บทที่ 317 ใครกำลังพูดโกหก

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

สายตานัทธีสั่นคลอนเล็กน้อย

เขาอยากบอกว่า เขาเชื่อว่าเธอไม่ได้ผลัก ยังไงจากนิสัยของเธอแล้ว จะไม่เหมือนคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้

แต่ตอนที่เขาเข้ามา นวิยาล้มลงที่พื้นจริงๆ เธอก็อยู่ในท่าผลักคนจริงๆ ดังนั้น เขาก็ไม่สามารถสรุปได้

เห็นนัทธีลังเลไม่พูด สายตาของวารุณีหม่นลงไป ยกมุมปากขึ้นมาอย่างเหยียดหยัน

ดูเหมือนว่า ในหัวใจของเขาแล้ว เพื่อนที่โตมาด้วยกันน่าเชื่อใจซะยิ่งกว่า เธอที่เป็นภรรยาเสียอีก

“ในเมื่อคุณวารุณีบอกว่าไม่ได้ผลักฉัน งั้นก็ไม่ได้ผลักฉัน ฉันไม่เป็นไร”นวิยาโบกมือ ใบหน้ามีรอยยิ้มขมขื่น“ยังไงฉันก็พูดผิดเอง พูดถึงเรื่องแม่ของคุณวารุณี ดังนั้นคุณวารุณีจึงโกรธ ถึงได้……สรุปคือฉันผิดเองแหละ นัทธี คุณอย่าโทษเธอเลย”

พูดไป เธอก็ดึงแขนเสื้อของนัทธี

นัทธีจำสิ่งที่รับปากกับวารุณีครั้งที่แล้วได้ ก็ยกแขนขึ้น ดึงแขนเสื้อออกมา“คุณพูดอะไรน่ะ?”

“ฉันแค่บอกว่า……”

“พอแล้ว!คุณไม่คู่ควรที่จะพูดถึงแม่ฉัน!”วารุณีตัดบทของนวิยาอย่างเย็นชา จากนั้นสายตามองไปที่นัทธีกับพิชิตอย่างเย็นชา สูดลมหายใจเข้า พูดด้วยเสียงเยือกเย็น:“ในเมื่อพวกคุณคิดว่าฉันผลักนวิยา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องถามไปถามมา ดูกล้องวงจรปิดเลยละกัน อย่าพูดอะไรไร้สาระให้มาก”

ท่าทางเย็นชาของเธอ ทำให้ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มลง“ผมไม่ได้ไม่เชื่อคุณ”

สายตานวิยามีความไม่พอใจแวบเข้ามา แล้วอาการนั้นก็ดูเหยเกขึ้นมาทันที

เขาบอกว่าไม่ใช่ไม่เชื่อวารุณี งั้นก็หมายความว่า คิดว่าที่เธอล้มนั้น เป็นเธอที่ทำตัวเอง?

“แต่ว่าคุณไม่ได้ปฏิเสธข้ออ้างของนวิยา”วารุณีชี้ไปที่นวิยา

ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับ ไม่อาจตอบโต้กับสิ่งนี้ได้

ก็จริงแล้ว เขาไม่ใช่ไม่เชื่อเธอ แต่ก็ไม่คิดว่านวิยาพูดโกหก

แต่ว่าในเรื่องนี้ พวกเธอสองคน มีคนหนึ่งที่พูดโกหก

คิดไป นัทธีก็มองไปที่นวิยา สายตานั้นมีความไตร่ตรองเล็กน้อย

นวิยาเดาความคิดของเขาออก ก็รู้สึกเกร็งในใจ แต่ใบหน้ากลับยังคงดูดี มองไปที่เขาอย่างน้อยใจและน่าสงสาร ส่ายหน้าออกไป“นัทธี ฉัน……”

“พอแล้วนวิยา คุณอย่าพูดอีกเลยโอเคไหม?”นวิยายังพูดไม่เสร็จ ก็ถูกพิชิตตัดบท

พิชิตมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน“เรื่องนี้ พวกเราจัดการเอง คุณไม่ต้องพูดอะไร”

ฟังความผิดหวังในน้ำเสียงของพิชิตออก ใจของนวิยาก็เต้นตึกตัก

เขาหมายความว่าไง?

หรือว่าเขารู้อะไร?

พิชิตมองสายตานวิยาที่เปลี่ยนไปไม่หยุด ก็เดาออกว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ จึงหัวเราะอย่างขมขื่น

ตอนแรก เขามั่นใจว่าวารุณีผลัก

แต่เมื่อกี๊เขาเห็นความเหยเกในสายตาของนวิยาแล้ว บวกกับนิสัยที่แท้จริงของนวิยาด้วย ก็รู้ว่าวารุณีนั้นบริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้ต่างเป็นนวิยาที่เล่นละครเอง

นึกถึงตรงนี้แล้ว พิชิตก็สูดหายใจลึกๆ หน้าอ่อนเยาว์ที่แสนจะน่ารักนั้น คืนกลับเป็นปกติอีกครั้ง หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา:“เฮ้อ นวิยาก็พูดแล้วไง เธอล้มไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ดังนั้นดูกล้องวงจรปิดก็ไม่จำเป็นแล้ว อีกอย่าง ห้องคนไข้นี้ไม่มีกล้องวงจรปิด”

นัทธีก็ไม่พูดใดๆ

เพราะว่าไม่มีกล้องวงจรปิด เขาจึงไม่อาจตัดสินได้ว่า พวกเธอสองคนนั้นใครโกหก

ไม่งั้น เขาก็เอากล้องวงจรปิดมาดูตั้งแต่แรกแล้ว

“งั้นจากความหมายของคุณหมอพิชิต คือเรื่องนี้ก็ปล่อยมันไปแบบนี้เหรอคะ?”วารุณีหรี่ตาลง สายตานั้นจ้องพิชิตเขม็ง เหมือนว่าจะมองส่วนลึกในใจที่แท้จริงของเขาออก

พิชิตละสายตาออกไปอย่างร้อนตัว ไม่กล้าสบตาเธอเลย ได้แต่พูดฝืนยิ้มออกไป:“ใช่ นวิยาก็แค่ล้ม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเราอย่าสนใจเลย ปล่อยไปแบบนี้เถอะ นัทธี แกคิดว่าไง?”

สายตานัทธีหม่นลงไป สุดท้ายก็พยักหน้าเห็นด้วย

เพราะว่าไม่มีหลักฐานจริงๆ งั้นก็ช่างมันไปเถอะ

พิชิตเห็นนัทธีเห็นด้วยกับที่ตัวเองเสนอ ก็โล่งอกเล็กน้อย จากนั้นแอบส่งสายตาเตือนนวิยา

สายตานี้ วารุณีก็เห็นด้วย

เธอมองไปที่พิชิตอย่างเย้ยหยัน

ที่แท้ผู้ชายคนนี้ ก็รู้ว่าเรื่องเมื่อกี๊ เป็นนวิยาที่ลงมือทำเอง

แต่เป็นเพราะเขาชอบนวิยา ดังนั้นขณะเดียวกันจึงเลือกปกป้องนวิยา แล้วยังอยากให้กลายเป็นเรื่องเล็ก นี่มันจริงๆเลย

ได้ยินความเย้ยหยันของวารุณีแล้ว พิชิตได้แต่รู้สึกอับอายหน้าแดงไปหมด แต่เพื่อนวิยาแล้ว เขาได้แต่จำใจทำออกไป

“วารุณี……”

“ออกไป!”วารุณีชี้ไปที่ประตู“ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นพวกคุณ เชิญพวกคุณออกไปด้วย”

“คุณวารุณี คุณเป็นแบบนี้……”

“พอแล้ว!”พิชิตคว้าแขนของนวิยา เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความแข็งกร้าวต่อเธออย่างเปิดเผย ชักสีหน้าที่ดูเด็กนั้นลง:“ในเมื่อคุณวารุณีให้พวกเราออกไป งั้นพวกเราก็ออกไปเถอะ คุณอย่าพูดอะไรแล้ว ไป!”

พูดจบ เขาก็ดึงนวิยาออกไปจากห้องคนไข้

วารุณีเห็นนัทธียังอยู่ จึงพูดอย่างเย็นชา:“ทำไมคุณยังไม่ออกไปอีก?”

นัทธีเลิกคิ้วขึ้น

ที่แท้ พวกคุณที่เธอพูดถึง ก็รวมเขาด้วย

ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มลง ไม่พอใจเล็กน้อย“ผมเป็นสามีคุณ”

“แล้วทำไม?”วารุณีมองเขาด้วยสายตาราบเรียบ

สามีคนหนึ่งที่ไม่เชื่อใจภรรยาของตัวเอง

ทำไมเธอต้องไว้หน้าเขาด้วย

นัทธีขมวดคิ้ว“ผมไม่เหมือนกับพวกเขานะ”

“มีอะไรไม่เหมือนกัน คุณยังไม่เชื่อฉันเหมือนกับพวกเราเลย คิดว่าเป็นฉันที่ผลักนวิยาจริงๆ!”วารุณีพูดเสียงดัง

นัทธีลูบคิ้ว“ผมบอกแล้วไง ฉันไม่คิดว่าคุณจะผลักนวิยา”

“แต่คำพูดของนวิยา คุณก็ไม่สงสัย นี่ไม่ได้คิดว่าฉันผลักเธอเหรอ?”วารุณียิ้มอย่างเย็นชา

นัทธีสูดหายใจเล็กน้อย อยากไปสัมผัสเธอ แต่ถูกเธอหลบออก“อย่าแตะฉัน”

มือของนัทธีค้างไว้กลางอากาศ สักพักจึงกำหมัดแล้วชักกลับไป“ผมไม่ได้สงสัยคำพูดของนวิยาจริงๆ นวิยาคือคนที่โตมาด้วยกันกับผมตั้งแต่เด็ก เธอเป็นคนอย่างไร ผม……”

“ไม่มีใครที่ไม่เปลี่ยนไปหรอกนะ!”วารุณีตัดบทของเขาอย่างไม่รักษาน้ำใจ“ทุกคนล้วนแต่ต้องเติบโต ต่างเสแสร้งเป็น นวิยาที่คุณรู้จักอาจจะไม่ใช่นวิยาในตอนนั้นแล้ว ก็แค่คุณยังไม่คิดถึงตรงนี้”

พอได้ยิน สายตานัทธีก็หม่นหมองลง“ดังนั้นความหมายของคุณคือ เมื่อกี๊นวิยาเสแสร้ง?”

“ใช่”วารุณีเล่าที่มาที่ไปก่อนหน้านี้ออกมา

นัทธีฟังจบ คิ้วขมวดจนสามารถหนีบยุงตายได้

วารุณีเห็นเขาฟังคำพูดของตัวเอง ในที่สุดหน้าที่เย็นชานั้นก็ดีขึ้น พูดไปอีกว่า:“เธอทำแบบนี้ เพราะอยากให้คุณเข้าใจฉันผิด ว่าฉันผลักเธอ ให้คุณเกิดช่องว่างกับฉัน ยุแยงให้ความรู้สึกของเราพัง”

นัทธีกำมือทั้งสองข้าง สักพักจึงคลายออก พูดเสียงหดหู่:“ผมรู้ แต่ในเมื่อเรื่องนี้ผมบอกไปแล้วว่าจะไม่รื้อฟื้นอีก งั้นก็หยุดแค่นี้เถอะ”

วารุณีรู้สึกน้อยใจมาก“ดังนั้นฉันจึงน้อยใจไปฟรีๆ?”

นัทธีกอดเธอไว้ในอ้อมแขน“ขอโทษนะ นี่คือครั้งแรก และจะเป็นครั้งสุดท้าย”

วารุณีผลักเขาออก“ฉันรู้แล้ว คุณออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่เงียบๆคนเดียว”

“โอเค”นัทธีรู้ว่าการตัดสินใจของตัวเอง ทำให้ในใจเธอนั้นรู้สึกแย่ จึงหันกลับออกไป ให้พื้นที่เงียบๆแก่เธอ

พอออกไปแล้ว เขาก็มองพิชิตที่อยู่ข้างนอก สีหน้าหม่นลง

“นัทธี……”

“แกรู้เรื่องเมื่อกี๊ ว่านวิยาโกหกใช่ไหม?”สายตานัทธีนั้นมองพิชิตอย่างไร้ความรู้สึก เสียงนั้นเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง

นี่คือสิ่งที่วารุณีพูด

เธอบอกว่าพิชิตรู้ว่านวิยาเสแสร้ง

พิชิตก็ดูนิ่งไป จากนั้นพยักหน้าถอนหายใจ“ใช่ เรื่องนี้ เป็นนวิยาที่ใส่ร้ายวารุณี วารุณีไม่ได้ผลักเธอ”

จริงด้วย!

นัทธีกำหมัดทันที รอบๆตัวนั้นเยือกเย็น

พิชิตรู้สึกได้ จึงขอโทษอย่างจริงใจ“ขอโทษนะนัทธี ฉันก็ไม่คิดว่านวิยาเธอจะทำแบบนี้”

“แล้วแกยังปกป้องเธออีก?”นัทธีคว้าคอเสื้อของเขาไว้ แล้วตะโกนใส่