ตอนที่ 218 น้องหญิงทำไม่ได้! (2)
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น ก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดลงบนแผ่นหลังของหลิงเอ๋อร์ทันที ตามด้วยลมพัดกระโชกแรงที่รบกวนจิตใจว้าวุ่นของนาง
ความสัมพันธ์ซ่อนเร้น…นางทำได้ทุกอย่างเพื่อเขา…
แน่นอนว่า ข้าก็ทำทุกอย่างเพื่อศิษย์พี่ได้เช่นกัน!
โอ ไยสวรรค์ถึงทำกับข้าเช่นนี้!?!
เป็นเพราะข้าผอมบางเกินไปและไม่บึกบึนพอใช่หรือไม่?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ศิษย์พี่ประสงค์จะได้รับความรู้สึกปลอดภัยจากสตรีอย่างอาจารย์อาสงเท่านั้น…
หลิงเอ๋อร์หันหลังกลับมาเงียบ ๆ และกลับไปที่กระท่อมมุงจาก จากนั้น นางก็หยิบเอ้อร์หูออกมา และถอนหายใจเบาๆ ด้วยท่าทางโศกเศร้า
นางนั่งอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางเงียบเหงาอ้างว้าง ขณะวางเอ้อร์หูเอาไว้บนตักและเริ่มบรรเลงเพลงเบาๆ …
ข้าจะเริ่มฝึกฝนร่างกายของข้าในวันพรุ่งนี้
แต่ข้าจะฝึกให้ถึงขั้นที่มีรูปร่างดูเหมือนอาจารย์อาสงได้อย่างไร?
แม้นางจะยังไม่ได้ลงมือกระทำการใดๆ แต่หลิงเอ๋อร์ก็รู้ดีอย่างแน่นอนว่า คราวนี้… นางทำไม่ได้จริงๆ
นางดีดเอ้อร์หู บรรเลงเสียงเพลงแสนเศร้าออกมาพร้อมกับมีเกล็ดหิมะพลิ้วปลิวสะบัดอยู่ในใจ
ขณะนั้น เสียงหัวเราะในห้องข้างๆ ทำให้นางนึกถึงประโยคหนึ่งว่า “พบคนใหม่ย่อมเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเสมอ? ผู้ใดไหนเลยจะได้ยินเสียงคนเก่าร่ำไห้กันเล่า? หรือพวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รับรู้?’
ในที่สุด ยอดเขาหยกน้อยก็มีด้านเย็นและอบอุ่น…
“ไยถึงบรรเลงเพลงเศร้าเพียงนี้? เจ้าไม่อยากให้ข้ากลับมาอีกหรือ?”
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากด้านนอกกระท่อมมุงจาก เมื่อหลี่ฉางโซ่วได้จัดการทุกอย่างให้สงหลิงลี่แล้ว เขาก็เดินกลับมาพร้อมกับเอามือไพล่หลังไว้
“ไม่นะ… ข้าจะเปลี่ยนเพลงเดี๋ยวนี้…”
หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะตอบก่อนจะหยิบซวินดินเผา[1]ออกมา จากนั้น ก็สูดลมหายใจเข้าเบาๆ แล้วบรรเลง… เพลงที่ให้เสียงโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วยิ้มโดยไม่เอ่ยวาจา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลมส่วนตัวของเขาในห้องของหลิงเอ๋อร์แล้วยกมือขึ้นเพื่อเปิดใช้ค่ายกลรอบ ๆ กระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์
หลี่ฉางโซ่วถาม “ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ในสำนัก เจ้ายังฝึกบำเพ็ญอย่างพากเพียรอยู่หรือไม่?”
“ข้ายังฝึกบำเพ็ญอย่างพากเพียรอยู่เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์สูดจมูกและกัดริมฝีปากของนางพลางฝืนยิ้มและกล่าวว่า “พี่ชาย…”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่ญาติผู้น้องของข้า นางมีสายเลือดเผ่าพ่อมดและถือเป็นลูกน้องของข้า ไม่ต้องถามเรื่องอื่นใดเพิ่มเติมอีก เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกให้เจ้ารู้อีกสักหน่อยเอง”
หลิงเอ๋อร์เอียงศีรษะและกะพริบตาในขณะที่นิ่งงันไปพร้อมด้วยรอยฉงนเล็กน้อยที่ฉายชัดออกมา…
ลูกน้อง?
นางส่งเสียงถามเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ ท่านแอบสร้างกองกำลังใหม่ลับหลังหรือไม่?”
“อย่าพูดไร้สาระน่า!”
หลี่ฉางโซ่วจ้องมองและตำหนินางอย่างไม่พอใจ
เขากำลังสร้างกองกำลังใหม่หรือ?
เห็นได้ชัดว่า เขาถูกบีบให้ตั้งกองกำลังของตัวเองและไร้ทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องเปลี่ยนสำนักเทพทะเลให้กลายเป็นกองกำลังฝ่ายของเขาเอง!
“หลิงลี่มีสายเลือดเผ่าพ่อมด และเกิดมาพร้อมกับพลังเวท นางชอบกินอาหารที่มีเลือดปน แต่นางก็ควบคุมตนเองได้ไม่เลว ข้าจะปล่อยให้นางจัดการกรงสัตว์วิญญาณ และจะเลี้ยงสัตว์วิญญาณให้เติบโตเร็วขึ้นในกรงสัตว์วิญญาณเพื่อไม่ให้นางต้องออกไปล่าสัตว์ ต่อไป เจ้าก็ค่อยสอนวิธีการปลูกพืชผลและผักให้นาง เช่นนี้แล้ว พวกเราก็จะสามารถลดการกินสัตว์วิญญาณได้ในภายหลัง”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเตือนว่า “นอกจากนี้ แม้เจ้าจะคุ้นเคยสนิทสนมกับหลิงลี่มากขึ้นแล้ว เจ้าต้องอยู่ให้ห่างจากนางและระมัดระวังตัวตลอดเวลา เพราะบางครั้ง หากนางมีความสุขมากๆ นางก็สามารถเจ้าตบแรงๆ ได้”
หลิงเอ๋อร์แอบตกใจและกล่าวว่า “น่ากลัวเพียงนั้นเลยหรือ?”
“จะน่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อนางใช้พลังเวทสายโลหิตของนาง” หลี่ฉางโซ่วจงใจทำให้หลิงเอ๋อร์ตกใจกลัวและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทว่าเมื่อเจริญวัยขึ้น นางก็จะปกป้องเจ้าและท่านอาจารย์ได้ ซึ่งแน่นอนว่า ยังต้องใช้เวลาอีกนาน”
ช้าก่อน!
หลิงเอ๋อร์กะพริบตา ฟังจากที่ศิษย์พี่กล่าว…
ข้าเข้าใจผิดไปอีกแล้วหรือ?
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า ” เจ้าคิดอย่างไรเมื่อเห็นข้าสร้างกระท่อมมุงจากให้นาง”
หลิงเอ๋อร์รีบกล่าวว่า “ไม่นะ ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย”
หลี่ฉางโซ่วหรี่ตาและหัวเราะลั่นพลางหยิบกระดาษวิญญาณแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วตัดมันเป็นร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ขนาดเล็กอย่างชำนาญก่อนจะเป่าตุ๊กตากระดาษแล้วโยนมันทิ้งไป จากนั้น ตุ๊กตากระดาษก็พลิกร่างตีลังกาขึ้นไปในอากาศแล้วร่อนตัวลงมา กลายเป็นเด็กน้อย อยู่ต่อหน้าหลิงเอ๋อร์
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เด็กน้อยยืนทำท่าหม่าปู้[2]และตะโกนร้องต่อไปว่า “ฮ่า! เฮ้! ฮ่า!” และยังคงปล่อยหมัดชกต่อยออกไปข้างหน้าทีละข้าง ด้วยมือเล็กๆ ของเขา
หลิงเอ๋อร์มองปากอ้าตาค้างอย่างชื่นชมในทันที…
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ศิษย์พี่ งานนี้น่าสนุกยิ่ง!”
สนุกหรือ?
นี่คือพลังเวทหลักที่ใช้ในการให้บริการแบบครบวงจรสำหรับการสังหารผู้คนจนถึงการฌาปนกิจศพให้เป็นเถ้าถ่าน!
“มาเถิด วันนี้ข้าจะสอนวิชาสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ในภายหน้า เจ้ายังสามารถ… สร้างวงดนตรีจากตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์หรืออะไรอื่นก็ได้”
เขาอยากบอกว่าเขาปรารถนาจะให้นางสามารถจัดการศัตรูได้มากขึ้น แต่ก็รู้สึกว่า หากหลิงเอ๋อร์ต้องเผชิญหน้ากับศัตรู พลังเวทเล็กน้อยนั้นก็จะไม่ช่วยอะไร
“สอนข้า… สอนข้าได้หรือไม่?” หลิงเอ๋อร์ถามอย่างตื่นเต้น “ไม่เช่นนั้น แล้วจะให้ข้าสอนผู้ใดได้อีกเล่า?” หลี่ฉางโซ่วยิ้มตาหยีขณะกล่าว “เจ้าคิดว่า ต่อไป ข้าจะรับศิษย์ หรือจะให้อาจารย์รับศิษย์น้องเพิ่มอีกเล่า?”
หลิงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเบิกบานใจ จากนั้นก็เดินพลางเอามือไพล่หลัง ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวจนมาถึงหน้าโต๊ะ
“ศิษย์พี่ ท่านพูดเองนะ ข้าอยากเป็นศิษย์น้องหญิงน้อยเพียงคนเดียวของท่านเท่านั้น!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มโดยไม่เอ่ยวาจาขณะกวักมือเรียกให้นางก้าวไปข้างหน้า…
เขาหยิบกระดาษสำรองออกมาแล้วอธิบายหลักการพื้นฐานของพลังเวทนี้ก่อนจะถ่ายทอดสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ พลังเวท และวิธีการฝึกฝนขั้นพื้นฐานสำหรับการทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
แน่นอนว่า วิธีการเลือกและรวบรวมยางไม้ของต้นไม้วิญญาณก็เป็นกระบวนการที่สำคัญเช่นกัน
ในขณะนั้น ก็มีแสงแดดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาภายในบ้าน…
นักพรตเต๋าหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กลม กำลังพร่ำสอนไม่หยุดเพื่ออธิบายวิธีการอัศจรรย์ของพลังเวทนี้อย่างใจเย็น
สตรีสาวงดงามในชุดกระโปรงพลิ้วสีฟ้า นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงกลมที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ
นางเอนกายไปทางด้านข้างและพยุงร่างด้วยลำแขนราวหยกข้างหนึ่งพลางเท้าคางด้วยมือขวา บางครั้งนางก็ตั้งใจฟัง ทว่าบางคราว นางก็เหม่อลอยฟุ้งซ่านด้วยอดจะมองดูใบหน้าศิษย์พี่ของนางใกล้ๆ มิได้…
แต่ศิษย์พี่ของนางก็สัมผัสถึงกิริยาของนางได้เสมอ จึงยกมือขึ้นตบหน้าผากของนาง
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “จงฟังให้ดี หากเจ้าไม่อาจเรียนรู้มันได้ภายในสามวัน ข้าจะลงโทษเจ้าให้คัดลอก ‘พระสูตรมั่นคง’ และ ‘พระสูตรตรัสรู้ไท่ช่าง’ พันจบ!”
หลิงเอ๋อร์ตัวสั่นทันทีและรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเพื่อตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
หากเป็นเพียงถ้อยคำของพระสูตรมั่นคงนั้นก็หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ แต่ ‘พระสูตรตรัสรู้ไท่ซ่าง’ นั้น เป็นพระสูตรของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่แท้จริงซึ่งมีถ้อยคำมากกว่าหมื่นคำ…
ในเวลาเดียวกันนั้น… บนเกาะเต่าทอง สถานที่บำเพ็ญเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยที่เป็นจุดบรรจบกันระหว่างทะเลทักษิณและทะเลบูรพา อ๋าวอี่ซึ่งกำลังเตรียมงานอภิเษกครั้งใหญ่ได้พาคู่หมั้นของเขา รีบกลับไปที่เกาะ โดยมีปรมาจารย์มังกรคอยอารักขา
เขาไม่มีทางเลือก ท่านอาจารย์เซียนใหญ่อู้หยุนเรียกเขามา แล้วเขาจะกล้าล่าช้ากว่านี้ได้อย่างไรเล่า?
ทว่าสิ่งที่อ๋าวอี่ไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเขากลับมาที่เกาะเต่าทอง เขาก็ถูกแสงสีทองห่อหุ้มเอาไว้ และก่อนที่เขาจะทันตอบสนองได้ อ๋าวอี่ก็ถูกแสงสีทองพัดพาไปไว้ในเคหาสน์ถ้ำที่ซ่อนอยู่ทันที
โชคดีที่เขารู้ว่านั่นคือ เคหาสน์ถ้ำของท่านอาจารย์ของเขา…
ก่อนที่จะมองเห็นร่างทั้งสองนั่งที่อยู่ข้างหน้าเขาได้อย่างชัดเจน อ๋าวอี่ก็ได้ยินอาจารย์ถามเขาอย่างอบอุ่นว่า “ศิษย์ข้า ข้าจำได้ว่า เจ้าเป็นรองเจ้าสำนักของสำนักเทพทะเลทักษิณใช่หรือไม่?”
…………………………………………………………………..
[1] เป็นเครื่องดนตรีโบราณประเภทเป่าชนิดหนึ่ง ซวินดินเผาพัฒนามาจากรูเดียว เป็นถึงห้าหรือหกรู ในสมัยราชวงศ์ซาง เริ่มทำจากวัสดุอื่นเช่นกระดูกและหิน ในสมัยจ้านกั๋ว นิยมเล่นซวินในวัง ในสมัยฉินและฮั่น มีการพัฒนาซวินให้เกิดหลายเสียงมากกว่าเดิม และเริ่มเกิดเป็นซวินหกรู เป็นที่ชื่นชอบในวัง
[2] ท่าย่อเข่าลงแล้วกำมือไว้ข้างลำตัว แล้วปล่อยหมัดทีละข้าง เป็นท่าการฝึกร่างกายขั้นแรก