บทที่ 322 แผนการของเหยาเฉาต่อเสี่ยวเว่ย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 322 แผนการของเหยาเฉาต่อเสี่ยวเว่ย
บทที่ 322 แผนการของเหยาเฉาต่อเสี่ยวเว่ย

บทบาทราชองครักษ์เป็นตำแหน่งที่ยุ่งยากอย่างยิ่งในราชวงศ์ก่อน ๆ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องดูแลความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิตลอดเวลา แต่บ่อยครั้งที่องค์จักรพรรดิไม่ชอบให้กงกงติดตาม พวกเขาจึงจำเป็นต้องจัดการกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มากมายอีกด้วย

พอถึงราชวงศ์ต้าเหยียน สถานการณ์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

ปัจจุบันการเป็นราชองครักษ์ไม่ได้ยุ่งยาก เพียงมีบุคลิกที่สบาย ๆ ชอบพูดคุยกับคนหนุ่มสาวเท่านั้น ตอนนี้ในราชสำนักมีราชองครักษ์สี่สิบแปดตำแหน่ง เมื่อเพิ่มหลินเหราและเหยาเฉาก็จะเป็นทั้งหมดห้าสิบตำแหน่ง

ยิ่งคนมากขึ้น ก็จะยิ่งสบายขึ้น

เหยาเฉารู้สึกว่างานราชองครักษ์ไม่ได้ยุ่งมาก ชายหนุ่มจึงลางาน เขาตั้งใจว่าจะใช้เวลาห้าวันในการจัดหาข้าวของที่บ้านใหม่พวกเขายังไม่มี และจัดบ้านให้เข้าที่เข้าทาง

ช่วงนี้เหยาซูเองก็ยุ่งอยู่กับการหาตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อเตรียมตัวที่จะเปิดโรงเตี๊ยมของตัวเอง

ดังนั้นนางแทบไม่มีเวลาที่จะทำเรื่องอื่นใด

มากไปกว่านั้น เนื่องจากพี่รองลางานไปแล้ว หลินเหราจึงไม่สามารถลาได้ จึงต้องลำบากให้เหยาเฉาวิ่งวุ่นไปมาคนเดียว คอยติดต่อพ่อค้าคนกลางเพื่อจัดหาคนรับใช้ และคอยจัดบ้านใหม่ให้เรียบร้อย

วันหยุดทั้งห้าวันของเหยาเฉาใกล้จะหมดลง ชายหนุ่มใช้เวลาที่เหลือพักผ่อนในบ้านที่เป็นระเบียบเรียบร้อยหลังจากที่ต้องวิ่งวุ่นเหนื่อยล้ามาหลายวัน

วันนี้

หลังจากเที่ยงวัน

เหยาเฉาจัดหาซื้อข้าวและวัตถุดิบเส้นต่าง ๆ เข้าครัว เพื่อเตรียมไว้สำหรับอาหารมื้อเย็น เมื่อกลับมาถึงก็ได้เห็นร่างอันคุ้นเคย

เขาตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะและเดินเข้าไปหา

เหยาเฉายิ้มน้อย ๆ และเข้าไปคุยกับชายชุดดำที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ในลานบ้าน “กฎระเบียบข้อนี้ใครเป็นคนสอนเจ้า เข้าบ้านคนอื่นโดยไม่บอกไม่กล่าว ทั้งยังมาปรากฏตัวในลานบ้านอีก เจ้าไม่กลัวโดนจับหรืออย่างไร”

เสี่ยวเว่ยได้ยินเสียงฝีเท้ามาตั้งแต่แรก หลังจากเหยาเฉาพูดจบเขาก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นม่านตาสีอ่อนสะท้อนแสงชัดเจนท่ามกลางแสงแดด

 

เขานั่งไขว่ห้าง และแสร้งทำเป็นไม่พอใจ “ข้าเรียกท่านว่าพี่รอง แล้วบ้านของท่านไม่ใช่บ้านของข้าหรือ”

  

หลักการแบบนี้นี่มัน…

เหยาเฉาหัวเราะออกมา แล้วถามขึ้นหนึ่งคำถาม “ข้าสามารถปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจเฉกเช่นเหมือนเจ้าเป็นน้องของข้า เจ้าเล่าสามารถปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจประหนึ่งว่าข้าเป็นพี่ของเจ้าได้หรือไม่”

เสี่ยวเว่ยวางมือลงบนเข่า สงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงถามคำถามเช่นนี้ คิ้วจึงค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน “ทำไมเล่า ข้าไม่ได้เรียกท่านว่าพี่รองมาตลอดหรอกหรือ”

เหยาเฉาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนทิ้งตัวนั่งลงข้างเด็กหนุ่ม เกิดความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ภายในแววตาของเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พยักหน้าเป็นการทดสอบ “ถ้าอย่างนั้น ฟังพี่รองของเจ้าแล้วหยุดเรื่องยุ่ง ๆ ที่แสนวุ่นวายของเจ้าสักที”

เสี่ยวเว่ยยู่ปาก รอยยิ้มก่อนหน้านี้ได้หายไปทันที และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ข้าคิดไว้แล้วว่าท่านต้องพูดแบบนี้ ไม่มีความหมาย! หากท่านไม่ชอบเรื่องที่ข้าทำ หรือถ้าท่านไม่ชอบข้าคนนี้ ข้าก็จะไป”

เด็กหนุ่มพูดพลางทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกเหยาเฉาจับไว้เสียก่อน

เหยาเฉามองสีหน้าที่ดูหมดหวัง “เจ้าเพิ่งพูดได้เพียงไม่กี่ประโยคเองก็จะไปแล้วหรือ ข้าแค่เพียงไม่สามารถชอบเจ้าได้ เจ้าพูดเองว่าเป็นน้องข้า แต่กลับไม่ฟังคำเตือนของพี่ชาย”

เสี่ยวเว่ยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เหยาเฉายังกล่าวอีกว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากฟัง วันนี้ข้าก็จะยังไม่พูด”

  

แบบนี้ชายหนุ่มถึงจะพอใจ ใบหน้าที่เฉยเมยของเขาดูดีขึ้นเล็กน้อย

เขาย้ายไปที่ขอบเก้าอี้เพื่อเพิ่มที่ว่างให้เหยาเฉา และเอนกายลงเหมือนเดิม “ก่อนหน้านี้ที่เจอท่าน ท่านบอกข้าว่าอยากจะได้บ้านเล็ก ๆ ตอนหลังมาเหตุใดท่านถึงซื้อบ้านหลังใหญ่โตแบบนี้เล่า”

เหยาเฉาหัวเราะ ปรับหาท่าทางที่นั่งสบายกว่านี้ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ ๆ ต่างจะย้ายมาเมืองหลวง วางแผนให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกัน จึงต้องหาบ้านที่มีพื้นที่ใหญ่หน่อย”

เสี่ยวเว่ยที่ได้ยินแบบนั้น ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง “พี่รอง ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

เหยาเฉาประหลาดใจกับท่าทีที่แปลกประหลาดของเสี่ยวเว่ย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืดกายตรงในทันที ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ “มีอะไรแปลกประหลาดหรือ ทำไมเจ้าถึงได้ดูประหลาดใจเช่นนี้”

เสี่ยวเว่ยนิ่งไปชั่วขณะ พยักหน้าก่อนจะส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดเล็กน้อย…ข้าคิดว่า สองคนอยู่บ้านด้วยกันก็รู้สึกแออัดแล้ว หรืออาจเป็นเพราะว่าข้าไม่มีญาติพี่น้อง จึงรู้สึกว่าครอบครัวใหญ่อยู่ด้วยกันมันค่อนข้างแปลก”

เหยาเฉารู้สึกว่าคำอธิบายของเสี่ยวเว่ยช่างน่าขบขัน “ทั้งหมดล้วนเป็นญาติพี่น้องกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”

เห็นท่าทางครุ่นคิดของชายหนุ่ม เหยาเฉาพลันคิดถึงเรื่องราวที่ชายหนุ่มต้องประสบพบเจอ ภายในใจก็เกิดความรู้สึกอ่อนโยน

ชายหนุ่มกล่าวนุ่มนวล “รอพวกเขามาก่อน แล้วจะให้เจ้ามาเป็นแขกของบ้านเราดีหรือไม่ ท่านพ่อ ท่านแม่ชอบเด็กหนุ่มแบบเจ้านัก”

เสี่ยวเว่ยแทบจะเสียสติ “ข้าเนี่ยนะ! ข้าเป็นอย่างไร ไหนท่านพูดอีกครั้งเสีย ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

สีหน้าที่อบอุ่นของเหยาเฉามองไปยังดวงตาของเสี่ยวเว่ย และกล่าวอย่างจริงจัง “ครั้งก่อนที่ภูเขาเฮยหู่ ต้องขอบใจเจ้ามากที่แบกข้ากลับบ้าน ทั้งยังไปเรียกหมอให้ข้าอีก ถ้าไม่ได้เจ้า ข้าคงเสียเลือดจนตายไปแล้ว บุญคุญครั้งนี้ทุกคนในบ้านรู้ดี ท่านพ่อท่านแม่ล้วนอยากจะขอบคุณเจ้าต่อหน้าสักครั้ง”

เสี่ยวเว่ยกระแอมเบา ๆ ขยับขาทั้งสอง และพูดอย่างไม่สบายใจ “บุญคุณอะไรกันเล่า ข้าแค่พาท่านกลับบ้าน ข้าไม่ได้พูดเกินจริงอะไร นอกจากนี้พี่รองเองก็เคยช่วยชีวิตข้าไว้ พวกเรามีบุญคุณต่อกัน”

เหยาเฉาหัวเราะ ในใจรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องมาเตร็ดเตร่พเนจรเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างอบอุ่น “เจ้ายังเด็ก ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ พวกผู้ใหญ่จะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไรเล่า พ่อกับแม่ของข้านิสัยดีมาก ๆ เจ้าไม่ต้องกลัว”

เสี่ยวเว่ยกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เล็ก ถูกคนซื้อขายไปมาราวสิ่งของ

แซ่ของเขาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้ง เป็นการซื้อขายครั้งไหนที่ได้มันมา

เขาไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักในครอบครัวมาก่อน แต่พอได้ติดต่อกับตระกูลเหยาในระยะเวลาสั้น ๆ ในคราก่อน ทำให้เขาสัมผัสถึงความรู้สึกของทุกคนในครอบครัวที่มีต่อเขาเอง

และเมื่อครั้งนี้ได้ยินว่าเหยาเฉากำลังจะแนะนำตัวเองให้รู้จักกับครอบครัวอย่างเป็นทางการ ภายในใจเสี่ยวเว่ยก็อยากจะตั้งตารอ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เช่นกัน

เหยาเฉาไม่ได้บังคับเด็กหนุ่ม เพียงแต่หัวเราะและบอกเขาว่า “พรุ่งนี้ข้ายังหยุดพักผ่อนอีกหนึ่งวัน วันนี้เรามาดื่มกันให้สบายใจกันเถอะ”

เสี่ยวเว่ยยิ้มออกมา ใบหน้าที่ดื้อรั้นของเขาก็เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของความอ่อนเยาว์ในทันใด “ถ้าพูดถึงการดื่ม ท่านดื่มสู้ข้าไม่ได้หรอกพี่รอง”

เหยาเฉาก็เกิดความรู้สึกที่สบายใจขึ้นมา “ฮ่า ๆ ๆ” เขาหัวเราะออกมา “ก็มาสิ มาดูกันพวกเราสองคนใครจะดื่มได้มากที่สุด”

เหยาเฉาเรียกคนใช้ของเขา เพื่อให้ออกไปซื้อสุราและเตรียมกับแกล้มสำหรับการดื่ม

ทั้งสองดื่มกันตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำ

ท้ายที่สุด เหยาเฉาก็พ่ายแพ้ก่อนเป็นคนแรก ชายหนุ่มถือจอกสุราไว้ในมือที่เรียวยาว สายตาตาพร่ามัวเล็กน้อย เขาพูดกับเสี่ยวเว่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า “เจ้ามันไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ข้าประเมินเจ้าต่ำไป…”

เสี่ยวเว่ยยกสุราขึ้นดื่มอีกหนึ่งจอก ใบหน้าของเขายังคงปกติเหมือนเดิมราวกับว่ากำลังดื่มน้ำ จากนั้นก็พึมพำเสียงเบาว่า “สุราที่ท่านซื้อนั้นจืดเกินไป ไม่ยักจะมีรสชาติ ”

เหยาเฉาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ร้านสุรามีลูกค้าเข้า ก็ต้องดื่มสุรา เจ้าเป็นคนชอบดื่ม ครั้งต่อไปข้าจะเอาสุราจากบ้านเกิดข้ามา เจ้าต้องชอบมากแน่ ๆ”

เสี่ยวเว่ยได้ยินเช่นนั้น ตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกายระยิบระยับทันที “เมื่อข้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยขโมยสุราที่ชาวบ้านต้มในลานบ้านตัวเอง และแม้แต่สุราที่แรงที่สุดก็ลิ้มลองมาแล้ว มันช่างแตกต่างจากที่ข้าหมักเองนัก แต่สุราของบ้านของพี่รองก็ดีเหมือนกัน”

เหยาเฉาหัวเราะ คิ้วงดงามได้รูปของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่รองจำไว้แล้ว ข้าจะนำมาให้เจ้า!”

เสี่ยวเว่ยมักมีที่อยู่ไม่แน่นอน และเป็นเรื่องยากที่ทั้งสองคนจะดื่มและพูดคุยกันได้ในคราวเดียวได้อย่างนี้

เดิมทีคนทั้งสองมีทางเดินคนละทางและมีบุคลิกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง วันหนึ่งกลับกลายเป็นคนสนิทกันได้ ช่างเป็นความมหัศจรรย์ของโชคชะตาโดยแท้

เหยาเฉายกจอกขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และชนจอกกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาเบา ๆ พลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ

‘รอท่านพ่อท่านแม่มาถึงเมืองหลวง ให้เสี่ยวเว่ยมาเป็นคนในครอบครัวใหม่อีกคนจะเป็นอย่างไร’

เช่นนี้ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็จะมีบ้านสักที

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อืม พาเข้าบ้านมาให้เป็นน้องชายแหละ ไม่ได้มีอะไรเกินนั้นเลยจริงๆ

ไหหม่า(海馬)