เสียนเฟยแทบคลั่ง
นางได้ยินอะไรกัน คาดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะรู้สึกว่าเด็กสาวแซ่เจียงนั่นไม่เลว!
เอาเด็กสาวที่เกิดในตระกูลฐานะธรรมดา แถมยังเคยผ่านการยกเลิกงานหมั้นมาอยู่ในตำแหน่งพระชายาอ๋อง คาดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะรู้สึกว่านางเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ตัวซวย เด็กสาวแซ่เจียงจะต้องเป็นตัวซวยแน่นอน!
เสียนเฟยชำเลืองมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย
ข่าวลือที่ฮ่องเต้จะนำตัวซูซื่อเข้ามาในวังปีนั้น แสดงว่าเป็นความจริง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดพระขนงอีกรอบ
สายตาคู่นั้นของเสียนเฟยหมายความว่าอย่างไร หรือนางกำลังคิดว่าเขาถูกความสวยเข้าครอบงำสมอง
เขาเป็นคนเช่นนั้นหรือ เขาเพียงแค่ใจกว้างกับลูกชายที่ถูกความงามครอบงำเท่านั้นเอง
ใครบ้างที่ไม่เคยเป็นเด็ก…
“ฝ่าบาทอาจจะยังไม่ทราบ คุณหนูเจียงจากจวนตงผิงปั๋วนี้เคยผ่านการหมั้นกับคุณชายแห่งจวนอันกง และได้ถอนหมั้นกันเมื่อต้นปีที่แล้ว…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ “อืม เรื่องนี้ข้ารู้ ก็ไม่ใช่เพราะหลานชายเจ้าก่อเรื่องจึงทำให้คุณหนูเจียงต้องถอนหมั้นหรอกหรือ”
เสียนเฟยเอ่ยขึ้นเสียงเนิบพร้อมกับเม้มปาก “แม้เจ้าเจ็ดจะโตที่นอกวัง แต่อย่างไรก็เป็นองค์ชาย แล้วจะไปขอสตรีที่เคยถอนหมั้นมาเป็นพราะชายาอ๋องได้อย่างไรกันเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่แยแส “การที่เคยถอนหมั้นนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ฮองเฮาของบรรพบุรุษยังเคยแต่งงานมาแล้วเลย แถมยังมีลูกกับสามีเก่าอีกตั้งสองคน ต่อมาก็เป็นเพราะฮ่องเต้กับฮองเฮาจับมือกันสร้างความรุ่งเรืองจนกลายเป็นเรื่องดีงามที่เล่าขานกันมาไม่ใช่หรือ”
บรรพบุรุษที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถึงก็คือจักรพรรดิเฟิงเต๋อ จักรพรรดิที่สามของราชวงศ์
ตอนที่จักรพรรดิเฟิงเต๋อยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ เกิดถูกใจสาวรับใช้คนหนึ่งที่ถูกขายเข้ามาในจวน จึงเก็บมาเป็นสนมคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย
ทว่าเดิมสาวรับใช้คนนี้เคยแต่งงานมาแล้ว ครอบครัวนี้ลี้ภัยเข้ามาในเมืองหลวง แต่ว่าใช้ชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ สามีของนางจึงนำตัวนางไปขายให้พระราชวัง
สาวรับใช้นางนี้ช่างโชคดียิ่งนัก จักรพรรดิเฟิงเต๋อต้องตาต้องใจนาง รักและทะนุถนอมนางราวกับของล้ำค่า ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครใหม่เข้ามาในวังหลังอีกเลย
ต่อมาองค์รัชทายาทป่วยและสิ้นพระชนม์ไป จักรพรรดิเฟิงเต๋อจึงกลายเป็นองค์รัชทายาทคนใหม่ ขณะที่ครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ชายาก็ป่วยตายไปก่อนสองปี ตำแหน่งฮองเฮาจึงว่างชั่วคราว
หลังจากนั้นด้วยคำเกลี้ยกล่อมของขุนนางทั้งหลาย จักรพรรดิเฟิงเต๋อก็ยังคงไม่แต่งงานมีพระชายา ผ่านไปสามปี ทรงควบคุมราชสำนักไว้ในได้แล้ว ก็ได้ประกาศแต่งตั้งสาวรับใช้ขึ้นเป็นฮองเฮา
ในเวลานั้นมีเสียงคัดค้านมากมาย ผู้ตรวจการที่เอ่ยโน้มน้าวปะทะกันตายไปตั้งกี่คน จักรพรรดิเฟิงเต๋อ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งสังหารขุนนางไปถึงสองคน
ขุนนางทั้งหลายต่างพากันปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องที่แต่งตั้งสาวรับใช้ขึ้นมาเป็นฮองเฮาอีก
หลังจากนั้นมาบ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรือง ต้อนรับเข้าสู่ยุคที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ความคิดของผู้คนที่มีต่อฮ่องเต้และฮองเฮาค่อยๆ หลงเหลืออยู่เพียงแค่คำชม ไม่มีใครเอ่ยถึงฐานะตัวตนของฮองเฮาอีก
แต่สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือสามีเก่าของฮองเฮาได้ทำงานสบายๆ งานหนึ่ง ส่วนลูกที่มีกับสามีเก่าทั้งสองคนก็มีอนาคตที่ดี
เรื่องราวอันน่าแปลกและมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แน่นอนว่าเสียนเฟยจำได้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้พูดแบบขอไปทีเช่นนี้ เสียนเฟยก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “มันจะเหมือนกันได้อย่างไร…”
บนโลกนี้มีฉุนหรงฮองเฮาเพียงแค่พระองค์เดียว จะเอามาเทียบกับเด็กสาวแซ่เจียงนั่นได้อย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ใช่ มันไม่เหมือนกัน อย่างน้อยคุณหนูเจียงก็ยังไม่ได้ออกเรือน สนมรัก นี่มันการเลือกพระชายาอ๋องให้เจ้าเจ็ดนะ ไม่ใช่เลือกพระชายาขององค์รัชทายาทสักหน่อย เพียงแค่เขาถูกใจ แค่นี้ก็พอแล้ว…”
เสียนเฟยหน้าตาบึ้งตึง โกรธจนปากสั่น “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เจ้าเจ็ดไปขอสตรีเช่นนั้นมาเป็นพราชายาอ๋องเด็ดขาด…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สีหน้าขรึมลงทันทีทำให้เสียนเฟยหยุดสิ่งที่จะพูดต่อลงอย่างรวดเร็ว
นานมากแล้วที่นางไม่ได้เสียอาการเช่นนี้ ทว่าเนื่องจากท่าทางของพ่อลูกคู่นี้ที่ทำเอาตกใจไปไม่น้อย นางจึงยากที่จะควบคุมตัวเองได้
“คุณหนูเจียงไม่เข้าตาเจ้า หรือว่าจำเป็นต้องเลือกสตรีชั้นสูงจากตระกูลที่ร่ำรวยให้เจ้าเจ็ดงั้นหรือ ตอนที่ข้าเลือกพระชายาขององค์รัชทายาทแทนองค์รัชทายาทก็ไม่ได้คิดมากขนาดนี้”
พระชายาขององค์รัชทายาทเป็นหลานสาวของหยางเต๋อกวงขุนนางที่จัดการเรื่องพิธีการ และในใจเขาหยางเต๋อกวงก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าคัดเลือกสู่ราชสำนักในอนาคต การที่เลือกหลานสาวของเขามาเป็นพระชายาก็เพื่อในอนาคตจะได้ช่วยองค์รัชทายาทจัดการบริหารภายในราชสำนักได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่เหมือนกับเขาในตอนนั้นที่ทุลักทุเลพอสมควร
แน่นอนว่าตัวตนฐานะพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นไม่เลวเลย ทว่านอกจากเรื่องนี้ด้านอื่นก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงแล้ว
เสียนเฟยได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้พูดเช่นนี้ หัวใจก็กระตุกวาบขึ้นมา
นี่ฮ่องเต้กำลังสงสัยในตัวนางงั้นหรือ
ไม่ผิดแน่ เห็นแก่องค์รัชทายาทที่เป็นคนไม่ทะเยอทะยาน แถมยังไม่มีมารดาแท้ๆ คอยปกป้อง นางจึงมีความคิดผุดขึ้นมา แต่ว่าความคิดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อเจ้าเจ็ด
นางอยากให้ลูกชายของนางเป็นฮ่องเต้ และนางก็ยังอยากเป็นไทเฮา แต่ว่าลูกชายคนนั้นคือเจ้าสี่ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเจ็ดเลยแม้แต่น้อย
เสียนเฟยเม้มปากลงเบาๆ
นางจะต้องยืนหยัดในความคิดของตัวเอง เพื่อเจ้าเจ็ดไอ้สารเลวที่ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาคนนี้ไปทำไม แถมยังทำให้ฮ่องเต้ต้องระแวดระวังนางจนเกิดผลกระทบต่ออนาคตของเจ้าสี่ด้วย
ไม่ได้เด็ดขาด!
ความคิดของเสียนเฟยเปลี่ยนไปทันที น้ำเสียงพูดของนางนุ่มนวลลง “หม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเพคะ พราชายาของเจ้าเจ็ดจะเอามาเทียบกับพระชายาขององค์รัชทายาทได้อย่างไรกัน ในเมื่อฝ่าบาทรู้สึกว่าคุณหนูเจียงไม่เลว เช่นนั้นสู่ขอนางให้เจ้าเจ็ดก็ย่อมได้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับฝ่าบาทเพคะ”
แม้เสียนเฟยจะพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์ราวกับกลืนกินแมลงวันเข้าไป
อย่างไรก็ตาม นางเป็นเพียงแค่นางสนม เกียรติยศหน้าตาทุกอย่างล้วนมาจากฮ่องเต้ ถ้าหากมีความเห็นไม่ตรงกับฮ่องเต้ นางก็ไม่อาจค้านหัวชนฝาได้
หากเป็นฮองเฮาก็คงจะดี อย่างน้อยก็มีอำนาจไกล่เกลี่ยกับฮ่องเต้ได้ และถ้าหากได้กลายเป็นไทเฮา ถึงตอนนั้นไม่ว่าฮ่องเต้หน้าไหนก็ล้วนต้องเคารพนับถือและเอาใจนาง
ในใจของเสียนเฟยนั้นร้อนเป็นไฟ
เพื่อเจ้าสี่นางจะยอมถอยก่อนชั่วคราว ไม่ช้าก็เร็ว…ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีวันที่นางได้ลืมตาอ้าปากแน่!
หลังจากที่ปลอบใจตัวเองเสร็จ ในที่สุดเสียนเฟยก็สงบลง
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่านางใจเย็นลงแล้ว จึงยิ้มพูดขึ้น “ในเมื่อคุณหนูเจียงได้รับเทียบเชิญจากพวกเจ้า แสดงว่าด้านอื่นๆ ก็คงไม่มีปัญหา เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย จากนี้ไปจะมีลูกสะใภ้ที่แสดงกลให้เจ้าดูได้อย่างมีความสุขแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่ใช่หรือ”
เสียนเฟยอดทนไม่แสดงท่าทีกลอกตาออกมา จากนั้นก็ยิ้มจางๆ พูดขึ้น “ใช่เพคะฝ่าบาท”
สนุกบ้าสนุกบออะไรกัน!
น่าโมโหจริงๆ เลย ยัดเยียดลูกสะใภ้ที่เอาไปอวดใครไม่ได้แบบนี้ให้นางก็พอแล้ว ยังจะให้นางทำท่ายอมรับด้วยความดีอกดีใจอีกรึ!
โดยเฉพาะในงานเลี้ยงชมดอกไม้ นางแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนต่อหน้าสตรีชั้นสูงมากมาย ทว่าสุดท้ายกลับเป็นแม่เด็กแซ่เจียงคนนี้จนได้ คิดๆ ดูก็รู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“เอาอย่างนี้ ข้าจะถามเจ้าเจ็ดอีกที เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ไม่อาจทำลวกๆ ได้”
เสียนเฟยออกแรงบีบมือที่เล็บหัก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช่เพคะฝ่าบาท”
เมื่อครู่บอกกับนางว่าประมาณนี้ก็พอแล้ว ตอนนี้กลับมาบอกว่าจะทำลวกๆ ไม่ได้ ฝ่าบาทคิดจะเอายังไงกันแน่
ไม่นานอวี้จิ่นก็ถูกพานไห่เชิญเข้ามา
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” เมื่อเข้ามา อวี้จิ่นก็ทำความเคารพ
เสียนเฟยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“เจ้าเจ็ด เจ้าถูกใจคุณหนูเจียงและอยากจะให้นางเป็นพระชายางั้นหรือ”
อวี้จิ่นฉีกยิ้มออกมา “เสด็จพ่อช่างรู้ใจลูกจริงๆ”
ความสุขเบ่งบานขึ้นมาในใจ
“แต่ว่าคุณหนูเจียงนั้นเคยถอนหมั้น ตอนนี้เจ้าอาจไม่ถือสาเพราะรูปลักษณ์หน้าตาของนาง แล้วหลังจากนั้นใครจะรู้ พอถึงตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ถูกอกถูกใจ จะมาโทษว่าข้าไม่รักษาสัญญาที่จะให้เจ้ามีความสุขสมหวังในชีวิตคู่หรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้มองอวี้จิ่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บอกเหตุผลที่เจ้าไม่ถือสาเรื่องพวกนี้กับข้ามา”
อวี้จิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง พลางยิ้มเอ่ยขึ้น “ผู้อื่นตาบอดจึงได้ทิ้งทองคำ แล้วผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมจะไม่เก็บกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะร่า “อย่างนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะยอมให้เจ้าได้แต่งกับคนที่ถูกใจ ให้คุณหนูเจียงได้เป็นพระชายาของเจ้า”