บทที่ 365 ข่าวลือในตลอดไม่แน่ว่าจะต้องเป็นความจริง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 365 ข่าวลือในตลอดไม่แน่ว่าจะต้องเป็นความจริง

“ใช่น่ะสิ! เดือนก่อน ข้าเห็นองค์ชายสี่บังคับขืนใจหญิงชาวบ้านล่ะ!

พูดไปก็น่าสงสาร แม่นางผู้นั้นไม่ยินยอม เขาก็ใช้อำนาจบีบบังคับลากแม่นางผู้นั้นเข้าไปในป่า ยังจะไม่ยอมรับหลังจากเกิดเรื่อง”

“ใช่ใช่ใช่ เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาแล้ว ได้ยินว่าพ่อแม่ทั้งสองของบ้านแม่นางโดนองค์ชายสี่ทุบตีไม่พอ ยังทำร้ายจนแม่นางผู้นั้นต้องแขวนคอฆ่าตัวตายอีก

คนชราสองคนนั้นหาที่จะโต้แย้งไม่ได้ จึงคิดมาฟ้องร้องที่เมืองหลวง กลับคิดไม่ถึง เมื่อสิบวันก่อน พวกเขาโดนทำโทษจนตายในที่สาธารณะอย่างไร้เหตุผลแล้ว”

“คิดๆแล้วก็น่ากลัวจริงๆ ดูเหมือนว่าผู้หญิงงามเหล่านั้นที่ลานหลังตำหนักองค์ชายสี่ มีครึ่งหนึ่งเป็นล้วนเป็นผู้ที่แย่งมา

มีคนยังเห็นว่า ประตูหลังตำหนักองค์ชายสี่ จะเห็นองครักษ์หามศพออกมาอยู่เสมอ โยนเข้าไปที่สุสานที่ไม่มีคนดูแลล่ะ!”

บรรดาผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

ทั้งหมดที่วิพากษ์วิจารณ์ล้วนเป็นเรื่ององค์ชายสี่บังคับขืนใจหญิงชาวบ้านและทำร้ายทารุณราษฎร ยังมีพูดถึงขนาดว่า แม้แต่สนมของฮ่องเต้องค์ชายสี่ก็ยังไม่เว้น

พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ปกติเหล่าราษฎรล้วนก็โมโหแต่ก็ไม่กล้าปริปากเอ่ย

ได้ยินดังนั้น!

หลานเยาเยาก็ทำได้เพียงยิ้มๆเท่านั้น

ช่วยอะไรไม่ได้ คำวิพากษ์วิจารณ์เมื่อครู่นั้นของประชาชนดูเหมือนจะไม่อยากให้นางไปตำหนักองค์ชายสี่จริงๆ จึงขวางทางถนนมาตลอด ไม่ให้รถม้าของนางผ่านไป

ดังนั้น รถม้าสีแดงของหลานเยาเยาที่อยู่ในฝูงชนดำเนินไปได้อย่างลำบาก

คนขับรถม้ารู้สึกร้อนใจขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“เทพธิดา เช่นนี้จะทำยังไงดีขอรับ? เป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าฟ้ามืดก็ยังไม่ถึงตำหนักองค์ชายสี่ขอรับ”

“ไม่เป็นไร!”

เสียงเบาๆดังออกมาจากรถม้า ราวกับว่าไม่รีบร้อนแม้สักนิด

ในเวลานี้

จากในฝูงชนก็มีคนที่แต่งตัวเหมือนองครักษ์ผู้หนึ่งเบียดออกมา เขามาถึงข้างรถม้า ยกมือทำความเคารพต่อรถม้ากล่าวว่า

“เทพธิดา ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของจวนแม่ทัพ รถม้าของคุณหนูสามบ้านข้าน้อยก็อยู่ด้านหน้า เส้นทางตรงนั้นไม่ติดขัดพอดี

ดังนั้น คุณหนูสามให้ข้าน้อยบุ่มบ่ามมานี่เพื่อเชิญเทพธิดาไปตำหนักองค์ชายสี่พร้อมกัน ไม่ทราบว่าเทพธิดาจะให้เกียรติหรือไม่ขอรับ?”

ตอนนี้ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?

เกียรติก็ต้องให้แน่นอน

ด้วยเหตุนี้!

หลานเยาเยาค่อยๆแหวกม่านรถม้าออก พยักหน้ากับองครักษ์ผู้นั้น จากนั้นก็พูดกับคนขับรถม้า

“อีกเดี๋ยวเจ้ากลับตำหนักได้เลย ไม่ต้องมารับข้าแล้ว”

“ขอรับ!”

หลานเยาเยายกม่านผืนใหญ่ออก เดินออกมา มองดูรถม้าหลังหนึ่งที่อยู่ที่ไกลๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

จากนั้น ปลายเท้าจรดพื้นเบาๆ เหาะไปจากรถม้าอย่างรวดเร็ว

เหาะผ่านช่วงถนนที่แออัด ก็เหาะมาถึงบนรถม้าของหลานจิ่นเอ๋อ

เสียงที่นางเหาะลงมาที่รถม้าเบามาก เบาจนถึงเวลาที่นางยืนอย่างมั่งคงบนรถม้าแล้ว คนขับรถม้าของหลานจิ่นเอ๋อถึงได้รู้ถึงความคงอยู่ของนาง

“เจ้า…….คารวะเทพธิดา”

คนขับรถม้าผู้นั้นทีแรกยังคิดจะต่อว่าคนที่มา หลังจากที่เห็นว่าเป็นเทพธิดาก็ยกมือคารวะ และองครักษ์ผู้นั้นที่ไปเชิญเทพธิดาก็เพิ่งจากมุดออกมาจากฝูงชน

เมื่อเห็นเทพธิดาอยู่ที่รถม้าแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้!

ด้านในรถม้าของหลานจิ่นเอ๋อมีความเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าเป็นเสียงคุกเข่า จากนั้นก็เป็นน้ำเสียงที่หวานไพเราะดังออกมา

“หลานจิ่นเอ๋อทำความเคารพ เชิญเทพธิดารีบเข้ามาเจ้าค่ะ”

“อืม!”

หลานเยาเยาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แหวกม่านผืนใหญ่แล้วเดินเข้าไป

หลานจิ่นเอ๋อคุกเข่าอยู่จริงๆ หลังจากให้นางลุกขึ้น รถม้าก็เริ่มดำเนินช้าๆ

ความเร็วของรถมาช้ามาก แม้ว่าจะไม่ถึงกับช้าจนคนเดินถนนสามารถเดินแซงรถม้าได้ แต่ก็เร็วว่าคนเดินถนนนิดเดียวเท่านั้น

ในรถม้ามีกลิ่นหอม

ราวกับว่าเพียงแค่เป็นรถม้าที่คุณหนูเหล่านั้นใช้โดยเฉพาะ ในรถม้าก็ล้วนมีกลิ่นหอม และแตกต่างออกไปตามความชอบของแต่ละคน กลิ่นหอมในรถม้าก็ไม่เหมือนกัน

แต่ว่า!

ในรถม้าของหลานจิ่นเอ๋อกลิ่นหอมแต่ไม่หอมฉุย ความเข้มข้นกำลังพอดี

ตัวของหลานจิ่นเอ๋อเองนี้ก็เหมือนกัน การแต่งหน้าบนใบหน้างดงามและสุภาพ เป็นแบบบริสุทธิ์สดใสเหมือนไร้การตกแต่งประเภทนั้น

เพียงแต่……

หน้าตาเช่นนี้นั้น จะทำให้คนคิดเชื่อมโยมยังไง นางจะซับซ้อน เกี่ยวข้องกับคำที่มีความหมายถึงอันตรายต่างๆได้ล่ะ?

“เทพธิดากำลังมองอะไรเจ้าคะ? บนหน้าของหม่อมฉันมีสิ่งสกปรกอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

หลานจิ่นเอ๋อลูบที่ใบหน้าของตัวเองด้วยความอายนิดหน่อย

“สิ่งสกปรกน่ะไม่มี แต่ข้ากลับมองเห็นความลุกลี้ลุกลนในดวงตาเจ้า ทำไมหรือ? เห็นข้าแล้วตื่นเต้นหรือ?”

หลานเยาเยามองไปรอบๆนางด้วยความสนใจ มุมปากมีรอยยิ้มที่เป็นแบบสัญลักษณ์ของเทพธิดาแขวนไว้

“ไม่ ไม่มีเจ้าค่ะ”

หลานจิ่นเอ๋อประหม่านิดหน่อย แต่ซ่อนสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว

“เช่นนั้นน่าจะไม่เชื่อมั่นในวิชาการรักษาของข้า เพราะเป็นกังวลกับอาการป่วยขององค์ชายสี่สินะ!”

“วิชาการรักษาของเทพธิดาสามารถช่วยคนตายให้ฟื้นได้ หม่อมฉันมีอะไรให้ต้องกังวลเจ้าคะ”

จากนั้นนางเปลี่ยนการสนทนา กล่าวอย่างเป็นห่วง :

“เมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ไร้ศีลธรรมที่ผ่านมาขององค์ชายสี่ ในใจเกิดความกลัวมาก

หากว่าหลังจากที่เขาฟื้นมา ก็บังคับขู่เข็ญหญิงชาวบ้านอีก ทำร้ายประชาชน เช่นนี้จะไม่ขัดกับความตั้งใจเดิมของเทพธิดาที่ให้ความสุขสวัสดิ์แก่ประชาชนหรือเจ้าคะ?”

พูดเหมือนกับความคิดแทนนางอย่างที่สุด

แต่หลานเยาเยากลับรู้ว่า หลานจิ่นเอ๋อเพียงแค่คิดอย่างจะหยุดยั้งการไปช่วยองค์ชายสี่ของนางเท่านั้น

หึ!

จะทำให้นางสมปรารถนาได้เช่นไร?

“คำลือในตลาดก็ล้วนเป็นข่าวที่ไม่มีมูลซะส่วนใหญ่ แม้ว่าจะจริง ก็เป็นหลังจากโดนผู้คนปากต่อปากแต่งเติมจากความจริงมานับไม่ถ้วน ถึงจะส่งต่อมาถึงหูของพวกเรา

เรื่องราวความเป็นจริงยังต้องรอให้พิจารณา หาว่าองค์ชายสี่เป็นพวกนั้นที่กดขี่ข่มเหงราษฎร เช่นนั้นก็ต้องใช้หลักฐานความจริงถึงจะสามารถมัดตัวเขาส่งเข้าดำเนินตามกฎหมายได้

หากว่าข้าเพื่อเรื่องส่วนตัวแล้ว ละทิ้งการรักษาช่วยคน ท้ายที่สุดปกปิดเรื่องจริงบางอย่าง เช่นนั้นก็จะได้ไม่คุ้มเสีย”

พูดจาระมัดระวังรอบคอบ ก็ทำให้โต้แย้งไม่ได้

เมื่อพูดจบ หลานเยาเยาก็มองเห็นว่าในดวงตาของหลานจิ่นเอ๋อมีแววความเศร้าโศกฉาบผ่านไป

แต่หลานจิ่นเอ๋อก็ผลิยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว พยักหน้าที่ได้รับการสั่งสอนอย่างมาก

“เทพธิดากล่าวได้ถูกต้องเป็นที่สุด กลับเป็นหม่อมฉันที่ฟังคำร่ำลือ เพียงแต่คิดไม่ถึง เทพธิดาเพื่อองค์ชายรัชทายาทแล้วยินยอมที่จะลดตัวลงมาทำการรักษาให้องค์ชายสี่

เฮ้อ! หากอ๋องเย่รู้ว่าเทพธิดาเอาใจใส่องค์ชายรัชทายาทขนาดนี้ ในใจจะต้องเป็นทุกข์มากแน่ๆเจ้าค่ะ!”

แผนหนึ่งไม่สำเร็จก็มาอีกแผนหนึ่งแล้ว

หลายจิ่นเอ๋อยังคงมีความมานะไม่ท้อจริงเลย!

“ข้าไม่เคยปฏิบัติหน้าเพื่อคนอื่นมาก่อน เพียงแค่เพื่อตัวเอง ช่วยองค์ชายสี่เกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายรัชทายาทและอ๋องเย่?”

นางเข้ามาร่วมอยู่ในคดีการตายของฉินหลิงเจียว และไม่ใช่เพราะคำพูดของฮ่องเต้ที่ให้นางช่วยเหลือ และก็ไม่ใช่เพราะเย่หลีเฉิน

แต่เป็นเพราะเป้าหมายในระยะเวลาอันใกล้ของตัวเอง—โค่นล้มหลานเฉินมู๋

สำหรับคำพูดของนาง

เห็นได้ชัดว่าหลานจิ่นเอ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ดึงสติกลับมาได้ก็รีบกล่าวว่า :

“แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ล้วนมองออก อ๋องเย่เข้าไปอยู่ที่ตำหนักเทพธิดาอย่างกระจ่างแจ้งก็เพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับรถม้า อย่างลับๆก็เพราะโดนเทพธิดาดึงดูด ถึงได้เป็นเช่นนี้

และตอนนี้ เทพธิดาและองค์ชายรัชทายาททำงานด้วยกันอย่างสนิทสนม เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนจินตนาการ อ๋องเย่ก็ต้องคิดว่าคนที่เทพธิดามีใจให้เป็นองค์ชายรัชทายาทแน่นอนเจ้าค่ะ!”

หลานจิ่นเอ๋อไม่เต็มใจที่จะพูดเช่นนี้

นางยอมที่จะเชื่อว่าอ๋องเย่เข้าไปอยู่ที่ตำหนักเทพธิดาเพื่อจะตรวจสอบเทพธิดา ก็ไม่ยอมเชื่อว่า อ๋องเย่คิดอะไรกับเทพธิดา

แต่ว่า!

เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง นางจะไม่พูดเช่นนี้ไม่ได้

ดวงตาที่พราวเสน่ห์ของหลานเยาเยาหรี่ลงเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:

“ดังนั้น เจ้าก็คิดอยากจะเตือนข้าว่าอย่าเปลี่ยนแปลงโลเลไปมาใช่หรือไม่?”

เมื่อคำพูดนี้ออกไป!

“สีหน้าของหลานจิ่นเอ๋อก็ซีดเผือด รีบคุกเข่าลงตรงนั้น สีหน้าร้อนรนกระวนกระวายขึ้นมาในพริบตา

“เทพธิดาโปรดระงับความโกรธ หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

“ช่างเถอะ รถม้าของเจ้าช้าเกินไป ข้าจะขี่ม้าไปตำหนักองค์ชายสี่ละกัน!”

“ขี่ม้า?”

หลานจิ่นเอ๋อตกใจ!