่ายวันนี้มันหมายความว่ายังไง คุณพบโบนวิงส์ตัวที่สองใช่ไหม คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้กับผม การวิจัยของเราเหลืออีกเพียงก้าวเดียว เราต้องการเพียงแค่อีกหนึ่งตัวอย่าง…”

เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้ายออกมา ก็ทำให้เจียงอวี่ที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเบิกตากว้างขึ้นไปอีก

เจียงอวี่ตัวแข็งทื่อไม่ไหวติง

แต่เสิ่นเวิ่นเฉิงผู้ที่คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์แทบไม่ทันสังเกตเลย จิตใจของเขาจดจ่อไปยังตัวอย่างชิ้นใหม่

หากเขายังต้องการถามต่อ มันก็จะเป็นการสะกิดรอยแผลเป็นของเจียงอวี่ ซูเถาจึงพาเสิ่นเวิ่นเฉิงออกไปจากตรงนั้น

“มาทางนี้ค่ะ เชิญทางนี้ มีปัญหาอะไรถามฉันได้เลย ฉันรู้เรื่องราวทุกอย่างมากกว่าเขา”

หลังจากพูดจบก็หันไปหาเจียงอวี่และพูดว่า

“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตราบใดที่คุณไม่เต็มใจที่จะออกไปจากที่นี่ ก็จะไม่มีใครมาพาคนของฉันออกไปได้”

เมื่อเจียงอวี่กลับไปเสิ่นเวิ่นเฉิงคว้ามือของซูเถา

“เถ้าแก่ซู มีซอมบี้กลายพันธุ์ตัวที่สองที่เหมือนโบนวิงส์ใช่ไหม? ต้องมีแน่ ๆ ไม่งั้นเจียงอวี่คงไม่ถามผมแบบนั้นหรอก มันอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะพาตัวมันมาที่นี่ เราถอดรหัสการกลายพันธุ์ของเชื้อแล้ว หากได้เพิ่มอีกสักหนึ่งตัวอย่างเราก็จะได้ข้อสรุปและสามารถค้นคว้าการวิจัยวัคซีนได้!”

เมื่อสือจื่อจิ้นที่ขึ้นไปอยู่บนหลังคาเห็นฉากนี้ ร่างวิญญาณของเขาก็ร้อนราวกับถูกเผาไหม้

วันนี้มันอะไรกัน ไหนจะมีคนมากอด แล้วก็ยังมีคนมาจับมือ?

ซูเถาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการวิจัยมากนักก็ถามต่อ “หมายความว่ายังไง หากได้โบนวิงส์มาศึกษาเพิ่ม ก็จะสามารถพัฒนาวัคซีนได้เหรอคะ?”

เสิ่นเวิ่นเฉิงตาเป็นประกาย “มันใกล้เข้ามาแล้ว เราสามารถถอดรหัสพันธุกรรมได้แล้ว ตราบใดที่มีกำลังคนเพียงพอและอุปกรณ์การทดลองที่สมบูรณ์แบบ ก็จะสามารถพัฒนายาและวัคซีนได้ไม่ช้าก็เร็ว เถ้าแก่ซู สรุปแล้วมีโบนวิงส์ตัวที่สองจริงหรือเปล่า?”

“การวิจัยล่าสุดของผมพบว่าการกลายพันธุ์ในลักษณะนี้หายากมาก เมื่อมันกลายพันธุ์แล้ว ซอมบี้เหล่านี้ไม่เพียงมีสติปัญญาและอารมณ์เทียบเท่ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีความสามารถอันทรงพลังที่พัฒนามาจากความเป็นอมตะและโรคภัยไข้เจ็บ ซอมบี้ชนิดนี้แทบจะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่ฆ่าไม่ตาย”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ซูเถาก็ตกใจมาก “พวกมันไม่มีจุดอ่อนจริงเหรอ?”

เสิ่นเวิ่นเฉิงพูดอย่างกระตือรือร้น “ไม่มี! นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องมีการศึกษาตัวอย่างอีกครั้ง ตราบใดที่เราไขกุญแจสำคัญได้ ทีมของเราก็จะสามารถวิจัยวัคซีนเพื่อจัดการกับพวกมันได้ และจากนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับหายนะที่จะนำมาสู่ผู้คนอีกต่อไป”

“เถ้าแก่ซู คุณรู้จักพลตรีสือใช่ไหม? แม้ว่าเขาจะยังไม่ตาย แต่สิ่งที่เขาต้องแลกมันก็หนักหนา ทั้งคุณและผม แม้แต่ทั้งสหพันธ์ทั้งหมดก็ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกใช่ไหม”

หัวใจของซูเถาเต้นไม่เป็นจังหวะ “คุณแน่ใจเรื่องนี้แค่ไหน?”

เสิ่นเวิ่นเฉิงมั่นใจและว่า “ตราบใดที่กำลังคนและอุปกรณ์พร้อม ไม่ว่าจะเป็นยาหรือวัคซีน ความแน่นอนก็ถึง 99%”

เสิ่นเวิ่นเฉิงเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่พูดมาก

แต่วันนี้เขาตบหน้าอกเพื่อรับประกันว่าเขามั่นใจ ราวกับมั่นใจเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ซูเถาคิดว่าเธอน่าจะรับพวกเขาไว้ในความดูแลโดยเปล่าประโยชน์ ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้เริ่มผลิตอะไรบางอย่างออกมาไม่มากก็น้อย

การทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นการเสียเงินและเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เธอไม่คิดว่าจะได้เจอเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว…

ซูเถาหายใจเข้าลึก ๆ “ฉันจะขอให้ผู้จัดการหม่าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาและซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการวิจัย โดยที่ผู้จัดการจวงเองก็จะให้ความสำคัญกับการสรรหานักวิจัยและจัดหาที่พักพร้อมอาหารสามมื้อให้พวกเขาฟรี มีเงินอุดหนุนต่าง ๆ และเบี้ยเลี้ยงให้มากที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการด้านกำลังคนของคุณ”

“ส่วนโบนวิงส์ตัวที่สอง ฉันยังไม่แน่ใจค่ะ ไว้เดี๋ยวฉันจะแจ้งอีกที”

เรื่องของเจียงถงไม่สามารถเร่งรีบได้

เสิ่นเวิ่นเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้าและอารมณ์ที่ตื่นเต้นของเขาเมื่อครู่ก็อ่อนลงทันที “ผมขอโทษ ผมตื่นเต้นไปหน่อยเพราะคิดว่าทุกอย่างมันใกล้สำเร็จแล้ว”

ซูเถายิ้มและส่ายหัว “ไม่หรอกค่ะ คุณเสิ่นคือผู้ที่คิดถึงโลกใบนี้เป็นที่สุด”

จากสิ่งที่เสิ่นเวิ่นเฉิงพูด ไม่มีสักเรื่องที่เกี่ยวกับการที่เขาจะได้รับทั้งชื่อเสียงและโชคลาภของตัวเองหลังจากค้นคว้ายาและวัคซีน

ปฏิกิริยาแรกของเขาคือมันจะสามารถหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมอย่างฐานเหอคัง และลดการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนได้

มันไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงหากกล่าวว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์โลก

เสิ่นเวิ่นเฉิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อล้นเล็กน้อย

เขาเพียรพยายามจัดการกับซอมบี้และไวรัสทั้งวันทั้งคืน ระดับความอันตรายที่เขาเผชิญอยู่ก็ไม่น้อยไปกว่าทหารแนวหน้าเลย และบางครั้งหลังจากที่เขาบรรลุผลสำเร็จ ก็จะเกิดการแอบอ้างขึ้น

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ผูกใจเจ็บกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเขาคิดดูดี ๆ แล้ว ตอนนี้เขาก็ยังได้ทำในสิ่งที่เขารัก และมันก็เพียงพอแล้วกับสิ่งที่เขาทำนั้นจะช่วยโลกที่ทรุดโทรมนี้ได้

เขาทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

แต่เมื่อมีคนยืนยันถึงการอุทิศตนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของเขา ดวงตาของเขาก็อุ่นขึ้น

……

เจียงถงไม่ได้มาพาตัวเจียงอวี่ไปตามที่ซูเถาคาดไว้

เธอไม่ได้กลับมาที่เถาหยางด้วยซ้ำ และอยู่ข้างนอกทั้งคืน

เจียงอวี่ไม่สามารถติดต่อเธอได้ ความวิตกกังวลและความเจ็บปวดเกิดขึ้นในหัวใจ ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปในวันที่น้องสาวของเขาหายไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ความเจ็บปวดนี้ก็ผสมกับความดีอกดีใจที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งมันทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

บางที…เธออาจจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก

แค่ทำเหมือนกับว่าเธอหายตัวไป และเขาไม่เคยตามหาเธอเจอ

เจียงอวี่รู้สึกเพียงว่าหัวใจของเขาถูกแยกออกเป็นสองส่วน สองอารมณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ทำให้เขาทรมาน เขาได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจเงียบ ๆ

ซูเถายุ่งมากจนไม่สามารถโฟกัสไปที่เรื่องของเจียงถงได้

จงเกาอี้มาพบเธอในตอนเช้าตรู่ และบอกว่าหลิงเทียนจี้ที่สลบไปสองวันฟื้นแล้ว และกลับมาเป็นปกติดี และเขาก็ต้องการพบเธอ

ซูเถาคิดที่จะรีดไถเขาเพื่อแลกเอาผลึกนิวเคลียสมาเป็นค่ารักษาพยาบาล

ใครจะคิดว่าเมื่อได้เห็นหน้ากัน ความกตัญญูรู้คุณของหลิงเทียนจี้ก็พรั่งพรูออกมา ดูเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

“เถ้าแก่ซู ผมได้ยินที่เอ่อร์เฉิงพูดแล้ว ว่าคุณเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แล้ว”

จั๋วเอ่อร์เฉิงพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ เขาและพูดว่า “เถ้าแก่ซูทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยชีวิตคุณ ทั้งยาและเวชภัณฑ์เพียงอย่างเดียวก็ใช้เงินเป็นจำนวนมากแล้ว อีกทั้งเราไม่สามารถมาอาศัยเถ้าแก่ซูโดยเปล่าประโยชน์ แล้วปล่อยให้เถ้าแก่ซูจ่ายค่ารักษาพยาบาลใช่ไหม”

หลิงเทียนจี้ที่ผ่านความเป็นความตายมา ความคิดของเขาจึงแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

“แน่นอน เถ้าแก่ซู ไม่ต้องเกรงใจกันคุณแจ้งตัวเลขมาได้เลย ผมจะใช้บัญชีส่วนตัวของผมโอนให้คุณทันที”

ซูเถาคิดว่าเธอจะขอผลึกนิวเคลียวสัก 200 อัน

แต่ว่าจั๋วเอ่อร์เฉิงก็ชิงพูดตัดหน้าเธอเสียก่อน “ผลึกนิวเคลียส 500 อัน”