บทที่ 359 ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจนน่าใจหาย

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 359 ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจนน่าใจหาย
บทที่ 359 ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจนน่าใจหาย

“บรรลัยแล้ว มันเกิดขึ้นจริงเหรอ?”

ซูอันรีบหันกลับไปมอง และต้องพบกับภาพที่ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้า

เฉียวเสวี่ยอิงกระโดดจากแม่น้ำขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยไม่มีอะไรปกปิดร่างกายของนางอีกต่อไป เขาเห็นผิวที่ขาวกระจ่างใสของนางและช่วงเอวที่งดงาม ผิวของหญิงสาวเต็มไปด้วยหยดน้ำที่ส่องประกายภายใต้แสงแดดจ้า ทำให้ผิวของนางเปล่งประกายระยิบระยับจนดูเหมือนเทพธิดา

แต่ในขณะเดียวกันนี้เองที่งูสีแดงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและอ้าปากค้างเพื่อที่จะกลืนกินเฉียวเสวี่ยอิง

ซูอันพูดไม่ออก…นี่ข้าเป็นหมอดูหรืออะไรสักอย่างหรือเปล่า?

เขาชักกระบี่ไท่เอ๋อร์ออกมาอย่างรวดเร็ว และรีบเข้าไปช่วยนางอย่างไม่ลังเล

เฉียวเสวี่ยอิงบิดร่างกายของนางกลางอากาศหลบการโจมตีที่อาจถึงตายได้ไปด้านข้างอย่างแรง จากนั้นนางก็สะบัดนิ้วและส่งเข็มสองเล่มตรงไปที่ดวงตาของงู

งูส่งเสียงฟ่อดังลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะพ่นหมอกสีชมพูออกจากปาก

เฉียวเสวี่ยอิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่แรก และการหลบเลี่ยงก่อนหน้านี้ได้ใช้กำลังของนางไปทั้งหมด นางต้องการหลบหมอกพิษสีชมพู แต่ร่างกายของนางไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างราบรื่นตามที่ต้องการ จึงส่งผลให้ถูกหมอกพิษเข้าไปเต็ม ๆ

นางพยายามกลั้นหายใจ แต่ก็ช่วยได้ไม่มาก อาการเวียนศีรษะโลกหมุนตามมาอย่างรวดเร็วขณะที่นางสูญเสียการควบคุมร่างกายและค่อย ๆ ร่วงหล่นลงไปที่พื้น

“แย่แล้ว!”

มีโขดหินมากมายตามแม่น้ำ แม้ว่านางจะไม่ถูกแทงด้วยคมหินจนตาย แต่ก็อาจจะต้องเสียโฉม น่าเสียดายที่หมอกสีชมพูได้ผนึกพลังชี่ของนางไว้ นางทำได้เพียงมองอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เมื่อนางเข้าใกล้พื้นชายฝั่งแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหินขรุขระมากมาย

แต่แล้ว ชั่วพริบตาถัดมาจู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นและปลอดภัย พร้อมกันนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้าง ๆ หู “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัวและพูดว่า “ระวัง นั่นคืองูเหลือมเกล็ดแดง สัตว์อสูรระดับสี่ ความสามารถในการต่อสู้ของมันไม่มีค่าควรแก่การจดจำ แต่พิษของมันรุนแรงมากทำให้รับมือได้ยาก!”

ซูอันพยักหน้าตอบ งูเหลือมไม่ควรเป็นงูที่มีพิษไม่ใช่เหรอ? เฮ้อ…ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้จริง ๆ ในโลกแห่งการบ่มเพาะนี่

เฉียวเสวี่ยอิงอดไม่ได้ที่จะกังวล ซูอันอาจแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะระดับสามทั่วไป แต่การจะต่อสู้กับงูเหลือมเกล็ดแดงก็ยังเสี่ยงอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสที่ยังฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ นางคงสามารถจัดการกับสัตว์ร้ายระดับสี่ตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม หลังจากซูอันวางร่างของนางลงที่ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำพอสมควร นางก็พยายามยันตัวให้ยืนขึ้นเพื่อที่จะช่วยสู้ แต่อาการชาไปทั้งร่างทำให้หญิงสาวไม่สามารถรวบรวมกำลังได้เลย นางรู้ดีว่านี่เป็นผลจากพิษของงูเหลือมเกล็ดแดง มันทำให้นางหงุดหงิดอย่างเหลือเชื่อ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงทำได้ดีที่สุดคือการสวดอ้อนวอนเพื่อซูอัน

ในเวลานี้ งูเหลือมกำลังฟาดหางอย่างเดือดดาลอยู่ในน้ำ มันโกรธเคืองเพราะสูญเสียการมองเห็น ซูอันใช้โอกาสนี้เสียบกระบี่ไท่เอ๋อร์ไปที่หัวใจของงูเหลือม ไม่มีทางที่งูเหลือมจะอยู่รอดได้ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการ

อย่างไรก็ตาม งูเหลือมเกล็ดแดงได้พลิกร่างหลบ ซูอันตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น ในนาทีฉุกเฉินเขาจึงหันไปพึ่งวิชาร่างก้าวทานตะวันโดยไม่รู้ตัว แต่ร่างกายของเขาได้รับพลังงานหยางกลับคืนมาแล้วทำให้เกิดการปะทะกันของพลังชี่ จนร่างกายของเขาหยุดชะงักทันที

ในช่วงเวลานี้เองที่งูเหลือมฟาดหางของมัน แม้จะไม่มีตา มันก็ยังสามารถรับรู้สภาพแวดล้อมผ่านการสั่นสะเทือนบนพื้น

ซูอันรีบยกกระบี่ขึ้นมาป้องกันการโจมตีของงูเหลือมเกล็ดแดง แต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของสัตว์อสูร ร่างของเขาจึงลอยละลิ่วกระเด็นไปไกลหกจั้งเศษ

“อาซู เจ้าเป็นอะไรไหม?” เฉียวเสวี่ยอิงที่เป็นกังวลรีบวิ่งมาดูอาการของเขาด้วยความเป็นห่วง เป็นที่ทราบกันดีว่าสัตว์อสูรมีพละกำลังมากกว่าผู้บ่มเพาะอย่างมนุษย์ ขนาดผู้บ่มเพาะระดับสี่ยังรับมือกับการโจมตีเมื่อครู่ได้ลำบาก นับประสาอะไรกับซูอันที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับสาม?

แต่ไม่น่าเชื่อที่ซูอันไม่ได้รับบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บใด ๆ เลย เขาลุกขึ้นจากพื้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ไม่ใช่แค่เฉียวเสวี่ยอิงที่แปลกใจ แม้แต่ซูอันก็งงงวยเช่นกัน ชายหนุ่มรู้ดีว่าปกติตัวเองไม่สามารถทนการโจมตีเมื่อครู่ได้ แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขานั้นมากกว่าเมื่อก่อนจนน่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาโคจรพลังตรวจสอบสภาพภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว และพบว่าอักขระที่เจ็ดและอักขระที่แปดได้รับการเติมเต็มเรียบร้อยแล้ว

อักขระตัวที่เจ็ดจะต้องใช้ผลไม้พลังชี่ 987 ผลและอักขระตัวที่แปดจะต้องใช้ผลไม้พลังชี่ 1597 ผล หากหวังพึ่งการสุ่มรางวัลคงจะต้องรอไปอีกนาน

ทำไมมันเต็มเร็วขนาดนี้?

ซูอันนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้อย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าตัวเองถูกหมี่ลี่โจมตีจนเกือบตายเพื่อช่วยเฉียวเสวี่ยอิง หลายครั้ง ซึ่งหากไม่มีผลของเส้นใยสุขสันต์ ชายหนุ่มคงตายไปแล้วเป็นสิบ ๆ รอบ

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในตอนนั้นเขาฟื้นขึ้นมาจากกองเลือดของตัวเองกี่รอบ ด้วยวงจรที่ซ้ำไปซ้ำมากับการบาดเจ็บสาหัสล้มลงและยันตัวลุกขึ้นใหม่ วิชาวัฏจักรหงส์อมตะจึงยกระดับการบ่มเพาะของเขาอย่างมหาศาล

หมี่ลี่…ท่านมันคือยัยจอมโหด!

แค่คิดถึงมันก็ทำให้ซูอันรู้สึกสยองอย่างสุดซึ้ง โชคดีที่เขามีเส้นใยสุขสันต์ เพื่อรักษาพลังชีวิตของตัวเองไว้ อย่างไรก็ตาม มันเป็นการใช้ครั้งสุดท้ายแล้ว ซึ่งหมายความว่าในอนาคตเขาจะไม่เหลือไพ่ตายนี้อีก

ตอนนี้เองที่งูเหลือมเกล็ดแดงพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง คราวนี้ซูอันไม่ได้ใช้ วิชาร่างก้าวทานตะวัน แต่เลือกที่จะหลบด้วยตนเอง

แต่แล้วเมื่อซูอันหลบด้วยตัวเอง เขาก็ต้องประหลาดใจอีกรอบ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขานั้นเร็วมากจนตัวเขาเองยังตกใจ ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้น แต่ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้เกินจริงมากเกินไป จะบอกว่าแทบจะเทียบได้กับผู้บ่มเพาะระดับห้าเลยก็ว่าได้…

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

“เจ้าโง่! วิชาปฐมบทแรกเริ่มปรับแต่งร่างกายของเจ้าจนเหนือกว่าคนธรรมดา เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือไง? ความสามารถทางกายภาพของเจ้าได้รับการปรับปรุงอย่างมากหลังจากได้เรียนรู้มัน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าได้บ่มเพาะวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ วิชาลับทั้งสองช่วยเสริมซึ่งกันและกัน เพิ่มความเร็วของเจ้าให้เหนือกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในระดับเดียวกับเจ้า ตอนนี้เจ้าน่าจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับผู้บ่มเพาะระดับที่สี่ขั้นปลาย หรือบางทีเจ้าก็น่าจะสู้กับพวกผู้บ่มเพาะระดับห้าที่ค่อนข้างอ่อนแอได้”

หมี่ลี่เอ่ยขึ้นแทรกในระหว่างที่ซูอันกำลังงุนงง

“ท่านตื่นแล้วเหรอ?” ซูอันทั้งประหลาดใจระคนยินดี

ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของหมี่ลี่ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่การวิเคราะห์ของนางจะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ

ก่อนหน้านี้ เขาต้องเข้าสู่สภาวะบาดเจ็บสาหัสเพื่อเปิดใช้งานรูปแบบบ้าคลั่งของวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ เพื่อให้ได้ซึ่งความแข็งแกร่งและความเร็วเหมือนตอนนี้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสเพื่อที่จะต่อกรกับผู้บ่มเพาะระดับสี่หรือห้าอีกต่อไปแล้ว…

“ฮึ่ม! ข้าจะยังหลับอยู่ได้ยังไงเมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตรายแบบนี้? ข้าไม่ได้อยากจะตายเหมือนสุนัขข้างถนนร่วมกับเจ้า! ข้านึกว่าเจ้ากำลังเจอสัตว์ประหลาดอายุนับพันปี แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่าเป็นเพียงงูง่อย ๆ เจ้านี่มันช่างน่าสมเพชจริง ๆ” หมี่ลี่เยาะเย้ยอย่างดูถูก

“งูง่อย ๆ?” ซูอัน มองไปที่งูเหลือมซึ่งมีเส้นรอบวงหนากว่าถังข้าวและเขาก็พูดไม่ออก แต่สัตว์อสูรระดับสี่คงไม่ต่างจากมดในสายตาของหมี่ลี่

ทันใดนั้นเองที่งูเหลือมเกล็ดแดงก็พุ่งมาหาเขาอีกครั้ง เมื่อถึงจุดนี้ ซูอัน เริ่มคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งและความเร็วใหม่ของเขาแล้ว ชายหนุ่มมองหาช่องโหว่ก่อนที่จะใช้แท่งพิษแทงเข้าไปที่ลำตัวของงูเหลือม

อักขระสีดำก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วรอบ ๆ รอยแผลที่เขาทิ้งไว้บนลำตัวงู และจากนั้นงูเหลือมก็สั่นอย่างรุนแรงก่อนที่จะนอนแผ่นิ่งไม่ไหวติง แน่นอนว่ามันตายแล้ว!

“มีดของเจ้าเป็นของดี” หมี่ลี่กล่าว “เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ข้าคงต้องดูมันอย่างละเอียดสักหน่อยแล้ว แต่ตอนนี้ข้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า และอีกอย่าง อย่ารบกวนการนอนของข้าด้วยเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้อีก!”

จากนั้นเสียงของหมี่ลี่ก็จางหายไปในไม่ช้า

ผู้หญิงคนนี้เดี๋ยวมาเดี๋ยวไปเหมือนผี ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่านางแกล้งทำเป็นจำศีลอยู่หรือเปล่า?

อย่างไรก็ตาม ซูอันไม่มีอารมณ์ที่จะคิดเรื่องนี้ให้ยาวนัก เขารีบวิ่งไปหา เฉียวเสวี่ยอิงเพื่อตรวจสอบอาการของนาง

เฉียวเสวี่ยอิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขาได้ฆ่างูเหลือมเกล็ดแดงไปแล้ว จากนั้นความตึงเครียดจึงได้หายไปจากร่างกายของนาง ในที่สุดนางก็ยอมจำนนต่อความอ่อนแรงและเริ่มล้มลงกับพื้น โชคดีที่ซูอันจับนางไว้ได้ทันเวลา

“เสื้อผ้า… ช่วยข้าสวม…” เป็นไปได้ว่าความเขินอายทำให้ผิวที่ขาวสะอาดของเฉียวเสวี่ยอิงถูกย้อมเป็นสีแดง ราวกับว่ามีคนทาสีของกุหลาบบนร่างกายของนาง