ตอนที่ 631 ไปตำบลชานหลินอีกครั้ง (1) ตอนที่ 632 ไปตำบลชานหลินอีกครั้ง (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 631 ไปตำบลชานหลินอีกครั้ง (1) / ตอนที่ 632 ไปตำบลชานหลินอีกครั้ง (2)
ตอนที่ 631 ไปตำบลชานหลินอีกครั้ง (1)

เวลาสองอาทิตย์อันสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว นอกจากการไปที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพื่ออธิบายให้กู้หลีเซิงฟังเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนาทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณ เวลาส่วนใหญ่ของนางถูกใช้ไปกับการหลอมโอสถในลานป่าไผ่ ถึงแม้เตาหลอมโอสถที่เยี่ยเม่ยนำมาจะดูเล็กมาก แต่หลังจากที่เปิดออกมาเต็มที่ก็จะเห็นความพิเศษที่ถูกซ่อนไว้ จากภายนอกมันดูเล็กและไม่เหมาะที่จะใช้หลอมโอสถในปริมาณมาก แต่ภายในของมันมีพื้นที่เหมือนกับถุงเอกภพมาก

ความสามารถในการรองรับปริมาณยาในหนึ่งครั้งไม่ใช่แค่หลักสิบแต่เป็นหลักร้อย เตาหลอมโอสถใบนั้นไม่ต้องใช้ไฟอีกด้วย มันจะร้อนขึ้นเองเมื่อใส่สมุนไพรเข้าไปข้างใน

เมื่อจวินอู๋เย่าจากไป ฟ่านฉีก็ส่งอาหารมาที่ลานป่าไผ่จากครัวของเขาอีกครั้ง และในสองสัปดาห์นั้นจวินอู๋เสียก็ไม่พบสิ่งที่น่าสงสัยผสมอยู่ในอาหารที่นำเข้ามาเลย

เรื่องที่คนร้ายหยุดวางยาฟ่านจัวอย่างกะทันหันนั้นได้กระตุ้นความสงสัยของจวินอู๋เสียเป็นอย่างมาก

แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้อยู่ในมือ ทั้งจวินอู๋เสียและฟ่านจัวก็แน่ใจว่าคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังการวางยาฟ่านจัวก็คือหนิงรุ่ยอย่างแน่นอนไม่ใช่ใครอื่น

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าการตายของหนิงซินส่งผลกระทบกับเขามากเกินไป” ฟ่านจัวพยายามหาเหตุผลขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ช่วงนี้หนิงรุ่ยเอาแต่เก็บตัวแทบจะไม่ได้ก้าวออกจากห้องหนังสือของเขาเลย เมื่อก่อนนั้นหนิงรุ่ยยืนยันจะกินข้าวกับฟ่านฉีอยู่เสมอ แต่หลังจากที่หนิงซินตายไป กระทั่งพฤติกรรมที่ทำมานานก็ถูกยกเลิก

“คนที่ยอมละทิ้งบุตรีตัวเองได้ ไม่ใช่คนที่จะล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ หรอกนะ” จวินอู๋เสียไม่ผ่อนความระแวดระวังลง การเสียชีวิตของหนิงซินในวันนั้นน่าเศร้าและทรมานมาก แต่ตลอดกระบวนการลงโทษ หนิงรุ่ยยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่แม้แต่จะอ้อนวอนขอชีวิตหนิงซินเลยสักครั้ง

เห็นได้ชัดว่าหนิงรุ่ยยอมละทิ้งหนิงซินไปแล้วในตอนนั้น

แทนที่จะสันนิษฐานว่าหนิงรุ่ยสะเทือนใจอย่างหนักจากการตายของหนิงซินจนไม่กล้าแก้แค้น นางอยากจะคิดว่าเขาจงใจพยายามซ่อนตัวหรือลดการปรากฏตัวของเขาเอง

ถึงอย่างไรบุตรีของเขาก็ได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง หลังจากที่ถูกเปิดเผยให้ศิษย์ทุกคนในสำนักศึกษาได้เห็น ต่อให้เขาสามารถอธิบายได้ว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ควรถูกตำหนิ เขาก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าผู้อื่นจะมองเขาอย่างไร

“อีกไม่กี่วันเราจะเดินทางไปที่ตำบลชานหลินอีกครั้ง” จู่ๆ จวินอู๋เสียก็พูดขึ้น

ฟ่านจัวชะงักแล้วถามว่า “เจ้าตั้งใจจะไปที่ผาสุดขอบฟ้าแล้วหรือ”

จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย

“ก็ดี ของของข้าที่โรงหลอมก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว พอเราไปถึงตำบลชานหลิน ให้เวลาข้าสองสามวันเพื่อหลอมแหวนแห่งวงแหวนภูติวิญญาณวงใหม่ให้พวกเจ้าก่อนจะไปที่ผาสุดขอบฟ้านะ ถึงอย่างไรที่นั่นก็ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างถึงที่สุด พลังที่เสริมเข้ามาทุกๆ อย่างจะช่วยเพิ่มการป้องกันให้พวกเจ้าทุกคนได้” ฟ่านจัวพูดด้วยรอยยิ้ม

มีเพียงสมบัติของเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิเท่านั้นที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับพลังที่มากพอจะต่อต้านสิบสองตำหนัก!

ไม่กี่วันต่อมา จวินอู๋เสียได้รวมตัวกับเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ออกเดินทางไปที่ตำบลชานหลินด้วยกัน เนื่องจากไม่ใช่วันหยุดของสำนักศึกษาเฟิงหัว ตำบลชานหลินจึงเงียบกว่าครั้งที่แล้วมาก ถนนหลักมีแผงลอยอยู่ไม่มาก ภาพความคึกคักจอแจเมื่อครั้งก่อนหายไปหมดสิ้น

จวินอู๋เสียกับกลุ่มสหายของนางแต่งตัวด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาเพื่อจะได้ไม่ดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเอง

หลังจากพวกเขาเข้าที่พักแล้ว หรงรั่วกับฟ่านจัวก็ไปที่โรงหลอมเพื่อเอาศิลาดำกลับมา

ส่วนทางด้านจวินอู๋เสียกับคนอื่นๆ ก็พากันเดินทางไปยังที่อยู่ของมู่เชียนฟาน

มู่เชียนฟานอาศัยอยู่ในมุมหนึ่งของตำบลชานหลิน บ้านเรือนแถบนั้นสร้างอย่างหยาบๆ และเรียบง่าย ตามที่อยู่ที่มู่เชียนฟานให้มา พวกเขาไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังเล็กเก่าๆ โกโรโกโสหลังหนึ่ง เฉียวฉู่ก้าวเข้าไปเคาะประตู

สักพักประตูไม้พังๆ ก็เปิดออก

มู่เชียนฟานที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ทั้งตัวปรากฏขึ้นที่หลังประตู เมื่อเขาเห็นจวินอู๋เสีย ดวงตาของเขาก็สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตอนที่ 632 ไปตำบลชานหลินอีกครั้ง (2)

“คุณชายจวิน ท่านมาแล้ว” เสียงของมู่เชียนฟานเต็มไปด้วยความยินดี

จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย

มู่เชียนฟานรีบก้าวถอยหลังเพื่อให้พวกเขาเข้าไปข้างในขณะที่พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “เชิญพวกท่านเข้ามานั่งก่อน”

จวินอู๋เสียกับสหายเข้าไปในบ้านและพบว่าภายในบ้านนั้นชำรุกทรุดโทรมยิ่งกว่าภายนอกเสียอีก นอกจากเตียงไม้เก่าผุๆ พังๆ กับโต๊ะเก้าอี้ไม้ที่ชำรุดจนหมดสภาพแล้ว ทั้งบ้านก็สามารถพูดได้ว่าว่างเปล่ามีแต่กำแพงสี่ด้านเท่านั้น

“เฮ้อ ทำไมความรู้สึกนี้มันคุ้นๆ” เฉียวฉู่มองสำรวจไปทั่วห้องอันว่างเปล่าแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทุกข์ยากที่พวกเขาเคยประสบมาก่อนจะพบกับจวินอู๋เสีย

ในหลายปีนั้น พวกเขามีสภาพไม่ต่างจากมู่เชียนฟานเท่าไรนัก

“ท่านได้เงินไปตั้งเยอะจากการขายศิลาดำนั่น แล้วทำไมถึงยัง…” เฉียวฉู่ถามขณะที่มองมู่เชียนฟานอย่างงุนงง

ก้อนศิลาดำถูกขายไปในราคาหลายแสนตำลึงซึ่งไม่ใช่จำนวนเงินที่เล็กน้อยเลย แค่เอามาสักสองสามร้อยตำลึงก็ทำให้มู่เชียนฟานสบายขึ้นได้แล้ว

มู่เชียนฟานรู้สึกตัวอยู่บ้างขณะที่มองกลุ่มผู้เยาว์ตรงหน้าเขา และรู้สึกอับอายกับสภาพยาจกของตัวเองอยู่เล็กน้อยพลางพูดว่า “ข้าให้เงินทั้งหมดนั่นกับครอบครัวของพี่น้องข้าไปแล้ว พี่น้องข้าหลายคนเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนใหญ่จะมีทั้งคนแก่และเด็กที่พึ่งพารายได้จากพวกเขา ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ทิ้งลูกทิ้งเมียเอาไว้เบื้องหลังโดยไม่มีใครสักคนมาใส่ใจ แล้วข้าจะเอาเงินนั่นไปใช้ได้อย่างไร อย่างน้อยข้าก็ยังมีชีวิตอยู่และมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำให้ตัวเองอยู่ต่อไปได้ ครอบครัวของพวกเขาต้องการเงินมากกว่าข้า”

มู่เชียนฟานไม่เพียงแต่ให้เงินทั้งหมดที่เขาได้รับจากการประมูลไป แต่เขายังเอาเงินทั้งหมดที่เขาอุตสาหะเก็บหอมรอมริบมาตลอดหลายปีให้ไปด้วย โดยไม่ได้เก็บเอาไว้เพื่อตัวเองเลยแม้แต่ตำลึงเดียว

เฉียวฉู่กับเฟยเยียนสบตากัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสารและมีความเคารพนับถือซ่อนอยู่

มู่เชียนฟานเองก็ยากจนอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมเอาเงินเก็บไว้เลยสักนิดเดียว เขารู้สึกละอายใจต่อพี่น้องที่จากโลกนี้ไปเป็นอย่างมาก เขายอมให้ตัวเองทุกข์ทนดีกว่าจะแตะต้องเงินที่พี่น้องของเขาใช้ชีวิตแลกมา

อาจจะเป็นเพราะสายตาสงสารอย่างเห็นได้ชัดของเฉียวฉู่กับเฟยเยียน ทำให้มู่เชียนฟานอับอายมากขึ้นไปอีก

“บ้านของข้าเล็กมาก ต้องขออภัยด้วย พวกท่านอยากจะ…นั่งบนเตียงหรือไม่” มู่เชียนฟานรีบเดินไปที่เตียงและดึงผ้าห่มที่กลายเป็นสีดำไปแล้วเพราะไม่ได้ซักออกมา เขาพยายามทำผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่ให้เรียบขึ้นและถอยไปยิ้มเจื่อนๆ อยู่ด้านข้างพร้อมกับเชื้อเชิญให้เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ นั่งลง

เมื่อเห็นมู่เชียนฟานในสภาพเช่นนั้น เฉียวฉู่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา

สำหรับเฉียวฉู่แล้ว ไม่สำคัญว่าคนจะร่ำรวยแค่ไหนหรือมีความสามารถเพียงใด ความจริงใจต่างหากที่สำคัญที่สุด

ในตัวมู่เชียนฟานนั้น เขามองเห็นความซื่อสัตย์ไว้วางใจได้และความรับผิดชอบของคนที่มีวุฒิภาวะ ตัวเขาเองมีชีวิตที่ยากจนจนน่าเวทนาอยู่แล้ว แต่กลับไม่ละโมบในเงินทองที่อยู่ในมือของเขาเลยแม้แต่น้อย โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งหรือความสามารถของมู่เชียนฟาน การกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวต่อครอบครัวของพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วของเขา ทำให้ได้รับความนับถือจากเฉียวฉู่และสหายของเขาเป็นอย่างมาก

จวินอู๋เสียกวาดตามองสภาพภายในรอบบ้านก่อนจะพูดขึ้นง่ายๆ

“ทุกคนออกไป” แล้วนางก็หมุนตัวเดินออกไป

มู่เชียนฟานดูอับอายยิ่งขึ้น เขารู้ดีว่าสภาพบ้านของเขานั้นไม่ควรจะให้แขกเข้ามา ถึงแม้กลุ่มผู้เยาว์ตรงหน้าเขาจะยังเด็ก แต่ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่แล้ว พวกเขาไม่ได้มาจากตระกูลธรรมดาทั่วไปแน่

เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ เดินออกจากบ้านไปอย่างเชื่อฟัง มู่เชียนฟานรีบตามพวกเขาออกไป หลังจากเขาก้าวออกไปแล้ว มู่เชียนฟานก็ปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง

เขายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บจึงยังไม่สามารถทำงานหาเงินได้ อย่างน้อยบ้านหลังเล็กนี้ก็เป็นที่หลบลมและฝนแห่งสุดท้ายของเขา

แต่ทันทีที่มู่เชียนฟานเดินออกจากบ้าน จวินอู๋เสียก็ดึงถ่านไฟออกมาจุด จากนั้นนางก็โยนถ่านติดไฟขึ้นไปบนหลังคาบ้านของมู่เชียนฟาน!