“ฉัน…ไม่รู้สิ…”
ในที่สุดผมก็พูดด้วยสีหน้าเศร้าและหันความสนใจไปที่เครื่องดื่ม
“การเผชิญหน้ากับอดีตมันไม่ง่ายเลย ฉันแค่ไม่แน่ใจ แต่ไว้ฉันจะคิดดูนะ”
ผมพูดต่อจนถึงตรงนี้ก่อนจะหันไปมองเซเลสทีเนียด้วยรอยยิ้มขอบคุณให้เธอ
เซเลสทีเนียส่งยิ้มกลับมาให้ผมขณะที่เธอมุ่งความสนใจไปที่เครื่องดื่มของเธอ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ลึกๆ
‘ฉันปล่อยให้เธอทำงานง่ายขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ’
ผมคิดกับตัวเอง ผมต้องทำให้เซเลสทีเนียทำงานหนักเพื่อเป็นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่อยู่ข้างหลังผมเพื่อรอฟังคำสั่ง
ผมปล่อยให้เซเลสทีเนียเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มของเธอซักพักก่อนโต้ตอบกับเธอต่อ
“แล้วทำไมเธอถึงออกมาเดินข้างนอกหล่ะ?”
จู่ๆ ผมก็ถามเซเลสทีเนียขึ้นมา
“อ๋อ…ฉันก็แค่อยากออกมาเดินเล่นเฉยๆ หน่ะ”
เซเลสทีเนียตอบ ซึ่งผมก็พูดต่ออย่างสนุกสนาน
“รู้ไหม มันไม่แฟร์เลยที่มีแค่เธอที่รู้ถึงตัวตนของฉัน ฉันขอถามถึงตัวตนจริงๆ ของเธอหน่อยได้ไหม?”
ผมถามเธอ
จากคำถามของผมทำให้เซเลสทีเนียมีใบหน้าที่ครุ่นคิดก่อนเธอจะส่ายหัว
“ขอโทษด้วย ฉันบอกไม่ได้ ฉันมีเหตุผลของตัวเองหน่ะ”
เธอพูดขณะดื่มน้ำผลไม้
ด้วยเหตุนี้เราจึงใช้เวลาพูดคุยกันอีกครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นเซเลสทีเนียก็กล่าวคำอำลาและรีบจากไป ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะบรรลุเป้าหมายแล้ว และถ้าผมเดาถูก เธอน่าจะกลับไป ‘ปลอบใจ’ สการ์เล็ตที่อารมณ์ไม่ดีอยู่
‘ขอเดาว่าเธอคงคิดว่าสการ์เล็ตที่เป็นลูกครึ่งมนุษย์เลยทำให้เธอจะไม่หมกมุ่นอยู่กับการรักเดียวใจเดียวแบบมังกร’
ผมคิดกับตัวเอง เซเลสทีเนียคงจะพยายามทำให้สการ์เล็ตทิ้งผม แต่มันมีแต่จะส่งผลย้อนกลับมาที่เธอเท่านั้น เพราะความหมกมุ่นในความรักนั้นไม่ได้มีแต่ในเผ่าพันธ์มังกรเท่านั้น ผู้หญิงที่อยู่รอบตัวผมยังเป็นข้อพิสูจน์ไม่พออีกงั้นเหรอ?
ผมอวยพรเงียบๆ ให้เซเลสทีเนียครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มเดินทางไปยังสถานที่อื่นซึ่งผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่รอคอยผมอยู่
ผมเดินทางพร้อมกับปกปิดตัวตนเช่นเดิมจนในไม่ช้าก็มาถึงพื้นที่ฝึกส่วนตัวที่ผมออกแบบมาสำหรับกลุ่มของผม โดยมีพื้นที่เฉพาะที่ตั้งไว้เป็นการส่วนตัวสำหรับผม
ในไม่ช้าผมก็แอบเข้าไปในห้องก่อนจะพบกับร่างสวยงามที่กำลังฝึกพลังของเธออยู่
แถวของหอกเลือดถูกควบคุมด้วยพลังของเธอเพื่อต่อสู้กับหุ่นฝึกซ้อมที่ถูกจัดไว้ พวกหุ่นนั้นต่างกำลังบิดเบี้ยวและถูกทำลายไป ผมสีบลอนด์เข้มของผู้หญิงคนนั้นถูกมัดเป็นหางม้าและดวงตาสีแดงเลือดของเธอก็กำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกซ้อมอย่างสมบูรณ์
ผมอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เพื่อเฝ้าดูเธอทำความคุ้นเคยกับพลังของตัวเองสัก 2-3 นาที
“เธออาการดีขึ้นแล้วสินะ”
จู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าการฝึกของเธอจบลงแล้ว เสียงของผมดึงดูดความสนใจของโซเนียอย่างรวดเร็วจนทำให้เธอรีบหันหน้ามาหา ดวงตาที่ฝึกฝนอย่างเย็นชาของเธอละลายกลายเป็นรอยยิ้มเขินอายในไม่ช้าขณะที่เธอโบกมือมาที่ผม
“สวัสดีจ่ะ”
เธอกล่าว
เมื่อได้ยินคำทักทายของเธอ ผมก็ยิ้มออกมาและเดินเข้าไปหาเธอแล้วรีบกอดร่างของเธอ ทำให้เธอตัวแข็งไปชั่วขณะ
“ตอนนี้ฉันตัวเหม็นนะ”
เธอเอ่ยออกมาอย่างเขินๆ ในอ้อมกอดของผม ดูเหมือนกังวลว่าผมจะเปียกเพราะเหงื่อของเธอมากกว่า
สำหรับคำพูดของเธอ ผมสูดดิมกลิ่นของโซเนียเข้าลึกๆ ก่อนจะกระซิบตอบข้างใบหูของเธอ
“ตัวเธอยังหอมอยู่เลย…”
คำพูดของผมทำให้โซเนียหน้าแดง แต่สุดท้ายเธอก็ยอมและกอดผมกลับ
“คิดถึงฉันไหม?”
ผมถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และเธอก็ตอบด้วยการพยักหน้าเขินๆ
“คิดถึงมากเลย…”
สีหน้าและคำพูดที่น่ารักของเธอนั้นมากเกินพอที่จะทำให้ระดับน้ำตาลผมเพิ่มขึ้นได้เลย
ผมจูบแก้มเธอเบาๆ ก่อนที่จะนั่งลงบนพื้นโดยมีโซเนียนั่งลงบนตักของผม เธอขยุกขยิกอย่างเขินอายในอ้อมกอดของผมพร้อมกับดวงตาที่จับจ้องมาที่ผม
ไม่นานเธอก็ถามผมด้วยความกังวลที่เห็นได้ชัดในน้ำเสียงของเธอ
“คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
คำถามของเธอเจาะจงไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนเร้นลับ ในตอนนี้เรื่องราวคงจะแพร่กระจายไปทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะการที่ผมได้นำคนทั้งรุ่นผ่านสงครามที่เป็นไปไม่ได้และจบลงด้วยชัยชนะ ผมได้รับข้อความแสดงความยินดีมากมายจากปู่ของผม เขาภูมิใจในจิตใจของชายชาติทหารที่ผมแสดงออกมา
“เธอได้ยินเรื่องราวมาบ้างแล้วใช่ไหม?”
ผมถามขึ้นมา ซึ่งโซเนียก็พยักหน้า สีหน้าของเธอสว่างขึ้นด้วยความตกตะลึงขณะที่เธอพูด
“ฉันได้ยินมามากมายเลยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำ…”
“จริงเหรอ? แล้วมันทำให้เธอรู้สึกยังไงบ้างหล่ะ?”
ผมถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้ดวงตาสีแดงเหมือนทับทิมของเธอจ้องมาที่ผม สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พยายามไม่ตอบ แต่ผมก็ไม่ยอมให้เธอแต่อย่างใด
“บอกฉันหน่อยสิ”
คำพูดเหมือนเป็นคำสั่งในครั้งนี้ ดังนั้นเธอจึงเริ่มตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฉันรู้สึกกังวล, รู้สึกยินดีกับคุณ, รู้สึกภาคภูมิใจและไม่เต็มใจเล็กน้อยที่ไม่ได้อยู่กับคุณที่นั่นด้วย…”
แต่ละคำที่เธอพูดมีแต่จะทำให้ผมยิ้มมากขึ้น
“ก็ตอนนั้นเธอกำลังฝึกอยู่ที่นี่หนิ มันช่วยไม่ได้ที่เธอจะไม่ได้อยู่ข้างๆ ผมจริงไหม?”
ผมถามแต่เธอไม่ตอบ การพยักหน้าและความเขินอายบนใบหน้าของเธอนั้นมากเกินพอสำหรับคำตอบ
ผมไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปเลยทำการยกศีรษะของโซเนียเข้ามาใกล้และจูบริมฝีปากของเธอ ในขณะที่ผมจูบเธออยู่ ผมก็เห็นว่าดวงตาของโซเนียเบิกนั้นกว้างด้วยความประหลาดใจ
ผมดึงเธอขึ้นมาบนตักโดยไม่ต้องคิดและจูบริมฝีปากเธออย่างบริสุทธิ์ใจซึ่งเต็มไปด้วยความรักและความเสน่หา หลังจากที่ผละตัวออกมาผมก็เห็นความเขินอายในดวงตาของเธอและได้รู้ว่าเธอไม่มีประสบการณ์ในการจูบเลย แต่ผมอยากจะแสดงให้เธอเห็นว่าการถูกคนที่รักเธอจูบนั้นรู้สึกอย่างไร ดังนั้นผมจึงโน้มตัวเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มการใช้ลิ้นเล็กน้อยเพื่อสำรวจปากของเธออย่างช้าๆ และอ่อนโยน ในขณะเดียวกันมือของโซเนียก็เข้ามาจับไหล่ของผมแน่นขณะที่เธอตอบรับจูบของผม
ผมรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายของเธอที่ถูกส่งมา ส่วนโค้งเว้าของเธอแนบชิดกับหน้าอกของผมพอดี และในขณะที่เราจูบกันต่อไป ผมก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำเธอและสอนวิธีจูบตอบ
หลังจากนั้นไม่นานเราก็ถอนจูบออกจากกันก่อนจะหอบหายใจแรง แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร โซเนียก็โน้มตัวกลับเข้ามา ริมฝีปากของเธอแยกออกอย่างกระตือรือร้นขณะที่เธอจูบผมอย่างดูดดื่ม โดยที่ในครั้งนี้นั้นไม่มีความลังเลและความเขินอาย มีเพียงแค่ความลุ่มหลงอันบริสุทธิ์และความปรารถนาเท่านั้น
ผมส่งเสียงคร่ำครวญเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงมือของเธอที่ขยับมาหาผมเพื่อดึงผมให้เข้าไปใกล้มากขึ้นในขณะที่เราจูบกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเราถอนจูบกันอีกครั้ง ผมก็มองเห็นความรักในดวงตาของเธอส่องมาที่ผมพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอ
เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงถามขึ้นมา
“โซเนีย เธอรักฉันรึเปล่า?”
เสียงของผมจริงจังเช่นเดียวกับแววตาในขณะที่ผมมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
โซเนียไม่ลังเลที่จะตอบ
“ฉันรักคุณ”
เมื่อพูดเช่นนั้นเสร็จ เธอก็หลับตาลงและวางมือบนหัวใจ หายใจลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ
“เวลาที่คุณให้ฉันนั้นมากเกินพอสำหรับฉันที่จะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อคุณ และฉันสามารถพูดได้อย่างมั่นใจอย่างแน่นอน…”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นและผมก็มองเห็นความรักอันมืดมิดและน่ากลัวที่กำลังเบ่งบานอยู่ภายในพวกมันได้
“ฉันรักคุณ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงหิวโหย
คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมยิ้มได้มากพอแล้ว
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีแดงที่หิวโหยเหล่านั้น ผมจึงดึงคอเสื้อลงและเผยให้เห็นคอของผมในขณะที่พูด
“มาสิ”
หลังจากที่ผมพูดจบ โซเนียก็กระโดดเข้าหาคอของผม เขี้ยวของเธอค่อยๆ แทงทะลุผิวหนังขณะที่เธอเริ่มดื่มเลือดของผม ภายในไม่กี่วินาทีเธอก็กินจนอิ่มก่อนจะถอนเขี้ยวของเธอออกมาจากคอผม
ดวงตาของโซเนียดูเหมือนคนเมาในขณะที่เธอพูด
“อร่อยจัง…”
หลังจากพูดจบเธอก็หลับตาลงและหมดสติไป
ผมรับร่างของเธอและทันใดนั้นเองฟาร์ร่าก็พูดขึ้นมา
‘นายท่าน เลือดของคุณกำลังเปลี่ยนเธอค่ะ’
คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมยิ้มก่อนจะพูดต่อ
‘พูดต่อเลย’
‘เลือดของคุณเหนือกว่าเลือดอื่นๆ มันเต็มไปด้วยการทำลายล้างและชีวิตค่ะ เธอกำลังถูกครอบงำร่างกาย, จิตใจและวิญญาณอยู่ค่ะ ความสามารถของเธอจะพัฒนาขึ้นเกินกว่าทุกคน เธอจะไม่มีความสงสัยในความรัก, คำสั่งและตัวตนของคุณเลยค่ะ’
เมื่อฟาร์ร่าพูดจบ ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรและทำเพียงมองดูโซเนียต่อไป ผมพอรู้อยู่ว่าจะ มีบางสิ่งเกิดขึ้น และการที่ฟาร์ร่าพูดขึ้นมานั้นก็เป็นเพียงการยืนยันสมมติฐานของผมเท่านั้น
‘วิธีนี้ใช้ได้กับทุกคนที่ดื่มเลือดของฉันหรือเปล่า?’
ผมถาม
‘ค่ะ ตราบใดที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งดื่มเลือดของคุณ นั่นคือปฏิกิริยาสุดท้าย’
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วันของผมสดใสขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนผมจะมีวิธีที่ง่ายกว่าในการดึงเจ้าหญิงแวมไพร์ตัวน้อยให้มาอยู่ในกำมือแล้ว
‘อ๊ะ ยังไงก็ตามนายท่าน ฉันขอแนะนำว่าอย่าเลือดออกใกล้กับผู้ใช้เลือดเหล่านี้นะคะ ในตอนที่เลือดอยู่ในร่างกาย มันก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่เมื่อพวกเธอสูดดมจากภายนอกเมื่อไหร่ พวกเธอจะกลายมาเป็นคนหื่นกระหายและบ้าคลั่งแทนค่ะ’
“…..”
‘…เห้อออ…ทำไมฉันถึงไม่แม้แต่แปลกใจด้วยซ้ำกันนะ?’
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต